อาเหมียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทว่ากลับพยักหน้ารับคำแผ่วเบา โจวจื่อเหลียงยิ่งคิดสงสัย มีสิ่งใดเกิดขึ้นกันแน่ฮองเฮาผู้นี้เมื่อเห็นรูปปั้นเทพเจ้าจึงได้หยุดชะงักเช่นนั้น
หรือว่านางจะหวาดกลัวรูปปั้นเหล่านี้ หลิวฉูฉู่ผู้นี้จริง ๆ แล้วในร่างนั้นมีวิญญาณร้ายที่แฝงกายอยู่หรือนางจึงไม่กล้าที่จะเข้ามาสักการะพระโพธิสัตว์ ทว่าทั้งหมดก็เป็นนางมิใช่หรือที่ต้องการมาที่นี่
ความเคลือบแคลงทำให้โจวจื่อเหลียงต้องลงมือ ท่าทางลังเลของหลิวฉูฉู่ยิ่งทำให้เขาสงสัย โจวจื่อเหลียงเดินกลับมาหานางแล้วเอ่ยว่า
"เช่นนั้นเราจะพยุงฮองเฮาเอง"
"ฝะ ฝ่าบาทเพคะ"
ร่างบางของหลิวฉูฉู่ถูกโจวจื่อเหลียงพยุงเข้ามาในอารามหลวง จะเรียกว่าพยุงไม่เห็นจะถูกนักเมื่อฝ่าบาทผู้นี้คล้ายกับกำลังยกกระสอบนุ่นแล้วลากเข้ามาในอารามหลวงเสียมากกว่า
เหงื่อของหลิวฉูฉู่แตกพลั่ก คิดอดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องออกมาเมื่อรู้สึกร้อนเมื่อกระทบกับแสงแห่งธรรมะภายใน หลิวฉูฉู่เคยแสดงบทผีมาแล้วถึงจะไม่ได้เจ็บปวดจริงแต่นางก็คิดได้ว่ามันต้องเจ็บปวดมากแน่ ๆ
ทว่าเมื่อตั้งใจเต็มที่เธอจึงใส่อารมณ์ไม่ยั้ง สุดท้ายแล้วเป็นโจวจื่อเหลียงที่ทิ้งร่างของเธอลงกับพื้น หลิวฉูฉู่หวีดร้องออกมาราวคนบ้า เสียงดังกระทั่งทำให้ผู้ติดตามปวดหู
ดวงตาเรียวเล็กแทบจะเท่ากับเม็ดแตงของตงกงกงเบิกกว้างเต็มที่ฮองเฮากำลังคุกเข่าลงกับพื้น สองมือยกกอดร่างตนเองเอาไว้แม้อากาศจะหนาว ทว่าใบหน้าของเธอกลับมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมา
กำลังของขาดูท่าว่าจะหมดลงไปในตอนนั้น เธอหลับตาปี๋คิดว่ายังไงวิญญาณอาจจะออกจากร่าง กระทั่งเสียงของโจวจื่อเหลียงดังขึ้น
"ฮองเฮา ฮองเฮา"
ดูเหมือนทุกอย่างยังคงปกติ หลิวฉูฉู่หรี่ตามองยังเห็นโจวจื่อเหลียงจ้องเธอคล้ายจะสงสัย หญิงสาวไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นวิญญาณไปแล้วหรือว่ายังอยู่ในร่างเดิม หากเป็นวิญญาณคงสัมผัสคนไม่ได้เธอจึงลองใช้นิ้วจิ้มที่แก้มของโจวจื่อเหลียเพื่อพิสูจน์บางอย่าง
ท่ามกลางการแสดงของเธอโจวจื่อเหลียงเริ่มวิตกแล้วว่าตกลงหลิวฉูฉู่คนนี้มีวิญญาณอื่นสิ่งร่างหรือนางเป็นบ้าจริง ๆ แล้ว
หลิวฉูฉู่ยังบิดแก้มเขา โจวจื่อเหลียงสีหน้าไม่เปลี่ยน ทว่าดวงตาเป็นประกายวาว หลิวฉูฉู่ขมวดคิ้วพลางคิดว่า
เออ แฮะ สัมผัสได้นี่นา
โจวจื่อเหลียงกระแอม จู่ ๆ ก็ถูกหลิวฉูฉู่สัมผัสใบหน้ายามเมื่อนิ้วเรียวขาวจิ้มลงบนผิวเนื้อนั้นเขารู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวเล็กน้อยหลังจากนั้นจึงเอ่ยเสียงเข้มออกไป
"ฮองเฮา กำลังทำสิ่งใดหรือ"
หลิวฉูฉู่รู้ได้ทันทีว่าตัวเองยังคงอยู่ วิญญาณไม่ได้หลุดหายคราวนี้เธอจึงยิ้มกว้างแล้วขยับร่างกายให้อยู่ในท่าทางปกติ
"ไม่มีอะไรเพคะ แค่คิดว่าแก้มของฝ่าบาทนุ่มดีจัง"
ตงกงกงรวมทั้งอาเหมียนและคนติดตามทั้งหมดต่างอมยิ้มเมื่อได้ยินฮองเฮาเอ่ยตรงไปตรงมา มีเพียงโจวจื่อเหลียงที่ทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะเอ่ยว่า
"ฮองเฮาล้อเล่นแล้ว"
หลิวฉูฉู่กลับยิ้มเต็มหน้า ทั้งหมดเพราะดีใจที่ตัวเองไม่ใช่วิญญาณร่อนเร่อย่างที่เคยเป็นกังวล ถึงจะมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่ผีเร่ร่อนด้วยความดีและสวยระดับไฮเอ็นเช่นนี้หากตายจริงต้องได้เป็นเทพเซียนบนสวรรค์เป็นแน่แต่สถานการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้หลิวฉูฉู่อดหวาดวิตกไม่ได้ เธอแย้มยิ้มสดใสดวงตาเป็นประกายวาววับก่อนจะเอ่ยว่า
"พูดจริงเพคะ ไม่ได้ล้อเล่น แก้มของฝ่าบาทนุ่มดีเหมือนกัน"
ท่าทางน่ารักของหลิวฉูฉู่เช่นนี้ทำให้ใจคนอ่อนยวบนัก โจวจื่อเหลียงกระแอมขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านอีกคราก่อนจะเอ่ยว่า
"ฮองเฮาจะมากราบไหว้พระโพธิสัตว์มิใช่หรือ เช่นนั้นก็จุดธูปเถิด"
"เพคะ ตอนที่หม่อมฉันตกน้ำและสลบไหวหลายวันยามนั้นยังได้เข้าเฝ้าองค์เง็กเซียนด้วย ทรงบอกว่าหม่อมฉันต้องทำดีให้มาก ๆ ทั้งยังได้รับมอบหมายให้มาสักการะพระโพธิสัตว์พร้อมบทสวดจากสวรรค์"
หลิวฉูฉู่เติมแต่งเรื่องตามจินตนาการ เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนข้อมูลในสมองของโจวจื่อเหลียงว่าที่เธอเปลี่ยนไปนั้นย่อมมีสาเหตุนะ ผู้ชายคนนี้ฉลาดมากเขาจะได้ไม่สงสัยในพฤติกรรมของเธอ
โจวจื่อเหลียงปรายตามองคนที่เพิ่งบอกว่าตัวเองไปเข้าเฝ้าองค์เง็กเซียนมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย แน่นอนว่าหลิวฉูฉู่ยอมคิดว่าเขาไม่เชื่อ เธอเองก็เพียงแต่บอกเอาไว้เป็นเกราะกำบังกับการกระทำที่เปลี่ยนไปของเธอ
โจวจื่อเหลียงจึงกล่าวว่า
"เช่นนั้นก็อย่าเสียเวลาเลย"
ทั้งโจวจื่อเหลียงและหลิวฉูฉู่เดินมาหยุดเบื้องหน้าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มากมาย ก่อนที่คนทั้งคู่จะคุกเข่าลงบนเบาะโดยมีตงกงกงช่วยจุดธูปให้คนทั้งสองและส่งธูปให้อย่างนอบน้อม
หลิวฉูฉู่รับธูปมาก่อนที่เริ่มกราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์ ภายในอารามเงียบสงบจิตใจของหลิวฉูฉู่พลอยสงบไปด้วย ทว่าเพียงคำนับครั้งที่หนึ่งหลิวฉูฉู่ก็พลันเกิดความร้อนวาบที่ตรงหลังมือ
อ๊ะ หรือว่า วิญญาณของฉันกำลังจะออกจากร่างแล้ว
และแล้วความร้อนที่บนหลังมือก็เพิ่มขึ้น คราวนี้หลิวฉูฉู่ตกใจยิ่งนัก เธอกรีดร้องออกมาด้วยความรู้สึกแสบร้อน ความรู้สึกร้อนวาบทั้งแสบผิวนี่คือสิ่งใด หรือว่าฉันกำลังจะหลุดออกจากร่างนี้แล้ว
กรี๊ด! กรี๊ด!
หลิวฉูฉู่ปล่อยธูปออกจากฝ่ามือ เธอก้มลงตัวงอทั้งกรีดร้อง ทำให้คนในวิหารแห่งนี้ถึงกับตกอกตกใจรวมทั้งโจวจื่อเหลียงด้วย
เขารีบเข้ามาประคองร่างของเธอให้ลุกขึ้น มือใหญ่จับที่ไหล่บอบบาง ส่งเสียงเรียกไม่ขาดปาก
"ฮองเฮา ฮองเฮา เจ็บหรือ ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว"
หลิวฉูฉู่เงยหน้ามองเขา กลอกตาไปมายังกะพริบตาหลายครั้งเธอหยุดกรีดร้อง และครานี้ความรู้สึกร้อนวาบที่หลังมือเมื่อสักครู่ทุเลาลงแล้ว เธอจึงจ้องมองโจวจื่อเหลียงอีกครา
"ฝ่าบาท"
"เราเอง เป็นอย่างไรบ้างเจ็บหรือ"
หลิวฉูฉู่ตกใจยิ่งนัก เขาเห็นเธอหรอกหรือ แล้วที่บอกว่าเจ็บคืออะไรกัน เขารู้ได้ยังไงว่าเธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อน และแล้วหลิวฉูฉู่ก็ได้รับคำตอบ
"ตงกงกง ธูปนี้ขี้เถ้าเยอะนักกระทั่งหล่นใส่มือของฮองเฮาได้อย่างไร กระทั่งทำหลังมือของนางเป็นรอยแดงแล้ว"
หลิวฉูฉู่มองมือของตนเองที่มีร่องรอยสีแดงนิดหน่อยทั้งยังถูกโจวจื่อเหลียงกุมเอาไว้ เธอมองไปที่พื้น แน่นอนว่าขี้เถ้าของธูปที่เธอทิ้งไปนั้นยังเกลื่อนกระจาย
ให้ตายเถอะ เธอคิดว่าถูกแสงธรรมจนวิญญาณหลุดลอยแสบร้อนไปหมด ที่แท้เป็นขี้เถ้าจากธูปหรอกหรือที่ทำให้เธอเข้าใจผิด น่าขายหน้ายิ่งนัก
โจวจื่อเหลียงยังถามต่อ เขาถูข้อมือขาวที่กลายเป็นสีแดงเล็กน้อยด้วยปลายนิ้วของเขา เห็นรอยนั้นไม่มากนักก็คลายใจแล้ว
"เพียงแค่ขี้เถ้าเล็กน้อย ฮองเฮากรีดร้องจนเราคิดว่าเจอสิ่งน่าหวาดกลัวเข้า ยามนี้เป็นอย่างไรบ้าง"
หลิวฉูฉู่พลันกระจ่าง ความจริงเธอไม่ได้เป็นอะไรเลย ทุกอย่างยังปกติเธอยังติดแหง็กอยู่ในร่างนี้เช่นเดิม เมื่อถูกจ้องคล้ายกำลังจับผิดเช่นนี้เธอจึงส่งยิ้มหวานแบบเจื่อน ๆ ออกไป
"เหอะ เหอะ สะ สบายดีเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเลย"
โจวจื่อเหลียงจึงเอ่ยช้า ๆ
"เช่นนั้นก็ดีแล้ว นั่งดี ๆ เถิด แค่ขี้เถ้าเล็กน้อยฮองเฮาแข็งแรงถึงขนาดกล้ากระโดดบ่อน้ำแข็ง เราคิดว่าขี้เถ้าแค่นี้คงไม่เป็นอันใด" เอ่ยจบจึงหันไปบอกตงกงกงว่า "เตรียมธูปใหม่ให้ฮองเฮาเลือกที่ดีหน่อย"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ได้ธูปมาใหม่แล้ว หลิวฉูฉู่ที่เพิ่งถูกตำหนิจึงยิ้มแหย ๆ อับอายขายหน้าจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วตอนนี้จึงได้ตั้งใจสักการะพระโพธิสัตว์อีกครั้ง หลังจากที่คนทั้งคู่สักการะเสร็จโจวจื่อเหลียงจึงเอ่ยถามว่า
"แล้วบดสวดที่เง็กเซียนกำชับมานั้นแท้จริงมีที่มาอย่างไรหรือ"
หลิวฉูฉู่ตกใจนักคิดว่าเขาจะไม่ใส่ใจเสียอีก ที่แท้เขาก็ยังอยากฟังเรื่องที่เธอกุขึ้นมาจึงได้ตามมาที่นี่สินะ หลิวฉูฉู่ต้องรีบหาทางแก้ไขแล้ว
"คือว่า คือ ฝ่าบาทเพคะตอนตกน้ำหม่อมฉันฝันไปว่าได้เข้าเฝ้าเง็กเซียนพระองค์กำชับว่าหากฟื้นแล้วให้มาที่นี่ท่องบทสวดสรรเสริญเพื่อถวายแก่ท่านพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเป็นการตอบแทนเพคะ หม่อมฉันจดจำได้จึงมาที่นี่ในวันนี้เพื่อสวดมนต์อย่างไรเล่า"
"ถ้าเช่นนี้ก็สวดเถิด เราจะร่วมสวดสักการะกับฮองเฮาด้วย"
"คือ เอ่อ ฝะ ฝ่าบาท"
หากโจวจื่อเหลียงมีท่าทางสงสัย หลิวฉูฉู่จะรู้สึกดีกว่านี้ ทว่ายามนี้เขากลับตีหน้าตายคล้ายเรื่องที่นางเอ่ยออกมานั้นมันเป็นเรื่องจริงที่เขาเชื่อสนิทใจแบบนี้ยิ่งทำให้หลิวฉูฉู่ที่ขึ้นหลังเสือแล้วไม่อาจลงได้แล้ว
"ตะ แต่ว่า"
หลิวฉูฉู่อยากจะคัดค้านนัก เธอรู้ดีว่าโจวจื่อเหลียงกำลังหาทางจับผิดเธอเป็นแน่ ดวงตากลมโตไหวระริกคล้ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ โจวจื่อเหลียงย่อมสังเกตนางอย่างละเอียด
"หรือฮองเฮามีสิ่งใดปิดบังกันแน่"
"ปะ เปล่าเพคะ ไม่มีเลย แหะ แหะ ไม่มีเลย"
หลิวฉูฉู่ผ่อนลมหายใจออกมา เอาวะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ฉันก็จะสวดมนต์ดูสักครั้ง แม้ว่าในสมองตอนนี้จะว่างเปล่า บทส่งบทสวดอะไรจำไม่ได้สักอย่าง
โจวจื่อเหลียงไม่เอ่ยคำใดอีก หันหน้าไปหารูปปั้นเทพเซียนทั้งหลายทั้งยังรวบมือเรียบร้อยรอหลิวฉูฉู่สวดมนต์ ไม่เพียงแต่โจวจื่อเหลียงเท่านั้น ทั้งตงกงกง อาเหมียน และผู้ติดตามล้วนรอฟังหลิวฉูฉู่สวดด้วยความสงบเสงี่ยม
หลิวฉูฉู่จำใจต้องไปต่อในเมื่อได้โกหกแล้วก็ต้องทำทั้งยังแสดงสีหน้าขรึมจริงจัง ทั้งในใจคิดว่าน่าขายหน้าสิ้นดี เพียงแต่เธอไม่คิดจะขายหน้าคนเดียวแน่นอน คนทั้งหมดนี้ต้องร่วมแสดงกับเธอ
"ฝ่าบาทหากจะให้สวดมนต์บทนี้ต่อ ทุกคนต้องคุกเข่าตั้งจิตอธิษฐาน หม่อมฉันสวดสิ่งใดพระองค์และคนทั้งหมดต้องสวดตามหม่อมฉัน แต่หากฝ่าบาทไม่ต้องการหลิวฉูฉู่ก็ขอส่งเสด็จที่ตรงนี้เพคะ"
"เช่นนั้นหรือ เราด้วยหรือ"
หลิวฉูฉู่พยักหน้าขึงขัง "เพคะ ฝ่าบาทด้วยเพคะ"
หากเป็นเมื่อก่อนโจวจื่อเหลียงคงได้สะบัดผ้าจากไปแล้ว แต่ครานี้เขาสงสัยจริง ๆ ว่าหลิวฉูฉู่ผู้นี้กำลังทำสิ่งใดกันแน่ เขาจึงยอมทำตามคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายตามหลิวฉูฉู่
"เช่นนั้นก็ได้"
หลิวฉูฉู่ยิ้มหลังจากกราบไหว้พระโพธิสัตว์ในใจเพื่อขออภัยเธอจึงกระแอมเพื่อวอร์มเสียง แล้วพูดว่า
"เริ่มแล้วนะเพคะ"
หลิวฉูฉู่ในชาติที่แล้วแต่เดิมไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าวัดวาอารามเท่าไหร่ แต่ที่เธอกลับจำได้ดีคือบทสวดของขอพรจากพระเยซูเจ้าในตอนที่รับบทเป็นมิชชันนารีในละครเรื่องหนึ่ง
โชคดีที่ยังพอมีบทสวดให้ท่องพอไม่ให้ขายหน้า อย่างไรก็ดีเธอก็นับถือพระเยซูอยู่ในใจไม่น้อย เธอจึงตั้งใจทำให้ดีและขออภัยเทพเจ้าทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ตรงนี้
ลูกไร้หนทางแล้วจริง ๆ ค่ะ
หลิวฉูฉู่เริ่มทำการวาดไม้กางเขนกลางอากาศ เป็นการอัญเชิญพระเยซูเจ้า ทุกคนได้รับคำสั่งให้ทำตามจึงยกมือวาดเก้ ๆ กัง ๆ ดูแล้วน่าขันนัก
ทว่าในยามที่โจวจื่อเหลียงทำเขากลับทำได้เป็นอย่างดี เหมือนคนที่นับถือศาสนาคริสต์มาตั้งแต่แรกเกิด
ผู้ชายคนนี้ให้ตายเถอะ ทำไมถึงได้ดูดีขนาดนี้นะ ท่าทางของเขาไม่มีอะไรที่ดูแล้วตลกเลยสักนิด
โจวจื่อเหลียงเองยามนี้กำลังสงสัยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ในเมื่อตนเองเป็นคนยืนกรานว่าจะทำตามคำสั่งของนางกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำแม้ว่าจะดูน่าขันแต่ก็ไม่อาจไม่ทำได้ เขาจึงตั้งใจทำเต็มที่
ในที่สุดโจวจื่อเหลียงก็ทนไม่ไหว จึงเอ่ยว่า
"ท่าทางประหลาดเหล่านี้เรียนรู้มาจากสวรรค์หรือ"
หลิวฉูฉู่ใบหน้าจริงจัง เห็นเขาตั้งใจมากขนาดนี้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
"เพคะ แต่ฝ่าบาทต้องเงียบหน่อยในการสวดครานี้ถึงจะได้ผล"
ตงกงกงและอาเหมียนต่างชำเลืองดู ทั้งยังขยับมือไปมาทั้งบนหน้าผากเลื่อนต่ำลงมาตามที่หลิวฉูฉู่กำลังสอน ทว่าท่าทางนั้นชวนขบขันกระทั่งคนสอนยังแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
ในที่สุดหลิวฉูฉู่ก็ตั้งสติได้แล้ว นางกระแอมบอกให้ทุกคนเงียบแล้วพูดตามเธอ ก่อนจะอ้าปากเริ่มสวดช้า ๆ
"ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ........โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ อาแมน"
ทุกคนเอ่ยตามไม่มีผิดเพี้ยน หลิวฉูฉู่หัวเราะในใจ แน่นอนว่าเธอแกล้งพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว หน้าตาแต่ละคนก็เต็มไปด้วยความสงสัยแต่ในเวลานี้กลับไม่มีใครกล้าที่จะถามออกมา
ครู่หนึ่งผ่านไปท่ามกลางความเงียบเช่นเคย หลิวฉูฉู่จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบ
"ฝ่าบาท ตรัสคำว่าอาแมนสิเพคะ"
โจวจื่อเหลียงมองหน้านาง เขาถลึงตาเล็กน้อย ทว่านางกลับจ้องเขากลับ ดวงตากลมโตคู่นั้นจริงจังยิ่งนัก สุดท้ายแล้วโจวจื่อเหลียงไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงเอ่ยคำออกมา
"อาแมน"
หลิวฉูฉู่ยิ้มกว้างทั้งยังแอบขำท่าทางของผู้ติดตามอยู่ในใจ ถึงจะผิดศาสนาไปบ้างแต่คราวหน้าเธอรับรองว่าเธอจะศึกษาพุทธศาสนาให้ดีกว่านี้และมาแก้ตัวคราวหลัง
ในยุคนี้ยังไม่รู้จักศาสนาคริสต์ยังไม่มีการค้าขายกับชาติตะวันตกแน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่รู้จักพระเยซูและบทสวดของเธอ ถือว่าเธอทำหน้าที่แทนมิชชันนารีช่วยเผยแผ่ศาสนาก็แล้วกัน
"อย่างไรบทสวดนี้นอกจากหม่อมฉันแล้วก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดสวดอีก มิเช่นนั้นคงได้ถูกท่านพระยามัจจุราชมาลากไปลงนรกเป็นแน่ เป็นบทสวดสำหรับผู้สูงส่งเท่านั้น"
เรื่องปั้นน้ำเป็นตัวหลิวฉูฉู่ย่อมถนัดยิ่งนัก โจวจื่อเหลียงในใจคิดว่านางกำลังเพ้อเจ้อ ทว่าเมื่อสักครู่เขาเองก็ตกหลุมพรางนางและร่วมสวดไปแล้ว ในใจได้แต่รู้สึกว่าตนเองคงเสียสติไปแล้วเป็นแน่
สุดท้ายแล้วเพราะความสงสัยจึงได้ลดตัวมาทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้จนได้