บทนำ
สองปีก่อน
“แรก มาคุยกับพ่อหน่อย” กอบกุล ผู้นำของตระกูลโยธาสิทธิ์เอ่ยเรียกลูกชายคนโตที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่กลางห้องนั่งเล่นกับน้องชายอีกสองคน
“มีอะไรพ่อ”
“ไปคุยที่ห้องทำงาน” ผู้เป็นพ่อพูดเสร็จก็หันหลังเดินออกไป ปล่อยให้ลูกชายสามคนมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“ผมว่าเรื่องนั้นแน่นอน” ‘คนรอง’ น้องคนกลางป้องปากกระซิบกระซาบ
“เรื่องอะไรอะ” ‘คนเล็ก’ น้องคนสุดท้องย่นหัวคิ้วถามด้วยความอยากรู้
“เรื่องที่พี่แรกมีแฟนเป็นผู้ชายไง” คนรองเหล่ตามองพี่ชายแล้วยักคิ้วกวนๆ
“ไม่ใช่แฟน” แรกพูด ก่อนจะลุกขึ้น
“ไม่ใช่แฟนอะไร วันก่อนผมยังเห็นจูบกันที่โรงเรียน”
“ไม่ใช่แฟน” แค่มีอะไรกันเฉยๆ
แรกบอกกับน้องชายทั้งสองคนของตัวเองสั้นๆ ก่อนจะเดินไปหาผู้เป็นพ่อที่ห้องทำงาน
แรกเคาะประตูห้องก่อนจะเปิดเข้าไป ชายรูปร่างภูมิฐานนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่มองตรงมายังลูกชายนิ่ง กอบกุลใช้สายตาสำรวจ ‘คนแรก’ อย่างละเอียดถี่ถ้วน เด็กผู้ชายตรงหน้ารูปร่างสูงใหญ่เหมือนเขา มีแววว่าจะสูงได้มากกว่านี้ ซึ่งปัจจุบันลูกชายคนแรกของเขาเพิ่งจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า อายุก็สิบเจ็ดปี เป็นวัยรุ่นที่ใกล้จะเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มเต็มตัว
นอกจากรูปร่างและความสูงแล้ว ใบหน้าของคนแรกก็ยังหล่อเหลาได้เชื้อของกอบกุลสมัยหนุ่มๆ มาเต็มกระบุง และได้ผิวพรรณดีๆ มาจากผู้เป็นแม่อย่างคุณหญิงปรารถนา เรียกได้ว่าเพียบพร้อมไปด้วยรูปและทรัพย์
ยิ่งไปกว่านั้นลูกชายของเขายังเรียนดีและเล่นกีฬาเก่ง ไม่มีจุดไหนขาดตกบกพร่อง กอบกุลไม่เคยต้องกังวลใจกับคนแรก จนกระทั่งเขาได้รับรูปถ่ายจากเพื่อนที่รู้จัก ถึงความสัมพันธ์ของคนแรกกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
ใช่ เขาพูดไม่ผิด เด็กผู้ชาย ไม่ใช่เด็กผู้หญิง
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่กอบกุลเรียกลูกชายคนโตมาคุย
“พ่อมีอะไรจะคุยกับผมเหรอ” แรกทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามบิดา สายตาที่มองตอบผู้เป็นพ่อสงบนิ่งไร้แววกังวล ถึงจะไม่รู้ว่าถูกเรียกมาคุยเรื่องอะไร แต่เท่าที่เป็นพ่อลูกกันมา แรกคิดว่าเขากับพ่อสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง
“แรก ลูกมีแฟนหรือยัง” กอบกุลถาม เห็นหัวคิ้วของลูกชายขยับขึ้นสูงเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเป็นการตอบ
“ไม่มีครับ”
“ถ้ามีก็บอกพ่อได้นะ”
“ถ้าพ่อหมายถึงแฟน คนที่ผมรัก ยังไม่มีครับ” แรกตอบอย่างจริงจัง เขาไม่ได้โกหก หลังจากเลิกกับแฟนคนก่อนเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้รู้สึกชอบใคร มีคุยบ้าง แต่ยังไม่ถึงกับชอบหรือว่ารัก
“งั้นคนนี้ใคร” กอบกุลส่งรูปถ่ายใบหนึ่งให้คนแรก เด็กหนุ่มหยิบรูปไปดูก่อนจะเหลือบสายตามองปฏิกิริยาของผู้เป็นพ่อ
รูปถ่ายที่ว่าเป็นรูปของเขากับเพื่อนร่วมห้อง ที่กำลังนั่งกินไอศกรีมหลังเลิกเรียนในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง และเพื่อนคนที่ว่าก็กำลังหอมแก้มเขา เหตุการณ์ในตอนนั้นเขาไม่ได้เต็มใจให้อีกฝ่ายหอมแก้มเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีอะไรกัน แต่ก็ไม่ใช่แฟนที่จะมาทำสวีทหวานต่อหน้าผู้คน เขาทำเพียงดุไป และอีกคนก็เข้าใจดีว่าไม่ควรทำอีก
ความสัมพันธ์บางรูปแบบ ต้องขีดเส้นไว้ให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นมันจะพัวพันกันจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างคนรักกับคู่นอน
“แค่เพื่อนครับ”
“เพื่อน? เพื่อนผู้ชายที่หอมแก้มกัน อย่างนั้นเหรอแรก”
“ผมพูดไปมันก็ไม่ดีกับอีกคน ถึงเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนกับผมก็ตาม แต่ถ้าพ่ออยากรู้ ผมบอกได้แค่ว่าเรามีความสัมพันธ์กัน แต่เราไม่ได้รักกัน” แรกพูดกับพ่อแทบทุกเรื่องโดยไม่มีอะไรต้องปิดบัง แต่เรื่องบนเตียง บางครั้งก็ไม่สามารถเล่าให้คนนอกฟังได้อย่างสะดวกปาก
“แรกชอบผู้ชายเหรอ” กอบกุลขมวดคิ้วมองลูกชายอย่างไม่เข้าใจ ที่ผ่านมาเขารับรู้ว่าลูกมีแฟนและแฟนคนก่อนก็เป็นเด็กผู้หญิง เขาได้แต่สอนว่าจะทำอะไรก็คิดให้ดี เพราะอีกฝ่ายเขาจะเสียหาย และหากยับยั้งชั่งใจไม่ได้ก็ต้องรู้จักป้องกัน
แรกถอนหายใจกับคำถามของพ่อ เขาเว้นช่วงใช้ความคิดราวหนึ่งนาทีก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ผมไม่ได้มีความชอบเรื่องเพศที่ตายตัว ผู้หญิงผมก็ชอบ ผู้ชายผมก็ชอบ ถ้าหากว่าเขาตรงสเปคหรือมีอะไรบางอย่างถูกใจผม พ่ออาจจะไม่เข้าใจถ้าพ่อรู้สึกชอบแค่กับผู้หญิง และเผื่อพ่อจะคิดว่าผมมีอาการทางจิตที่ชอบเพศเดียวกัน ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าผมจิตปกติมากครับ”
“เปล่า พ่อไม่ได้คิดแบบนั้น แค่ไม่คิดว่าลูกจะชอบผู้ชาย”
“พ่อผิดหวังในตัวผมไหม” แรกถามกลับในสิ่งสามัญที่ไม่ว่าพ่อแม่คนไหนก็คงกังวลใจกับเรื่องนี้
“ไม่รู้สิ พ่อไม่ได้ผิดหวังนะ แต่มันรู้สึกเบาโหวงอยู่ในอก”
“พ่อ ตอนนี้ผมอายุสิบเจ็ด อาจจะยังโตไม่มาก แต่ผมก็โตพอจะรู้ความแล้วว่าอะไรคืออะไร พ่อเลี้ยงผมมา พ่อก็รู้ว่าอะไรที่ผมไม่ชอบ ผมไม่มีทางแตะ และผมคงกอดผู้ชายด้วยกันไม่ได้ถ้าใจผมไม่ได้ชอบ ไม่มีใครบังคับผมได้ แต่เรื่องพวกนี้มันคือรสนิยม”
“...”
“และความจริงผมก็เพิ่งจะอายุแค่สิบเจ็ด ผมก็แค่อยากลองใช้ชีวิตก็เท่านั้น ผมมองคนที่ตัวบุคคลนะพ่อ ถ้าเขาจะใช่ ต่อให้เป็นเพศอะไร เขาก็จะใช่สำหรับผม พ่อไม่ต้องกังวลเลย”
“ตอนนี้ลูกกำลังจะบอกพ่อว่า อย่ายุ่งเรื่องความรักของลูก ใช่ไหม”
“เปล่าครับ ผมแค่อยากบอกพ่อว่า ผมรักได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และผมปกติดี ไม่ได้ป่วยทางจิตแบบที่คนอื่นๆ คิด ผมรักคนที่จิตใจ ไม่ใช่เพศหรือรูปลักษณ์ภายนอก เหมือนที่พ่อรักแม่ แม้ว่าตอนนั้นใครต่อใครจะคิดว่าแม่ไม่เหมาะกับพ่อก็ตาม”
กอบกุลรู้สึกทึ่งในความคิดความอ่านของลูกชายไม่น้อย ในสายตาของคนเป็นพ่อ คนแรกและลูกชายอีกสองคนยังคงเป็นลูกชายตัวน้อยๆ ที่เขารู้สึกเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้ภาพการมองเห็นที่มีต่อลูกชายของกอบกุลกลับเปลี่ยนไป คนแรกไม่ใช่เด็กตัวน้อยๆ ที่วิ่งร้องไห้งอแงมาหาเขาในตอนที่หกล้มหรือตอนที่โดนเพื่อนล้อว่าตัวเล็กแคระแกร็นอีกต่อไปแล้ว
ลูกของเขาโตแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีอีกเรื่องที่กอบกุลรู้สึกเป็นกังวล
“แต่แรกรู้ใช่ไหม ในอนาคต แรกต้องมาแทนตำแหน่งพ่อ แรกต้องเป็นผู้นำครอบครัว ดูแลธุรกิจ และจะต้องมีทายาทสืบเชื้อสายของวงศ์ตระกูลเรา”
แรกพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่พ่อบอก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิด เขารู้ดีว่าสถานะลูกชายคนโต เขาต้องแบกรับความคาดหวังของพ่อกับแม่เป็นธรรมดา ทว่าเขาก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ
เขาอยากมีอิสระในการคิดและการใช้ชีวิต อยากคิดเองตัดสินใจเอง ต่อให้ผู้ใหญ่บางคนจะมองว่าอวดดี แต่สำหรับเขาแล้ว ต่อให้จะล้มจะผิดพลาดมันก็เป็นการเติบโตในทางที่ตัวเองได้เลือก ซึ่งนั่นสำคัญที่สุดแล้ว
“พ่อว่าผมเก่งไหม ผมสอบได้คะแนนเต็มทุกวิชา จะแข่งกีฬาผมก็ชนะ เรื่องงาน ถ้าผมเรียนจบผมว่าผมสามารถช่วยงานพ่อได้อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องทายาท ผมไม่ได้บอกว่าผมไม่ชอบผู้หญิงนะ วันหนึ่งผมอาจจะมีเมียเป็นผู้หญิงก็ได้ แต่ถ้าหากไม่ใช่ ผมก็อยากให้พ่อรู้ไว้ว่าผมคงคิดดีแล้ว เพราะผมไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ต้องประชดชีวิตด้วยการคบผู้ชาย”
“...”
“พ่อเป็นคนเลี้ยงผมมา ย่อมต้องรู้จักผมดีที่สุด ว่าผมไม่มีทางหลงผิด ถูกไหมครับ”
กอบกุลไปต่อไม่ถูก เขาเหมือนถูกลูกชายตัวเองต้อนให้จนมุม เด็กคนนี้มันร้าย เขาเลี้ยงลูกให้ฉลาดและเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ได้ยังไง คิดแล้วก็ได้แต่หลุดหัวเราะ
“เรื่องทายาทเอาไว้ค่อยคิดเถอะครับพ่อ ผมเพิ่งจะสิบเจ็ดเองนะ”
“...” กอบกุลเงียบ รอฟังสิ่งที่ลูกชายกำลังจะพูดต่อ
“อีกอย่าง ต่อให้วันหนึ่งคนรักของผมเป็นผู้ชาย พ่อก็ยังมีรองกับเล็กอยู่ หรือจะให้ผมรับเด็กมาเลี้ยงเหมือนครอบครัวคุณสงครามก็ได้ เขาเป็นนักธุรกิจใหญ่โต พ่อทำธุรกิจกับเขา พ่อก็น่าจะรู้ว่าเขามีภรรยาเป็นผู้ชาย ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะทำให้ชีวิตเขามีปัญหาที่ตรงไหน”
จบคำพูดของลูกชายคนโต ผู้เป็นพ่ออย่างกอบกุลก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไปแล้ว เพราะที่ลูกของเขาพูดมานั้น มันจริงทุกคำ
“ถ้าอย่างนั้น วันไหนที่แรกเจอคนที่รักที่คิดว่าใช่ ก็อย่าลืมพามาให้พ่อรู้จักล่ะ ไม่ว่าจะเป็นใคร พ่อยินดีต้อนรับ”
“ขอบคุณครับพ่อที่เข้าใจและยอมรับในตัวผม”
ในเวลาเดียวกัน ณ บ้านไม้สีขาวสองชั้น ภายในห้องนอนสีขาวสะอาดขนาดเล็กๆ แต่กลับกว้างใหญ่ราวกับเป็นโลกทั้งใบของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ภายในนั้นมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่
‘แบงค์’ หรือ นายวรัชญ์ วงค์ปัญญา อายุสิบเจ็ดปี กำลังนั่งขีดเขียนร่างแบบเสื้อผ้าลงบนกระดาษสีขาว บนโต๊ะเขียนหนังสือแทบไม่มีที่ว่าง เพราะเต็มไปด้วยกระดาษที่ถูกฉีดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นบ้างและภาพเครื่องแต่งการที่ปรินท์ใส่กระดาษเอสี่
ภายใต้ลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือ มีจักรเย็บผ้าขนาดเล็กถูกซุกซ่อนเอาไว้ สิ่งที่เป็นความสุขและความฝันที่แบงค์ไม่เคยบอกพ่อกับแม่ เพราะสิ่งที่เขาเป็น คนส่วนใหญ่ไม่ยังไม่ให้การยอมรับ
แบงค์ หรือ ‘แบร์รี่’ ชื่อใหม่ที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมา
เขาเป็นผู้ชายที่มีใจรักสวยรักงามเหมือนผู้หญิง แต่ไม่ถึงกับอยากแปลงเพศเป็นผู้หญิง เขาแค่ชอบอะไรก็ตามที่ผู้หญิงมักจะชอบ อย่างพวกของสวยๆ งามๆ ชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่น และที่สำคัญ...เขาชอบผู้ชาย
ใครต่อใครนิยามในสิ่งที่เขาเป็นว่า ‘ตุ๊ด’ คำคำนี้น่าจะมีมาก่อนที่แบร์รี่จะเกิดเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นแบร์รี่คิดว่ามันเป็นชื่อเรียกของเพศสภาพหรือรสนิยมอย่างหนึ่ง และเขายอมรับโดยดุษณีว่าเขาเป็น ‘ตุ๊ด’ หรือถ้าบางคนจะบอกว่าเขาเป็นเกย์ออกสาวก็ได้หมด เพราะมันก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่
เพื่อนที่โรงเรียนจะเรียกแบร์รี่แบบไหนก็ได้ ทุกคนรู้ว่าแบร์รี่เป็นอะไร ยกเว้นก็แต่พ่อกับแม่
แบร์รี่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนายพนมและนางสุดา เจ้าของกิจการขายน้ำอบ น้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้ไทย พวกท่านไม่ใช่คนใจร้าย แต่เพราะกลัวว่าพวกท่านจะผิดหวังและเสียใจ แบร์รี่จึงไม่เคยคิดบอก
กลัวว่าถ้าบอกไปแล้ว จะทำให้พ่อกับแม่มองตัวเองเปลี่ยนไป และอาจจะมีจุดจบเหมือนเพื่อนคนหนึ่งในแก๊งที่ถูกพ่อกับแม่ไล่ออกจากบ้าน
แบร์รี่ไม่อยากเห็นพ่อแม่ร้องไห้ ไม่อยากถูกต่อว่า ไม่อยากทะเลาะจนมองหน้าพ่อกับแม่ไม่ติด ดังนั้นเรื่องที่แบร์รี่เป็นตุ๊ดและชื่นชอบเพศเดียวกัน จำต้องเก็บไว้เป็นความลับ รวมไปถึงความชอบและอนาคตที่ฝันอยากเป็นดีไซเนอร์ แบร์รี่ก็ต้องปิดบังเอาไว้ ให้เป็นเพียงงานอดิเรกที่ต้องแอบทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ
“แบงค์ พ่อกับแม่กลับมาแล้ว” เสียงทุ้มใหญ่ของบิดาดังก้องไปทั่วบ้าน แบร์รี่สะดุ้งตกใจ เผลอลงน้ำหนักมือกดดินสอสีไม้กับกระดาษจนมันหัก เกิดเป็นจุดสีเข้มบนพื้นที่ที่ควรจะเป็นสีอ่อน
“เฮ้อ มีตำหนิเลย” แบร์รี่ถอนหายใจ แล้วรีบกวาดกระดาษทั้งหมดลงลิ้นชักด้วยความรีบเร่ง ไม่มีเวลาให้เสียดายผลงานที่กำลังสร้างสรรค์ เพราะต้องรีบลงไปหาพ่อกับแม่ที่ชั้นล่าง
“ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะครับ” แบร์รี่ถาม พลางเหลือบดูนาฬิกาที่บอกเวลาสี่โมงเย็น
“ก็เมื่อวานซืนอินคลอดลูกแล้วออกจากโรงพยาบาลวันนี้ พ่อกับแม่ก็เลยกลับบ้านเร็วหน่อยจะได้ไปเยี่ยมหลานด้วย”
“คลอดแล้วเหรอครับ”
“ใช่ ลูกผู้ชายด้วยนะ สมใจอยากเขาล่ะ อยากได้ลูกผู้ชายไว้สืบสกุล เห็นว่าคนต่อไปอยากได้เป็นลูกสาว แต่ต้องรอดูว่าจะได้ไหม”
แบร์รี่เม้มปากแน่น เขาไม่ชอบคำว่าอยากได้ลูกชายไว้สืบสกุล แบร์รี่ไม่รู้ว่าผู้ชายคนอื่นคิดยังไง แต่ความคาดหวังแบบนี้ แบร์รี่แบกรับเอาไว้ไม่ได้ เขาไม่ชอบผู้หญิง แล้วเขาจะคบหาหรือรักกับผู้หญิงได้ยังไง ยิ่งไม่ต้องนึกถึงการมีลูก มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย
คนมีอายุชอบเล่นกับเด็กๆ ชอบการมีลูกหลาน แบร์รี่เห็นมานักต่อนัก พอลูกเติบโตจนมีครอบครัว ก็มักจะบอกให้มีหลานให้อุ้มไวๆ ยิ่งได้มาเห็นภาพพ่อกับแม่กำลังอุ้มหลานชายด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แบร์รี่ก็ยิ่งรู้สึกปวดหน่วงในอก เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางมีเมียมีลูกให้พ่อแม่ชื่นใจได้
อินเป็นลูกพี่ลูกน้องของแบร์รี่ อายุห่างกันสิบปี ทันทีที่เรียนจบและเริ่มทำงานก็ได้พบรักกับคนรัก คบหาดูใจกันได้สี่ปีก็ตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว
ตอนนั้นพ่อกับแม่ทั้งฝั่งของอินและคนเป็นสามีคอยพูดรบเร้ากรอกหูอยู่ทุกวันว่าให้รีบๆ มีหลาน จากนั้นไม่นานอินก็ท้องลูกคนแรก สมใจปู่ย่าตายายที่คาดหวังอยากจะอุ้มหลานเร็วๆ
“น่าเกลียดน่าชังจังลูกเอ้ย” สุดาพูดกับหลานชาย ยิ้มจนแทบไม่เห็นลูกตา เอ็นดูเจ้าตัวเล็กเหลือคณา เหมือนตัวเองได้ย้อนเวลากลับมาอุ้มลูกชายอีกครั้ง
ตอนเด็กๆ น้องแบงค์ก็น่าเกลียดน่าชังแบบนี้ จนอยากจะฟัดหอมแก้มมันทั้งวัน
“ถ้าอยากมีหลานแบบนี้บ้าง ก็ต้องรอตอนที่เจ้าแบงค์โตพอจนมีเมียนั่นแหละ แต่ดูท่าจะนานหน่อยนะ” พี่สาวของสุดาเอ่ยแซว ก่อนจะเบนสายตามองหลานชายที่นั่งจับมือทารกตัวน้อยเล่น
“ในอนาคต ถ้าแบงค์มีลูก ก็จะต้องน่ารักแบบนี้แน่นอน แม่มั่นใจ” สุดาพูดยิ้มๆ ด้วยความสุข เธอไม่ได้คิดอะไร ที่พูดไปแบบนั้นก็เพราะไม่ว่าวันหนึ่งหลานจะออกมามีรูปร่างหน้าตาแบบไหน ยังไงก็น่ารักที่สุดสำหรับพวกเขาอยู่แล้ว
หากแต่แบร์รี่ฟังแล้วก็ได้แต่มองหน้าหลานก่อนจะยิ้มเศร้า เพราะมีแค่เขาที่รู้ว่าในอนาคตที่พ่อกับแม่คาดหวังไว้นั้น คงไม่มีวันเป็นจริง