บทที่ 4 แรกปลื้ม

4076 Words
แบร์รี่มองชุดที่อยู่ในถุง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น ระงับไม่ให้หลุดยิ้มกว้าง แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าซื้อมันกลับมา ทีแรกไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น แต่พอคนคนนั้นโผล่มาแล้วแนะนำว่าสีน้ำตาลน่าจะเข้ากับแบร์รี่ สติและสตางค์ก็หลุดลอยไปพร้อมกัน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลับมาถึงหอพัก พร้อมกับชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อฮู้ดครึ่งตัวสีน้ำตาล แบร์รี่ไม่ค่อยได้ซื้อชุดที่ออกสาว เพราะต้องระมัดระวังเรื่องการแต่งตัวไม่ให้พ่อกับแม่เห็นหรือคนรู้จักเห็น แต่บางครั้งก็อดใจไม่ไหว ถ้าไม่ได้ซื้อมาครอบครองก็คงจะลงแดงตาย ไม่ได้ใส่ แต่ได้จับ ขอแค่ได้เห็น ได้เป็นเจ้าของก็ยังดี มือเรียวหยิบชุดใหม่ออกมาจากถุงแล้วเดินเข้าห้องน้ำ จัดการถอดเสื้อผ้า เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ แบร์รี่มีผิวสีน้ำผึ้ง บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะเลือกสีเสื้อผ้าให้เหมาะกับตัวเอง อยากใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสคัลเลอร์ฟูลก็ถูกคำคนสกัดเอาไว้ว่าเหมือนอีกาคาบพริก ที่ผ่านมาแบร์รี่จึงเลือกซื้อเสื้อผ้าสีขาวดำเทาเท่านั้น อันที่จริงสีน้ำตาลก็ไม่ใช่สีที่ฉูดฉาดอะไร แต่แบร์รี่ก็มองข้ามมันมาตลอด ไม่คิดว่ามันจะเข้ากับตัวเอง ช่วยขับผิวให้ผ่องและนวลเนียนขึ้น สุดท้ายก็อดใจไม่ได้ ต้องระบายยิ้มด้วยความปลาบปลื้มใจ แรกเก่งจัง เลือกสีเสื้อผ้าได้เหมาะกับเขาจริงๆ แบร์รี่ยืนส่องกระจกอยู่กลางห้องอยู่เป็นนาน หมุนซ้ายหมุนขวา โพสท่วงท่าเก๋ไก๋ราวกับตัวเองเป็นนางแบบ แบร์รี่สร้างโลกใบเล็กๆ ขึ้นมา มีความสุขเวลาได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่แล้วโลกก็พลันดับสลาย เมื่อพื้นที่ที่เคยอยู่คนเดียว ปรากฏร่างของคนอีกสองคนที่หน้าประตู “เป็นอะไรแบร์รี่ แอคท่าขนาดนั้น จะไปถ่ายแบบที่ไหนเหรอไง” มิกกลั้นขำ ออกไปหาข้าวกินกับเฟรม กลับมาก็เจอแบร์รี่กำลังแอคท่าทางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “เสือก” แบร์รี่ด่าแก้เขิน “หึหึ ด่ากลบเกลื่อนนะมึง แล้วนั่นอะไร ที่หายไปตั้งแต่เช้าคือไปช้อปปิ้งชุดใหม่มาเหรอ” เฟรมพยักพเยิดหน้าถาม เดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอนของตัวเอง แบร์รี่ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ทีแรกว่าจะกลับบ้าน แต่พ่อกับแม่ไม่อยู่ ก็เลยออกไปเดินซื้อของเล่นแก้เบื่อ” จริงๆ ก็คิดอยากจะไปเดินเล่นชิวๆ ดีกว่าหมกตัวอยู่แต่ในหอพัก ไม่คิดว่าจะได้เจอกับคนที่แอบปลื้ม แถมเขายังมาช่วยเลือกเสื้อผ้าให้อีก เหนือความคาดหมายจนคิดว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า “งั้นเสาร์อาทิตย์นี้มึงก็อยู่ที่หออะดิ” “อืม” “โอเค อาทิตย์นี้พวกกูก็ไม่ได้กลับบ้าน จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน” “เออ เห็นมึงเต๊ะท่าหน้ากระจกเมื่อกี้แล้ว เหมือนเขาจะมีจัดกิจกรรมประกวดสาวประเภทสองไม่ใช่เหรอวะ เพื่อนในคณะกูมันพูดๆ กันอยู่” มิกหยิบกล้วยแขกทอดที่แวะซื้อกลับเข้ามากินแล้วถาม แบร์รี่เกือบจะถลาเข้าไปตบเพราะคิดว่ามิกจะล้อเลียนที่ตนยืนเล่นหน้ากระจก แต่พอถูกถามถึงเรื่องการประกวด สีหน้าและอารมณ์ก็เปลี่ยนอย่างฉับพลัน “กินไหม” มิกยื่นถุงกล้วยแขกไปให้เพื่อนตัวเล็ก ที่มองด้วยความอยากกินแต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ กล้วยแขกหนึ่งชิ้นแคลอรีเยอะจะตาย แบร์รี่ไม่อยากเอาไขมันเข้าร่างกาย ไม่อยากให้น้ำหนักขึ้น “ไม่กิน เดี๋ยวอ้วน” “อย่างมึงเนี่ยนะเรียกอ้วน มึงบ้าปะเนี่ยแบร์ กูว่าเอวมึงนี่จับบิดทีเดียวก็ขาดแล้วนะ กูไม่เข้าใจทำไมพวกคนผอมชอบบอกว่าตัวเองจะอ้วนวะ” แบร์รี่ได้แต่ร้องเฮอะอยู่ในลำคอ พวกผู้ชายโดยทั่วไปน่ะ ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไม แบร์รี่ไม่ใช่คนตัวเล็กมาแต่กำเนิดถ้าไม่นับเรื่องส่วนสูงที่หยุดการเจริญเติบโตมาตั้งแต่มัธยมปลาย เขาคือเด็กเจ้าเนื้อคนหนึ่ง ตอนเด็กๆ ถูกล้อว่าจ้ำม่ำหรืออ้วนตุ๊ต๊ะจนกลายเป็นปมฝังใจ นับแต่นั้นมาแบร์รี่ก็กินน้อยลง อะไรที่กินแล้วอ้วนก็ต้องยั้งใจเอาไว้ อีกอย่างเขาไม่ใช่คนชอบออกกำลังกาย เพราะกลัวว่าจะมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เพราะฉะนั้นห้ามปากตัวเองน่าจะง่ายกว่า ใครจะรู้ว่ากว่าแบร์รี่จะเอวเล็กขาเล็กแบบนี้ได้ ต้องพยายามไปมากขนาดไหน มันเหนื่อยจริงๆ นะ “แล้วยังไงเรื่องประกวด” เฟรมถาม “กูเห็นแล้ว อยากประกวดอยู่ แต่ไม่มั่นใจว่าจะเหมาะสมไหม เขาให้ส่งตัวแทนแค่คณะละหนึ่งคน คนอื่นๆ เขาสวยกว่ากูเยอะอะ” แบร์รี่พูด การประกวดที่ว่าไม่ต่างอะไรจากการคัดเลือกดาวเดือนของแต่ละคณะ และในแต่ละคณะก็ไม่ได้มีเพศLGBTQ+ น้อยเลย คนที่สวยกว่าน่ารักกว่าแบร์รี่ก็มีเยอะแยะ แบร์รี่ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปสู้ แป๊ะ! “อีเหี้ย ตีกูทำไมเนี่ย” แบร์รี่ร้องโวยวาย กำลังนั่งซึมเศร้าเคล้าดราม่าอยู่ดีๆ ก็โดนมิกตีเข้าที่แขนไปที “ตีเรียกสติมึงไง ของแบบนี้ไม่ลองก่อนแล้วจะรู้เหรอวะ กูเห็นนะว่าว่างๆ มึงชอบนั่งวาดรูปออกแบบชุด ถ้ามึงรักทางนี้แล้วทำไมไม่ทำล่ะ” “เออจริง ไม่มีใครดูถูกมึงสักคน มีแต่มึงนั่นแหละดูถูกตัวเอง” แบร์รี่ทำหน้าหงอยที่ถูกเพื่อนด่า แต่ที่เขาคิดแบบนี้ก็เพราะว่าคนอื่นสาดคำดูถูกเหล่านั้นใส่เขาก่อนไม่ใช่เหรอ จนมันฝังเข้าเนื้อลึกไปจนถึงกระดูก แบร์รี่โดนมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีความมั่นใจขึ้นเลยสักที “งานนี้มันไม่ได้ใช้แค่ความสวยไม่ใช่เหรอ เห็นว่าต้องออกแบบชุดแล้วทำเองด้วยหรือเปล่า” มิกครุ่นคิด เขาไม่ได้สนใจฟังมามาก เพราะไม่ใช่เรื่องของเขา เพียงแค่ได้ยินกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดตอนเรียน ก็เลยนึกถึงแบร์รี่ “ใช่ ต้องออกแบบชุดการประกวดเอง แล้วก็ต้องตัดเย็บเอง ห้ามซื้อ ห้ามจ้างเด็ดขาด” ที่สำคัญ ต้องเย็บมือเองด้วย “นั่นไง กูว่ามึงทำได้ ลองดู” “เออ ไปลองดู ต่อให้มึงไม่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของคณะก็ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย” นั่นสินะ “อืม งั้นเดี๋ยวกูจะลองดู” “มันต้องอย่างนี้สิวะ!” แบร์รี่ยิ้มหวานขอบคุณรูมเมทที่พูดให้กำลังใจ สร้างแรงฮึดสู้ให้แบร์รี่ลองทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะเมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรจริงๆ ถึงแม้จะไม่ถูกคัดเลือกก็ไม่เป็นไร แค่ได้ลองก็พอแล้ว วันจันทร์ แบร์รี่ก็เลยหอบสมุดออกแบบชุดติดตัวมาด้วย หวังเอาผลงานที่แอบทำคนเดียวเงียบๆ ไปให้พวกรุ่นพี่ในคณะดู ถึงแบร์รี่จะไม่ได้สวยใสน่ารักเท่าคนอื่น แต่เขาก็มีความสามารถในด้านนี้ “มึงวาดสวยขนาดนี้เลยเหรอวะ” ซ่าเปิดดูรูปที่แบร์รี่วาด “มันวาดสวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” “ความจริงวาดหาเงินได้เลยนะ แต่มันไม่ทำ” โชแปงพูด เพราะที่ผ่านมาเคยมีรุ่นพี่มาจ้างวาด แต่แบร์รี่ก็ไม่รับวาด “ก็มันกดดัน วาดเล่นเองมันไม่มีใครมากำหนดกฎเกณฑ์อะไร กูวาดแบบที่กูอยากวาด แต่พอเขาจ้าง เขาจะอยากได้แบบที่เขาต้องการ ซึ่งกูก็กลัวว่าจะทำตามความต้องการของคนจ้างไม่ได้” “มึงก็กลัวทุกเรื่องอะอิแบร์ มีแค่เรื่องเดียวที่มึงไม่กลัวคือเรื่องผู้ชาย แรดนัก” “จะแรดไม่แรดก็เรื่องของกูไหมล่ะ แล้วทำไมกูจะไม่กลัวผู้ชาย กลัวมากค่ะ กลัวจนสั่นไปทั้งตัวแล้วแม่~” “สั่นสู้ล่ะสิมึงน่ะ” “รู้ดีอิโอ ฉลาดแบบนี้น่าเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน” “กูไม่ใช่หมา” “แต่กูเห็นมึงอ้อร้อผู้ชายไปทั่ว ถามจริง มีใครที่มึงชอบสักคนไหม” ซ่าถามด้วยความอยากรู้ “มึงไงซ่า กูชอบมึงนะ แต่กูจะไม่แย่งมึงมาจากพี่ปราบหรอก ไม่ต้องห่วง” “ทำเป็นพูดดีนะมึงน่ะ” โอส่ายหน้าให้กับความแดะแด๋ของคนตัวเล็ก ที่โอชอบแกล้งชอบพูดจิกกัดกับแบร์รี่ ก็ด้วยความมันเขี้ยวปนความหมั่นไส้ ยิ่งเวลาเห็นเพื่อนแรดๆ ระริกระรี้เล่นกับผู้ชายแล้วอยากจับมันมาตีสักทีสองที “เชื่อกูไหม เห็นอิแบร์เล่นกับผู้ชายไปทั่วนะ แต่ถ้ามันเจอคนที่ชอบจริงๆ ละก็ กูว่าจากหน้ามือจะเป็นหลังตีน” “หลังมือก็พออิโช” “ฮ่าๆๆ เออๆ หลังมือก็ได้ นั่นแหละ ถ้าอยู่ต่อหน้าคนที่มันชอบจริงๆ มันจะไม่เป็นแบบนี้หรอก” “แล้วกูจะเป็นยังไง” “มึงจะเขินและจะอายจนไม่กล้าแรดใส่เขายังไงล่ะ” “ชิ รู้ดีนะมึงนะ” แบร์รี่จิ๊ปากใส่เพื่อน แต่มันก็เป็นอย่างที่โชแปงว่า ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ชอบ แบร์รี่ก็เข้าไปเล่นเฮฮาอย่างไม่คิดอะไร ก็เหมือนเล่นกับเพื่อนไปทั่ว แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบ แบร์รี่รู้ตัวว่าตัวเองไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น ก็เห็นกันอยู่แล้ว เพียงแต่เพื่อนทั้งสามคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแบร์รี่มีอาการแบบนั้นกับใคร “สรุปเย็นนี้หลังเลิกรับน้องมึงจะไปประชุมเรื่องประกวดใช่ไหม” โชแปงถามเป็นการเป็นงาน หลังจากลับฝีปากกันด้วยเรื่องไร้สาระกันไปหนึ่งยก “ใช่ ลองไปดู ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” “เออดีแล้ว ทำอะไรตามใจตัวเองบ้างเถอะ” โอพูดหน้าเข้ม แบร์รี่ก็เลยเอาหน้าถูไหล่เพื่อนไปที เพราะรู้ว่าโอไม่พอใจเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่แบร์รี่ตามมาเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ โออยากให้เพื่อนตัวเล็กได้ทำตามความฝัน แต่พูดไปก็เท่านั้น ในเมื่อแบร์รี่กลัวและไม่กล้าบอกความจริงกับพ่อแม่ เขาเป็นเพื่อนก็ได้แต่อยู่เคียงข้าง แต่บางทีแบร์รี่ก็ดื้อจนน่าตี ทำให้หงุดหงิดทุกครั้ง “ยังไงก็ขอให้ได้ขอให้โดนนะมึง” โชแปงพูดให้กำลังใจเพื่อน พร้อมเอาใจช่วยเต็มที่ แบร์รี่หอบเอากำลังใจที่ได้จากเหล่าเพื่อนไปลงชื่อสมัครเข้าร่วมการแข่งขันการประกวดการแต่งกายของสาวประเภทสอง แรกเริ่มเดิมทีแบร์รี่คิดว่าจะมีคนมาลงสมัครเยอะ แต่ความจริงมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ เริ่มจากการลงสมัครกับรุ่นพี่ในคณะที่เป็นตัวแทนทีมงานก่อน จากนั้นก็จะเป็นการคัดเลือกคนที่คิดว่าเหมาะสม จากที่ไม่คาดหวัง แต่พอส่งสมุดที่อัดแน่นไปด้วยผลงานการออกแบบชุด รุ่นพี่ของคณะวิศวะก็ออกตัวดันแบร์รี่อย่างเต็มที่ แม้แต่เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นก็ยังพร้อมที่จะหลีกทางให้ “แบร์รี่ กูจะเสียสละแล้วส่งมึงไปแทน แต่อย่าแพ้กลับมา ไม่งั้นกูตบ” โมนา เพื่อนกะเทยในรุ่นพูดกับแบร์รี่ด้วยสีหน้าจริงจัง “แหมมึง งั้นมึงไปลงเองไป ไม่ต้องมาโยนให้กู” แบร์รี่พูดด้วยความหมั่นไส้ ของแบบนี้มันจะไปกำหนดได้ยังไง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะชนะการประกวด เอาแค่ให้ได้รับการคัดเลือกก่อนค่อยว่ากัน “ไม่เอา กูตัดเย็บไม่เป็นค่ะอีดอก กว่าจะได้ชุดนิ้วกูแหกพอดี” ฟังเพื่อนบ่นแล้วแบร์รี่ก็อยากจะกวนตีนเพื่อนกลับไปว่า แล้วก่อนมาสมัครมึงไม่อ่านรายละเอียดให้ครบถ้วนหรือไงคะ เขาก็เขียนบอกอยู่ว่าต้องเป็นชุดที่ตัดเย็บด้วยมือตัวเองเท่านั้น “เขากว่ากติกาปีนี้โหดมาก แล้วปีก่อนคณะเราก็ถูกคณะแพทย์ปาดหน้าเอารางวัลไป ปีนี้พวกรุ่นพี่ก็เลยอยากเอาคืน เชื่อกูเถอะ มึงได้เป็นตัวแทนคณะแน่นอน” แบร์รี่เริ่มรู้สึกหวั่นใจว่ามันจะดีจริงๆ ใช่ไหมหากรุ่นพี่เลือกเขา แล้วเขาจะทำให้คณะชนะได้ตามที่รุ่นพี่คาดหวังหรือเปล่า กดดันชนิดที่อยากถอนตัว และเมื่อพี่ๆ ประชุมกันเสร็จ แบร์รี่ก็อยากจะกรีดร้องเป็นเพลงว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง~~~~ “พวกพี่คุยกันแล้ว คิดว่าปีนี้คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้ความสามารถได้ตรงตามกฎกติกาการแข่งขัน ก็คือน้องแบร์รี่ค่ะ ไม่ทราบว่าถ้าจะให้น้องแบร์รี่เป็นตัวแทนของคณะเรา มีใครขัดข้องไหมคะ” ขอสามคำให้กับตอนนี้ ฉิบ หาย แล้ว “ไม่ติดค่ะพี่” “ให้แบร์รี่เป็นตัวแทนดีแล้วค่ะ หนูตัดชุดไม่เป็น เป็นแต่ฉีกชุดให้ขาดวิ่น” “ฮ่าๆๆ” “โอเคๆ ถ้าอย่างนั้นน้องแบร์รี่โอเคใช่ไหม ต้องโอเคแหละเนาะ เพราะน้องมาสมัครก็แสดงว่าต้องอยากไปประกวดอยู่แล้ว” รุ่นพี่กะเทยแสนสวยพูดพร้อมกับฉีกยิ้มนางพญา ดูสวยและดูเชือดเฉือนในเวลาเดียวกัน คาดว่าถ้าแบร์รี่ปฏิเสธ คงได้โดนเล็บสีแดงข่วนหน้าเป็นแน่ “โอเคค่ะ” และสุดท้าย แบร์รี่ก็ได้เป็นตัวแทนของคณะวิศวะเข้าร่วมประกวดการแต่งกายของสาวประเภทสองแบบงงๆ คนตัวเล็กทั้งอยากกรีดร้องด้วยความดีใจและอยากร้องไห้เพราะความกดดันไปพร้อมๆ กัน ช่วงเวลาเช้าก่อนเข้าเรียน ข้างลานจอดรถในพื้นที่อับสายตาผู้คน มีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนพิงต้นไม้สูบบุหรี่ การทำแบบนี้ในสถานศึกษาถือว่าไม่ถูกต้อง แต่จะให้ออกไปสูบข้างนอกก็ดูจะเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ ทำได้ก็แค่แอบทำเท่านั้น แต่มันก็ทำให้แรกได้เห็นอะไรดีๆ “พี่ปราบ ไอ้พัช” แรกเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจที่เห็นคนรู้จักอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่น และรู้สึกประหลาดใจซ้ำสองที่เห็นคนรู้จักโฉบหน้าเข้าไปหอมแก้มพัช อย่าบอกนะว่า...เป็นแฟนกัน แรกยืนมองพัชกับปราบจนกระทั่งเพื่อนเดินแยกไปที่ตึกเรียน ส่วนปราบก็ขึ้นรถแล้วขับออกไปจากลานจอดรถ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเปิดเข้าไปในแอพพลิเคชันสีน้ำเงิน พิมพ์ค้นหาเพื่อนแล้วกดเข้าไปไล่ดูในหน้าไทม์ไลน์ของปราบ ปกติแรกก็เล่นแอพพลิเคชันพวกนี้บ้างแต่ไม่บ่อย เขาเลยไม่ค่อยได้เห็นโพสต์ของปราบ ซึ่งเคยกดเพิ่มเพื่อนไว้ได้สักปีสองปีแล้ว แรกรู้จักปราบเพราะพ่อของแรกทำธุรกิจร่วมกับธุรกิจของบ้านปราบหลายงาน เวลาพ่อไปออกงานสังคมก็มักจะพาแรกไปด้วยเสมอ ทำให้เขาได้เจอกับปราบและเคยพูดคุยทักทายกันอยู่ครั้งสองครั้ง เพราะอย่างนั้นตอนที่แรกกดขอเป็นเพื่อนไป ปราบถึงได้กดรับ เพราะปราบไม่ได้รับเพื่อนในโซเชียลมั่วซั่ว ดูได้จากยอดเพื่อนที่มีแค่หลักร้อย คาดว่าน่าจะหวงพื้นที่ส่วนตัวพอสมควร พอมากดไล่ดูในหน้าไทม์ไลน์ของปราบแล้ว สิ่งที่กำลังสงสัยก็ได้รับความกระจ่าง พัชเป็นแฟนของปราบจริงๆ ด้วย แรกไม่เคยเอะใจมาก่อนว่าเคยเห็นหน้าพัชผ่านหน้าไทม์ไลน์ เพราะไม่บ่อยที่ปราบจะอัปเดตความเคลื่อนไหวในนี้ เหมือนกับที่แรกเองก็ไม่ได้เข้ามาเล่นบ่อยนัก และเอาเข้าจริงก็มีรูปของพัชไม่กี่ภาพ บางภาพไม่เห็นทั้งหน้า มาแค่ปากที่ฉีกยิ้มจนเห็นฟันเกือบครบสามสิบสองซี่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นภาพถ่ายที่ไม่เลวเลย บ่งบอกว่าคนถ่ายภาพมีฝีมือ จากที่รู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับพัช ตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าจะต้องเข้าไปทำความรู้จักให้ได้ พ่อของเขาสอนเอาไว้ว่าการสร้างคอนเนกชั่นเป็นสิ่งที่นักธุรกิจควรทำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทำด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ทำเพียงเพื่อหวังผลประโยชน์อย่างเดียว แบบนั้นไม่มีทางทำธุรกิจด้วยกันอย่างยั่งยืน “มึงเห็นข่าวนี้หรือเปล่าวะ เขาว่าไอ้คนนั้นอะ ที่ออกไปเต้นวันปฐมนิเทศแล้วแนะนำตัวว่าจบจากวิทยาลัยช่าง มีข่าวว่าขายตัวให้เสี่ยว่ะ” “นั่นมันผู้ชายไม่ใช่เหรอวะ” “เออไง แต่เดี๋ยวนี้ใครแม่งก็ขายได้แล้วป่ะวะ ไม่จำเป็นว่าจะเพศไหนหรอก” แรกเงยหน้าจากหนังสือเรียนมองบอยกับแก็ปที่กำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ รู้สึกตงิดๆ กับเรื่องที่เพื่อนกำลังพูดคุย “ข่าวอะไร เอามาให้กูดูสิ” แรกแบมือขอโทรศัพท์มือถือจากบอย บอยมองแรกด้วยความงุนงงก่อนจะส่งโทรศัพท์ไปให้ ร้อยวันพันปีแรกไม่เคยสนใจพวกข่าวกอสซิปซุบซิบอะไรพวกนี้ แรกหลุบตาลงมองภาพและข้อความที่เจ้าของแอคเคาท์โพสต์ลง ตามมาด้วยคอมเมนต์และรูปภาพยืนยันว่าคำกล่าวหาเป็นความจริง เป็นความจริงก็แย่แล้ว “มึงคิดว่าไงไอ้แรก” แก๊ปถาม อยากรู้ว่าคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้จะมีความคิดเห็นยังไง “ต้องคิดยังไง ไร้สาระ เรื่องไม่จริงทั้งนั้น” แรกส่งโทรศัพท์คืนให้บอย ท่ามกลางความไม่เข้าใจของเพื่อนทั้งสองคน “ยังไงวะ แต่มันก็ดูมีมูลนะโว้ย” “เพราะคนที่มีข่าวกับไอ้พัช คือคุณปราบ ลูกชายของเจ้าของบริษัท เกียรตินคร ดีเวลลอปเมนท์ พวกมึงดูรูปดีๆ สิ ไม่เคยเห็นเขากันหรือยังไง” บอยกับแก็ปมองหน้ากันอย่างตกใจ ก่อนจะก้มมองรูปถ่ายในโทรศัพท์อีกครั้ง และเพื่อให้แน่ใจ เขากดเสิร์ชชื่อปราบลงไป แล้วรูปของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงก็ปรากฏออกมาช่วยไขความให้กระจ่าง “มึงจะบอกว่าสองคนนี้คบกันจริงๆ เหรอ” แก๊ปกำลังคิดว่า ต่อให้เป็นคุณปราบจริงๆ มันจะเป็นไปได้ไหมที่คุณปราบจะเลี้ยงเด็กผู้ชาย “ใช่ เท่าที่กูรู้จักพี่ปราบมา เขาไม่ใช่คนที่จะซื้อกิน ไม่มีความจำเป็นเลย มีแต่คนเข้าหาเขาขนาดนั้น” “ก็ไม่แน่นะเว้ย ของแบบนี้ เราไม่ได้ไปอยู่ใต้เตียงเขานี่หว่า” “ใช่ และเพราะมึงไม่ได้ไปอยู่ใต้เตียงเขา มึงก็ไม่มีทางรู้ว่าอะไรคืออะไร จนกว่าความจริงจะกระจ่าง ก็อย่าไปใส่ร้ายใครมั่วๆ” เมื่อโดนคำพูดของแรกสวนกลับ บอยกับแก๊ปก็สะอึกไป ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ มันก็จริงอย่างที่แรกพูด ความจริงคืออะไรยังไม่มีใครรู้ แต่ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะข่าวลือพวกนี้มันแพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่มเสียอีก ต่อให้กลุ่มของแรกจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ แต่ก็ใช่ว่าจะห้ามปากคนอื่นได้ โดยเฉพาะปากของตัวปัญหาอย่างโน้ต “เฮ้ยมึง ไอ้เด็กช่าง ข่าวที่เขาพูดๆ กันนี่ยังไงวะ ที่ว่ามึงขายตัวให้เสี่ยรวยอะ” แรกหันไปมองตามเสียงเห่าหอน ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากัน ก่อเกิดเป็นความหงุดหงิด แรกเกลียดคนแบบนี้ คิดว่ามีอำนาจอยู่เหนือชาวบ้านแล้วจะทำตัวยังไงก็ได้ ขนาดอยู่ในช่วงทำกิจกรรมที่มีรุ่นพี่ดูแล มันก็ยังไม่เกรงกลัวสิ่งใด เห็นแล้วรกหูรกตาเหลือเกิน “เฮ้ย พูดอะไรระวังปากหน่อย” โอ หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของแบร์รี่และพัชพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำไม ปกป้องเพื่อนมึงเหรอ กล้าทำแล้วไม่กล้ายอมรับเหรอวะ เหอะๆ น่าอายว่ะ” “กูจะขายหรือไม่ขาย มันก็เรื่องของกู ไม่เกี่ยวกับมึง” “เขาให้มาทำกิจกรรม ไม่ได้ให้มาซักถามเรื่องส่วนตัวคนอื่น” ในที่สุดแรกก็ทนความปากหมาของโน้ตไม่ไหว จึงพลั้งปากสอดเข้าไปแม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง คนอื่นทนดูเฉยๆ ได้ก็ทำไป แต่แรกจะไม่ทน “หุบปากไป ไม่ได้ขอความเห็นมึง” โน้ตหันมาถลึงตาใส่คนที่สอดปากเข้ามายุ่ง นอกจากไอ้เด็กช่างแล้ว ก็ไม่ค่อยจะมีใครกล้างัดข้อกับเขา “มึงก็หุบปากไป ไม่มีใครอยากได้ยินเสียงมึงเหมือนกัน” แรกพูดโต้ตอบอีกรอบอย่างไม่หวั่นกลัว ก่อนที่เขาจะปลายสายตามองแบร์รี่ที่ยืนหน้าเสียอยู่ข้างพัช แรกสบตากับดวงตาดำขลับของแบร์รี่ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้แรกไม่ชอบขี้หน้าโน้ต ก็คงเพราะโน้ตเคยพูดจาไม่ดีใส่แบร์รี่ ดูเอาเถอะ ได้แต่เกาะแขนเพื่อนด้วยท่าทีแตกตื่น คนแบบนี้จะไปทำร้ายใครได้ แค่เป็นตุ๊ดเป็นเกย์ มันไม่ได้เสียหายที่ตรงไหนเลย คนที่เป็นภัยต่อสังคม น่าจะเป็นคนประเภทหาเรื่องระรานคนอื่นไปทั่วเสียมากกว่า “ตรงนั้นมีอะไรกัน” ก่อนที่เรื่องจะลุกลามใหญ่โต พวกรุ่นพี่ที่สังเกตเห็นความผิดปกติก็เดินเข้ามาดูสถานการณ์ ซึ่งโน้ตยังคงปากดีปากสว่าง พยายามอย่างยิ่งที่จะแพร่กระจายข่าวว่าพัชขายตัว จนพัชแทบจะหมดความอดทน แรกก็เลยต้องช่วยพูดกับรุ่นพี่ว่าไม่มีอะไร จะได้สลายตัวกลับไปสนใจกับกิจกรรมรับน้องกันเสียที แรกได้รับสายตาที่แสดงความขอบคุณมาจากพัช เขารู้สึกเห็นใจ ดูก็รู้ว่าอดทนอดกลั้นมากแค่ไหนที่จะไม่เข้าไปต่อยโน้ต แรกไม่รู้ว่าคนอื่นจะมีภาพจำต่อเด็กช่างอย่างไร แรกไม่เคยรู้จักคนกลุ่มนี้ เคยได้ยินแต่ข่าวตีรันฟันแทงตามโทรทัศน์ ถามเอาตามที่แรกคิด โน้ตกำลังยั่วยุให้พัชหมดความอดทนแล้วใช้กำลังกับตัวเองในที่สาธารณะ คงหวังใช้ประเด็นนี้ในการทำร้ายอีกฝ่าย “กูคิดว่าจะมีวางมวยกันแล้ว” วาพูดกระซิบกับเพื่อนในกลุ่ม “ไปเถอะว่ะ พี่เขาเรียกจัดแถวแล้ว” นัทพูดขึ้น แล้วเดินนำไปต่อแถวเพื่อทำกิจกรรม แรกออกเดินช้ากว่าเพื่อน เพราะมัวแต่จ้องหน้าคนที่กำลังมองตัวเองด้วยความชื่นชม จนกระทั่งแบร์รี่ถูกเพื่อนลากไป สายตาทั้งสองคู่จึงหลุดออกจากกัน มุมปากหยักกระตุกยิ้มเพียงเสี้ยววินาที รู้สึกว่าการเสนอหน้าเข้าไปมีปากมีเสียงกับโน้ตก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆ เขาก็คงดูเท่ในสายตาของใครอีกคนไม่น้อย ถือว่าคุ้ม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD