‘ลงชื่อสมัครการประกวดการแต่งกายของสาวประเภทสอง’
แบร์รี่ยืนมองป้ายประกาศที่ติดอยู่บนบอร์ดประกาศใต้ตึกคณะนานอยู่หลายนาที หัวใจดวงน้อยๆ รู้สึกมีชีวิตชีวาเมื่อได้เห็นในสิ่งที่เป็นความฝันของตัวเอง
ลงประกวดดีไหมนะ
แบร์รี่ยังตัดสินใจไม่ได้ เลยทำได้แค่เพียงถ่ายรูปใบประกาศเก็บเอาไว้ แต่ในหัวกลับคิดภาพชุดที่ตัวเองอยากใส่ประกวดได้เป็นฉากๆ
แต่คนที่จะประกวดพวกนี้ได้ ต้องเป็นคนสวยคนหน้าตาดีไม่ใช่เหรอ แบร์รี่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ มีแค่ใจกับความรักในการแต่งตัวก็เท่านั้น
ยิ่งวันก่อนโดนเพื่อนร่วมรุ่นคนเดิมอย่างโน้ตพูดไม่ดีใส่ บอกว่าแบร์รี่ควรต้องไปทำศัลยกรรมเพิ่มจะได้ดูดีเหมือนคนอื่น คำพูดร้ายกาจพวกนั้นลดทอนความมั่นใจของแบร์รี่แบบฮวบฮาบ ถึงแม้ว่าซ่ากับโอจะปลอบใจอย่างไร แต่หัวใจที่ถูกคำพูดกรีดเป็นทางยาว ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในเร็ววัน มากไปกว่านั้นมันอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ไม่มีวันเลือนราง
วันทั้งวันเรื่องการประกวดวนเวียนอยู่ในหัวของแบร์รี่ ยิ่งพอได้เข้าไปในไลน์กลุ่มที่มีไว้อัพเดตข่าวสารกิจกรรมเฉพาะกลุ่มของชาวLGBTQ+ โดยเฉพาะ ยิ่งทำให้แบร์รี่อยากลองเข้าประกวด
“เฮ้ เดินเลยห้องแล้ว”
แรงฉุดรั้งที่ข้อศอกกับเสียงเรียกทำให้แบร์หลุดออกจากความคิด หันไปมองหน้ารูมเมทอย่างมิกด้วยความมึนงง
“ใจลอยไปถึงไหน เข้าห้องไป” มิกเปิดประตูแล้วดันให้แบร์รี่เข้าไปในห้อง
“คิดอะไรเพลินๆ น่ะ” แบร์รี่ตอบ วางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง เอื้อมมือคว้าตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดมากอดเรียกกำลังใจ
“กินไรมายัง” มิกถาม
“ยังเลย” พอเลิกกิจกรรมรับน้อง แบร์รี่ก็นั่งรถเวียนกลับมาที่ห้องพักทันที มัวแต่คิดเรื่องการประกวด เลยไม่ได้คิดเรื่องอาหารเย็น
“ไปกินข้าวต้มโต้รุ่งข้างมหาลัยฯ กันไหม เดี๋ยวรอไอ้เฟรมกลับมา มันบอกว่ากำลังออกมาจากคณะ”
ทุกคณะในมหาวิทยาลัยมีรับน้องในตอนเย็นเช่นกัน ซึ่งแต่ก่อนบางคณะเลิกรับน้องดึกถึงสามสี่ทุ่มก็เคยมี แต่ปีนี้มีคำสั่งจากอธิการบดีมหาวิทยาลัยลงมาว่าให้รับน้องได้ไม่เกินหนึ่งทุ่ม ซึ่งก็ไม่มีรุ่นพี่คณะไหนกล้าขัดคำสั่ง
“อืม งั้นขออาบน้ำก่อนได้ไหม เหนียวตัวมากตอนนี้” แบร์รี่บอก ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเกียจคร้าน
“อาบน้ำแล้วออกไปเจอฝุ่นข้างนอก แล้วก็กลับมาอาบอีกอะนะ ถามจริง” มิกเลิกคิ้วสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่”
“คนอะไร ขยันอาบน้ำเสียจริง”
“ใครจะไปสกปรกเหมือนมึงล่ะมิก”
“ใครสกปรก มาลองดมรักแร้กูมา กลิ่นยังหอมอยู่เลย” มิกชูแขนขึ้นเดินอาดๆ เข้าไปหาแบร์รี่ คนตัวเล็กยกขาถีบรูมเมทให้ถอยห่างแล้วคว้าผ้าขนหนูวิ่งหนีเข้าห้องน้ำไปทันที
เป็นรูมเมทกันมาเกือบเดือน แบร์รี่ที่เข้ากับคนง่ายคุยสนุกอยู่แล้ว จึงสนิทกับรูมเมททั้งสองคนอย่างง่ายดาย มิกกับเฟรมรู้เรื่องที่แบร์รี่เป็นเกย์ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ดูถูกหรือรังเกียจ แบร์รี่เลยโล่งใจและสบายใจกับรูมเมททั้งสองคนเป็นอย่างมาก
อาบน้ำเสร็จ แบร์รี่ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เจอกับเฟรมที่กลับมาพอดี เฟรมมองรูมเมทตัวเล็กที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแล้วก็ได้แต่สงสัย ว่าเอวของแบร์รี่มีขนาดกี่นิ้ว เล็กจนคิดว่าถ้าใช้สองมือจับน่าจะจับได้เกือบรอบ
แต่ก็ไม่แปลกที่จะตัวเล็กเอวเล็ก เพราะกินอย่างกับแมวดม บอกเดี๋ยวจะอ้วน ซึ่งเฟรมไม่จะเข้าใจว่าจะกลัวไปทำไม
แบร์รี่กับรูมเมทออกจากหอในตอนสองทุ่ม มิกเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ แบร์รี่นั่งตรงกลาง แล้วปิดท้ายด้วยเฟรม การขี่รถซ่อนสามผิดกฎจราจรก็จริง แต่ร้านข้าวอยู่แค่ซอยข้างมหาวิทยาลัย ขี่รถออกจากประตูด้านข้างไปนิดเดียวก็ถึง
เวลานี้ลูกค้ายังไม่เยอะมาก แต่ถ้าเป็นตอนเที่ยงคืน บางทีแทบจะหาโต๊ะนั่งไม่ได้เลย เพราะร้านนี้ถือเป็นเจ้าเด็ดเจ้าดัง นักศึกษาของมหาวิทยาลัยก็มาฝากท้องกันเป็นประจำ
“เฮีย เอาไส้พะโล้หนึ่งจาน ผัดผักบุ้ง ยำไข่เค็ม” เฟรมสั่งโดยไม่ต้องดูเมนู
“ผมเอากุ้งหวานกับผัดกุยช่ายขาวเต้าหู้หมูสับ แบร์ เอาไร สั่งเยอะๆ เลย แล้วกินเยอะๆ ด้วย” มิกออกปากสั่งเสียงดุ มีเพื่อนก็เหมือนมีลูก ต้องเคี่ยวเข็ญให้กินข้าวแทบทุกมื้อ
“เอาผัดยอดฝักแม้ว แล้วก็...” แบร์รี่เงยหน้าเพื่อจะสั่งอาหารอีกอย่างที่อยากกิน แต่สายตาดันสบเข้ากับดวงตาดุของใครบางคนเข้าเสียก่อน
‘แรก’
“อีกอย่างเอาอะไรนะ” เฮียเจ้าของร้านที่เป็นคนมาจดออเดอร์อาหารถามทวน คิดว่าลูกค้าสั่งแล้วแต่ตัวเองไม่ได้ยิน
“เอ่อ เอาปลากะพงผัดขึ้นฉ่าย” แบร์รี่ตอบเจ้าของร้าน แต่หางตาลอบมองคนร่างสูงที่เดินผ่านโต๊ะตัวเองไปด้านใน แบร์รี่มองตามหลังแรก เขานั่งไม่ไกลจากโต๊ะของแบร์รี่มากนัก แถมยังนั่งหันหน้าเข้าหา คนแอบมองก็เลยรีบเบนสายตากลับมามองรูมเมทของตัวเอง
“อะไร” มิกถามเมื่ออยู่ๆ แบร์รี่ก็มาจ้องหน้าตัวเอง
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” แบร์รี่ส่ายหน้าตอบแล้วยิ้มแห้ง
ระหว่างรออาหาร แบร์รี่นั่งคุยกับมิกและเฟรม แม้ใจอยากจะหันไปมองว่าแรกทำอะไรอยู่ แต่ก็ไม่กล้า กลัวหันไปแล้วจะเจอเขามองอยู่
ไม่ได้กลัวที่เขามอง กลัวเขาจับได้ว่าตัวเองแอบมองเขาต่างหาก
ถึงแม้จะสะกดจิตตัวเองว่าอย่าหันไปมอง อย่าหันไปมอง แต่สุดท้ายแบร์รี่ก็ทำไม่ได้ เมื่อใจมันเรียกร้องจนไม่อาจควบคุมร่างกาย รู้ตัวอีกทีก็มองจ้องตากับแรกไปแล้ว
คนเราจำเป็นต้องดูดีขนาดนี้เลยเหรอ แรกยังคงอยู่ชุดนักศึกษา ทว่าแขนเสื้อทั้งสองข้างถูกพับทบไว้ที่ข้อศอก เนกไทอันตรธานหายไป แถมยังปลดกระดุมตรงคอเสื้อออกสองเม็ด เป็นลุคที่ดูดีไปอีกแบบ ไม่สิ ดูดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ดิบเถื่อนดี น้องแบร์ชอบ!
“กูก็ว่ามึงมองอะไร ที่แท้ก็มองผู้ชายนี่เอง ชอบเขาเหรอ” เฟรมสังเกตเห็นเพื่อนกินข้าวไปเหม่อไปก็เลยมองไปตามสายตา
“บ้า เปล่าสักหน่อย” แบร์รี่หันมาแก้ต่างกับเพื่อน แต่หลุดอาการขนาดนี้ใครจะไปเชื่อ
“โกหก ชอบก็บอกชอบสิ เขามองมึงอยู่ด้วยนะ”
“ใครวะ” มิกทำท่าจะหันไปมอง แต่แบร์รี่รีบลุกขึ้นไปจับหน้าของมิกเอาไว้
“อย่าหันไปนะมึง เดี๋ยวเขารู้”
“หึหึ แสดงว่ามึงชอบเขาจริงๆ สินะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น” แบร์รี่พูดเสียงอ่อย ก่อนจะปล่อยมือแล้วนั่งลงที่เดิม เหลือบมองแรกนิดๆ แต่พอเห็นอีกคนจ้องมาเขม็ง ก็สะดุ้งแล้วรีบหลบสายตา
ตาดุจังอะ
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันยังไง”
“ก็เขาหล่อไง คนหล่อกูก็มองไหมล่ะ”
“แค่ชอบเพราะเขาหล่อแน่นะ”
“ก็แน่สิ เขาหล่อแล้วก็เป็นคนดี กูเลยปลื้ม”
ใครๆ ก็ชอบคนหล่อ เขาก็แค่ชอบมอง มองแล้วหัวใจก็เต้นเร็ว และรู้สึกหน้าร้อนทุกครั้งเวลาที่คนตาดุมองกลับมา มันเหมือนแบร์ได้รับความสนใจ ทั้งๆ ที่แรกอาจจะมองเพราะรู้ว่าแบร์แอบมองก็ได้ แต่คนตัวโตก็ไม่เคยว่าอะไรสักครั้ง
อีกอย่างเขายังรู้สึกปลาบปลื้มในตัวแรก ถึงจะเป็นคนหน้าดุ แต่แรกก็เป็นคนที่จิตใจดี แบร์รี่เชื่ออย่างนั้น
เอาเข้าจริง เคยแอบเผลอจินตนาการว่า ถ้าได้เป็นแฟนแรกแล้วโดนดุด้วยดวงตาคู่นั้น คงจะรู้สึกดีจนอยากเข้าไปซุกอกอ้อน แต่ติดตรงที่แค่จะสู้หน้าเขาก็ยังไม่กล้า ใจหนอใจ เต้นแรงอะไรหนักหนาก็ไม่รู้ กับคนอื่นไม่เป็น แต่กับแรก แบร์รี่ควบคุมตัวเองไม่เคยได้เลย
ฮือ
“มึงรู้จักเขาไหม” เฟรมถามต่อ ก่อนจะคีบกับข้าวใส่ถ้วยให้แบร์รี่ ตาก็เหลือบมองไอ้หน้าหล่อตาดุไปด้วย “กินข้าวด้วย มัวแต่มองผู้ชาย พวกกูจะกินหมดแล้ว”
“รู้จัก เพื่อนในคณะเนี่ยแหละ กูไม่กินไส้ เอาคืนไปเลย” แบร์รี่ขมวดคิ้วพูดเสียงเง้างอดใส่รูมเมท คีบไส้พะโล้ใส่จานคืนมิก บอกกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ว่าไม่กินเครื่องใน ไม่รู้ว่าจำไม่ได้หรืออยากจะแกล้งเขากันแน่
“ของดี ไม่รู้จักกิน”
“ดีก็กินไปคนเดียวสิ ไม่ต้องเอามาแบ่งคนอื่น”
ระหว่างที่แบร์รี่กำลังคุยเล่นกับเพื่อน เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าแรกยังคงจับจ้องมองอยู่
หลังเลิกกิจกรรมรับน้อง เขากับเพื่อนมาหาอะไรกินก่อนกลับคอนโด แรกไม่ใช่คนกินยาก อาหารถูกอาหารแพงเขากินได้หมดถ้าอร่อย ไม่ได้ชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษ เพื่อนเป็นคนเลือกร้านเขาก็แค่มา ก็ไม่คิดว่าจะเจอกับแบร์รี่ที่ร้านข้าวต้ม
ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนทุกครั้ง ถ้าแรกเห็นแบร์รี่ ก็ดูเหมือนว่าแบร์รี่เองก็จะเห็นแรกเช่นกัน และทุกครั้งแรกจะเห็นแบร์รี่มองมาที่ตัวเอง ถ้าหากมองสบตากลับไป คนตัวเล็กจะสะดุ้งแล้วรีบหลบสายตาทันที
หากว่าแบร์รี่เป็นคนผิวขาว แรกคิดว่าเขาจะต้องเห็นริ้วสีแดงขึ้นที่ข้างแก้มเป็นแน่ แต่เพราะแบร์รี่มีผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน อาจจะไม่เห็นว่าอายจนแก้มแดง แต่แค่สีหน้าและท่าทางก็เพียงพอให้รู้ว่าแบร์รี่มักจะเขินเวลาเห็นเขา
น่ารัก
แต่ที่น่ารักกว่าก็ตอนที่คุยเล่นกับเพื่อน แรกสังเกตว่าแบร์รี่เป็นคนที่เก็บอาการไม่เก่ง คิดอะไรก็จะแสดงออกมาตรงๆ ทั้งสีหน้า แววตาและท่าทาง เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็หัวเราะจนแทบไม่เห็นลูกตา เดี๋ยวก็ทำหน้างอน ทำหน้าโมโหขึงขัง จากนั้นก็จะหันไปอ้อนเพื่อน
ดูๆ แล้วมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
และมันอาจจะยิ่งน่ามอง ถ้าแบร์รี่จะทำแบบนั้นกับตัวเองบ้าง
“ไอ้แรก เหม่ออะไรของมึง ไม่กินข้าวเหรอไง”
“เออ พักนี้มึงใจลอยบ่อยนะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” แรกตอบสั้นๆ เลิกสนใจแบร์รี่ ดึงจิตใจกลับมาอยู่กับตัวเองและเพื่อน
“สรุปวันพรุ่งนี้มึงจะไปดูหนังกับพวกกูไหม” บอยถาม ปากก็เคี้ยวข้าวด้วยความหิวโหย ผู้ชายวัยกำลังกินกำลังโตต้องทนให้ท้องร้องหิวโซตลอดช่วงรับน้อง พอเห็นอาหารมื้อเย็นก็แทบจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่บอย ความจริงคือเป็นกันทั้งกลุ่ม จะมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เอาแต่นั่งเหม่อไม่กินข้าวเสียที
“ไปดิ” แรกตอบ
“เออ งั้นพรุ่งนี้เจอกันกี่โมงดีวะ กูจะได้โทรนัดขวัญถูก”
มือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากชะงักค้าง ไม่กี่อึดใจต่อมาก็เคลื่อนไหวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนช่างสังเกตอย่างวามองเห็นอยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่ปัญหาอะไรที่เขาจะต้องเอามาเป็นกังวล เพราะคิดว่ายังไงแรกก็สามารถจัดการได้ แม้จะรู้สึกอยากเขกหัวเพื่อนอย่างนัทสักที
รู้ทั้งรู้ว่าแรกไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับขวัญ แต่ก็พยายามที่จะเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้ได้ ไม่รู้ว่าขวัญจ่ายเงินจ้างมันเท่าไหร่ ถึงได้ชอบกระตุกหนวดเสือเสียจริง
“สายๆ บ่ายๆ หน่อยก็ได้ กูขี้เกียจตื่นเช้า” แก็ปเสนอ
“แล้วมึงสะดวกกี่โมงแรก” บอยถาม เพราะคนที่มักจะปลีกตัวยากในบางทีก็เห็นจะมีแต่ไอ้เพื่อนเจ้าของใบหน้าดุ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะขึ้นปีหนึ่ง แต่กลับขยันเกินวัย เริ่มศึกษางานธุรกิจของที่บ้าน วันหยุดบางทีก็ไม่ได้เที่ยวเล่นแบบวัยรุ่นทั่วไป แต่ต้องไปออกงานสังคมกับที่บ้านแทน
ทั้งนี้ทั้งนั้นพ่อแม่ของแรกไม่ได้บังคับ แต่เป็นเจ้าตัวที่อยากเริ่มเรียนรู้เอง
“กูได้หมด พรุ่งนี้กูว่าง” แรกตอบ
“งั้นเจอกันตอนเที่ยง จะได้หาข้าวกินกันก่อนด้วย”
“โอเค”
แรกไม่พูดอะไร เขาไม่ใช่คนชอบพูดอะไรเยอะแยะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ส่วนมากจะเป็นผู้ฟังเสียมากกว่า เพื่อนของเขาทั้งสี่คนก็รู้ดี
แรก นัท วา จบมาจากโรงเรียนมัธยมเอกชนชื่อดังของกรุงเทพ ส่วนบอยกับแก็ปเป็นเพื่อนที่รู้จักกันที่โรงเรียนกวดวิชา รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่สี่ นิสัยใจคอเข้ากันได้ก็คบหาเป็นเพื่อนกันเรื่อยมา และสาเหตุที่มาเรียนที่เดียวกัน ก็เพราะแรกเลือกที่จะมาเรียนที่นี่ เพื่อนคนอื่นๆ ก็เลยตามมา แรกก็ไม่เข้าใจว่าพวกเพื่อนจะตามเขามาทำไม แต่แรกก็ไม่ได้ขัด มีเพื่อนที่สนิทกันอยู่แล้วมาเรียนด้วยกันมันก็น่าจะโอเคกว่า ไม่ต้องวุ่นวายทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่
แรกเคยคิดเช่นนั้น
จนกระทั่งเขาได้เจอกับแบร์รี่ และเพื่อนร่วมรุ่นที่ชื่อ พัช
บอกไม่ถูกว่าทำไม แต่แรกรู้สึกถูกชะตากับพัชอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้น แบร์รี่ยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพัชอีก นั่นยิ่งทำให้แรกรู้สึกสนใจอยากจะมีเพื่อนใหม่
คิดแล้วก็ขอมองหน้าอีกสักที และก็สบตาเข้ากับลูกหมีที่กำลังแอบมองอยู่
สะดุ้งอีกแล้ว
“หึหึ”
“ขำไรวะไอ้แรก” แก็ปหันไปถามเพื่อนที่อยู่ๆ ก็หัวเราะ
“เปล่า ตลกรายการในทีวีน่ะ” แรกขยับหน้าและสายตาไปทางทีวีขนาดกลางที่ทางร้านติดเอาไว้ ไม่รู้ว่าเอาไว้ให้ลูกค้าดูหรือเจ้าของร้านเอาไว้ดูเอง แต่แรกก็ใช้มันเป็นข้ออ้างกับเพื่อน
“แปลกๆ นะมึง”
ใช่ แรกก็รู้สึกว่าตัวเองแปลก แต่ไม่ซีเรียสอะไร เพราะเป็นความรู้สึกแปลกที่รู้สึกดี
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่แบร์รี่จะต้องกลับบ้าน ปกติจะตื่นแต่เช้าแล้วนั่งรถกลับบ้าน ออกเช้าหน่อยจะได้มีเวลาพักให้หายเหนื่อยนานขึ้น ก่อนที่เย็นวันอาทิตย์จะกลับมาที่หอพักอีกที แต่เช้าวันนี้แม่โทรมาบอกว่าต้องไปพบลูกค้าที่ชลบุรีอย่างเร่งด่วน ไม่มีใครอยู่บ้าน ถ้าแบร์รี่กลับไปก็ต้องไปอยู่คนเดียว จึงโทรบอกคนเป็นลูกว่าให้อยู่หอพักจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องนั่งรถไปกลับให้เหนื่อย
ถึงจะคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงกับข้าวที่บ้าน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
แบร์รี่หันไปมองรูมเมททั้งสองคนที่ยังนอนหลับอุตุ ก่อนจะตัดสินใจออกจากห้อง ไหนๆ วันนี้ก็ว่างแล้ว จึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นเที่ยวห้างเพียงลำพัง
ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างกายสูงใหญ่ก็ผุดขึ้นจากสระว่ายน้ำ ก่อนจะเหยียบบันไดเหล็กแล้วก้าวขึ้นจากสระ เวลาเช้าๆ แบบนี้ แรกชอบมาว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำชั้นดาดฟ้าของคอนโด ก่อนจะโทรสั่งอาหารให้มาส่งที่ห้อง นั่งอ่านหนังสือจนใกล้ถึงเวลานัด ชายหนุ่มถึงได้แต่งตัวออกจากห้อง แล้วขับรถยนต์มุ่งหน้าไปที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
แรกมาถึงเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม เขาเลยให้เพื่อนๆ เข้าไปสั่งอาหารกันก่อน พอแรกไปถึงอาหารก็มาเสิร์ฟพอดี
“แรก ไม่เจอกันนานเลย คิดถึงนะเนี่ย” ขวัญ เพื่อนผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มเอ่ยทักแรกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความดีใจที่ได้เจอหน้าคนที่ตัวเองแอบชอบ
“อืม สบายดีนะ” แรกทักกลับตามมารยาท เขาเห็นและรับรู้ทุกความรู้สึกของหญิงสาว ทว่าเขาตอบรับความรู้สึกไม่ได้เพราะไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากความเป็นเพื่อน และแรกเคยพูดไปแล้วอย่างชัดเจนว่าคิดกับอีกฝ่ายแค่เพื่อนเท่านั้น
“สบายดี”
“นั่งลงๆ มึง รีบกินเถอะ พวกกูซื้อตั๋วหนังแล้ว เดี๋ยวไม่ทันเวลา”
แรกมองหาที่นั่งที่ว่าง แต่ก็เหลือแค่ที่นั่งข้างหญิงสาว เขาเลยจำต้องนั่งลงเพราะไม่อยากจะเรื่องมากให้มากความ ก็แค่นั่งกินข้าวเท่านั้น ถึงแม้ว่าตลอดมื้ออาหารขวัญจะคอยเอาอกเอาใจคีบอาหารใส่จานให้แรกตลอดก็ตาม
แรกไม่ชอบ
ถ้าคนที่เอาอกเอาใจเป็นคนที่เขาชอบ ก็คงรู้สึกดีกว่านี้
ใช้เวลากินอาหารเที่ยงร่วมสี่สิบนาทีแรกและเพื่อนๆ ก็พากันไปที่โรงหนัง แต่เมื่อถูกจับให้นั่งข้างกับขวัญอีกครั้ง แรกก็เริ่มรู้สึกเซ็งและไม่ค่อยสบอารมณ์ และคนที่จัดแจงที่นั่งให้พวกเขาก็ไม่ใช่ใคร มีแค่นัทคนเดียวที่จะทำแบบนี้
แรกคิดว่า หลังวันนี้ อาจจะต้องคุยกับนัทอย่างจริงจังอีกครั้ง ว่าเขาไม่มีทางคิดกับขวัญเป็นอื่น
ที่ต้องพูดว่าอีกครั้ง เพราะแรกเคยพูดไปแล้ว แต่เพราะตอนนี้แรกยังโสดสนิทและไม่มีใคร นัทเลยอยากให้แรกลองเปิดใจให้กับขวัญ ที่แอบชอบแรกมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปีที่สี่
แรกไม่อยากใจร้ายกับผู้หญิง จะให้พูดโผงขึ้นกลางกลุ่มเพื่อนจนอีกฝ่ายต้องรู้สึกเสียเขาก็คงทำไม่ได้ พ่อกับแม่สอนให้เขาให้เกียรติเพศหญิง แรกก็ทำเช่นนั้นมาตลอด ไม่ใช่แค่กับผู้หญิง กับผู้ชายก็เช่นกัน ถ้าไม่มากวนประสาทหรือทำไม่ดีใส่เขา เขาก็ให้เกียรติทุกคนทุกเพศอย่างเท่าเทียม
ถามว่าแค่นั่งใกล้กันมันจะเป็นอะไร มันก็ไม่เป็นอะไรถ้าจะแค่นั่งข้างกันเฉยๆ แต่นี่บางครั้งขวัญก็เอนเอาหัวมาพิงเขา พอตกใจก็มากอดแขนเขาบ้าง มันทำให้แรกรู้สึกอึดอัดจนอยากจะลุกออกจากโรงหนังอยู่หลายต่อหลายครั้ง
เหมือนสวรรค์จะเห็นใจ อยู่ๆ ก็มีสายโทรเข้า แรกรีบลุกออกจากที่นั่ง เพราะถึงจะปิดเสียงแล้วเปิดสั่น แต่ถ้าปล่อยไว้นานก็อาจจะเป็นการรบกวนคนอื่นที่กำลังดูหนัง
“ครับแม่” แรกกดรับสายมารดา
“แรก วันนี้กลับบ้านไหมลูก”
“น่าจะไม่ครับ”
“ไม่กลับจริงๆ เหรอ”
“ไว้อาทิตย์หน้าผมเข้าไปนะ”
“งั้นเดี๋ยวตอนเย็นๆ แม่ให้คนขับรถเอากับข้าวเข้าไปให้ที่คอนโดแล้วกันนะลูก”
“ครับ” แรกไม่ปฏิเสธความเป็นห่วงของมารดาอย่างคุณหญิงปรารถนา แม่กลัวว่าเขาจะไม่มีอะไรกิน ทั้งๆ ที่สมัยนี้อะไรๆ ก็สะดวกสบาย สั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันให้มาส่งได้ ไม่ต้องกลัวอด
“ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะลูก”
“ครับแม่ แค่นี้นะครับ”
แรกกดวางสายคุณหญิงปรารถนา พลางคิดว่าจะไปไหนต่อดี เขาคงไม่กลับเข้าไปดูหนังแล้ว ก็เลยเดินไปตามทางเรื่อยๆ ถ้าไม่มีอะไรน่าสนใจ ก็คงต้องกลับคอนโด
แต่เมื่อแรกเดินผ่านร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง สายตาก็สะดุดเข้ากับคนที่กำลังยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่ข้างในร้าน
แรกยืนมองแบร์รี่อยู่ด้านนอก เห็นคนตัวเล็กเดินไปดูเสื้อผ้าที่ราวนั้นทีราวนี้ที แต่ไม่เห็นเงาของเพื่อนในกลุ่มแบร์รี่สักคน เขาเลยคิดว่าแบร์รี่อาจจะมาคนเดียว แรกชั่งใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่สองเท้าจะเดินเข้าไปในร้าน ยืนซ้อนหลังคนที่สูงเพียงแค่ปลายคางของตัวเอง
“สีน้ำตาลน่าจะเข้ากว่านะ”
“อ๊ะ! แรก!” แบร์รี่สะดุ้งตกใจที่อยู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายดังขึ้นที่ข้างหู พอหันไปก็เจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจอ
“ตกใจอะไรขนาดนั้น” แรกพูดขำๆ
“ก็มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“ก็ส่งเสียงแล้วนะ”
แต่ส่งเสียงแบบนี้มันทำให้ตกใจนี่นา
“มาคนเดียวเหรอ” แรกถาม ชวนอีกคนคุย
“อืม ใช่ แล้วแรกล่ะ มาคนเดียวเหรอ” เพราะแรกชวนคุย แบร์รี่ก็เลยลองถามกลับไปบ้าง
“เปล่า มากับเพื่อน” แรกตอบ แต่พอเห็นสายตาของแบร์รี่ที่มองดูรอบๆ ตัวคล้ายกำลังหาเพื่อนของเขา ก็เลยต้องอธิบายเพิ่ม “เพื่อนดูหนังอยู่น่ะ”
“อ้าว แล้วแรก...”
“หนังไม่สนุก ก็เลยออกมาก่อน”
“อ๋อ”
ครืด~~~
โทรศัพท์ของแรกสั่นอีกครั้ง ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์ออกมากดรับ โดยที่สายตายังคงวางทิ้งไว้ที่ใบหน้ามน
“ไอ้แรก มึงอยู่ไหนเนี่ย จะไม่กลับมาดูหนังแล้วหรือไง ห้ามหนีกลับก่อนนะมึง” เสียงของนัทโวยวายออกมา แรกยืนฟังนิ่งๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“เอ่อ งั้นเราขอตัวก่อนนะ” แบร์รี่ได้ยินเสียงเพื่อนของแรกดังตะโกนลอดออกมา ก็เลยรีบปลีกตัว เพราะกลัวว่าตัวเองจะไปกวนใครอีกคน
แรกได้แต่ยืนมองตามหลังลูกหมีที่วิ่งหนีไปจ่ายเงินค่าชุดแล้วรีบออกไปจากร้าน ก่อนที่มุมปากจะขยับยกโค้งจนกลายเป็นรอยยิ้ม
อยากเห็นเหมือนกันว่าจะใส่ชุดนั้นน่ารักหรือเปล่า
ชุดที่แรกเป็นคนเลือกสีให้