ตอนที่ 12
เมื่อทราบตัวเลขที่นางแก่นใจเอ่ยแล้ว ทำให้คิ้วหนาของอนุราชนั้นต้องขมวดทำท่าครุ่นคิดแต่ไม่ได้ กวาดตามองไปทางชัชชัย ซึ่งเขาทั้งเกลียดแค้นจงชัง และ หมั่นไส้ที่สุด เกลียดมันยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือนเสียอีก ฮึ อนุราช พยักหน้า
“ผมยอมตกลง งั้น สองแสนก็ คือสองแสน”
อนุราชหันไปขยิบตาให้ปาฎลิณ ซึ่งถือว่าเป็นอันรู้กันแค่สองคน
ก่อนที่เขาจะเปิดกระเป๋าล้วงหยิบเอาธนบัตรแบ๊งค์พัน ยื่นมาให้ คนตรงหน้า เป็นจำนวนหนึ่งปึกใหญ่ ๆ เอ่ยกับสองสามีภรรยาที่กำลังจ้องเงินปึกนั้น มอง จ้องแล้วทำตาโตจนแทบถลนด้วยความละโมบ
“เอ้อนี่ เป็นเงินล่วงหน้าให้คุณหนึ่งแสนก่อน ส่วน แสนที่เหลือนั้นถ้าผมพร้อมเมื่อไหร่ ก็จะมารับเอาตัว หลานสาวเข้าไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพผมจะให้ทางทนายช่วย จัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้คือยกหนูมิวให้มาเป็นลูกสาวของ ผม ”
สองสามีภรรยาเจ้าของบ้านนั้นก็มีสีหน้าที่ กระหยิ่มยิ้มออกมาอย่างสุขใจ เมื่อแผนการสำเร็จขั้นหนึ่ง และนางแก่นใจก็แทบจะรีบคว้าหมับยื่นเอามือกร้านของนาง กวาดเอาปึกธนบัตรเงินสดเอามาไว้กับตัวเองในทันที ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความเจ้าเล่ห์ละโมบ ที่ปิดบังไม่มิด
“ก็ตกลง เป็นอันว่า เอ้อ ผมกับครอบครัว ของ คุณน้าทั้งสองและทุกคน เข้าใจพร้อมกันหมด งั้น เมื่อเราเข้าใจกันแล้วอย่างนี้ ผมเห็นจะต้อง ขอตัวกลับก่อนละนะ”
พูดจบแล้ว อนุราชและปาฏลิณตัดสินใจออกมาทันที โดยแทบไม่หันกลับไปมองด้านหลังเลย มันไม่แตกต่างไปจากการขายลูกขายหลานในไส้กินหรอกคนพวกนี้
สายจัดของวันนั้น มุ่งไปตามเส้นทางเดิม ผ่านดงป่าตาลโตนดและ เข้ามาถึงเขตราชบุรี แสงตะวัน ที่แผด กล้าร้อนระอุจัดอยู่ เบื้องหน้า ทั้งคู่ทิ้งทุกอย่างที่เป็นความลับเอาไว้ที่นี่ และอนุราชเป็นคนขับ ส่วนปาฏลิณ นอนพักผ่อนด้วยความอ่อนเพลีย แต่ในที่สุดรถยนต์ก็กลับเข้ามาถึงที่กรุงเทพอีกครั้ง ในช่วงเวลาสี่โมงเย็นและหล่อน รีบโทร. บอกมารดา ให้รับทราบ ก่อน ท่านจะได้สบายใจ หายห่วงหายกังวล แต่ครั้น เมื่อนึกคิดดู เรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง ผุดนึกถึงภาพใบหน้าของนางแก่นใจ สาวใหญ่ด้วยความรู้สึกชิงชัง ฮึ นี่ถ้าหากไม่มีความจำเป็นด้วยธุระละก้อ ปาฎลิณก็ไม่เดินทางไป และอยากเข้าไปนั่งรับฟังคำพูดต่อรองเอาเปรียบของคนพวกนี้ด้วยหรอกแต่มันก็จบลงด้วยดีไปแล้ว เพราะเวลานี้นั้น สิทธิในตัวของเด็กหญิงเป็นของเธอกับอนุราช โดยที่ฝ่ายนั้นจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง และฝ่ายอนุราชเขาก็พร้อมยินยอมที่จะเป็นผู้ปกครองของเด็กหญิง มิว ที่เป็นหลานสาวแท้ๆของเขา
ต่อจากนั้นเองก็ถึงคราวที่ปาฏลิณ ต้องโทร.ไป บอกศิรมาดาตามที่บอกกล่าวหล่อนเอาไว้ว่าหล่อนเดินทางกลับมาถึงแล้วยังบ้านพักในเวลาทุ่มครึ่งนั่นเอง
นั่นทำให้ศิรมาดารับทราบและก็ถอนหายใจด้วย ความโล่งอก ที่ปาฎลิณกลับมาแล้ว ซึ่งหล่อนแอบหวั่นใจเหมือนกัน แต่ก็ ดีที่ มาทันแน่นอน มันเกือบเฉียดฉิวละ ถ้ามีปัญหาอย่างนี้ หล่อนจะได้บอกเลื่อนเจ้าของงานไป แต่ไม่ต้อง ทุกอย่าง เป็นไปตามแผนการที่ตระเตรียมไว้
ก็ในวันงานเปิดตัวสินค้าชิ้นใหม่ของบริษัท ตระกูล อัศนะจิโรจน์นั้นไง จัดกันในโรงแรมหรูของเจ้าของบริษัท ที่ว่าจ้างให้ นางแบบซึ่งต้องเป็นปาฎลิณคนเดียวเท่านั้น ที่ถูกระบุตัว เพื่อไปโชว์ตัวและอีเว้นต์
สำหรับหล่อนนั้นเพราะปาฏลิณอยากจะพักผ่อน เพราะ การเดินทางที่ผ่านมาหลายชั่วโมง นั้นก็ทำให้หล่อน เหน็ดเหนื่อย และเพลียทั้งเมื่อยล้าอย่างมาก อีกทั้งมีคิวงานสำคัญด้วย ที่ พรุ่งนี้ หล่อนต้องตื่นขึ้นมาให้เช้าๆหน่อย กลัวนอนเพลิน เป็นการตระเตรียมตัวไปด้วย และ ก็ต้อง รีบไปที่งานก่อนเวลา ถึงแม้ว่า จะมีการเริ่มงานใน ช่วงเวลาบ่ายโมงก็ตาม เพราะหล่อนจะเตรียมทำอะไรไว้เผื่อตลอด จึงไม่มีการผิดพลาดเป้าหมาย
แต่วันนี้ ในเวลา สิบโมงเช้า ที่ร่างของปาฎลิณยังหลับใหลสบายบนที่นอนด้วยความอ่อนเพลียจัดมันไม่เป็นดังคิดเลยที่ ว่าหล่อนจะตื่นให้เช้าที่สุก หากแต่ก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะน้ำเสียงโทร.ที่รบกวนของศิรมาดา และศริมาดาคงจะกลัวว่าหล่อนจะเตรียมตัวหรือไปงานไม่ทันหรือว่าหล่อนอาจจะเผลอลืมคิวงาน ที่สำคัญ เช่นในวันนี้ หล่อนไม่ลืมหรอก ในหัวสมองวุ่นคิดแต่เรื่องงานๆๆ วันนี้ไปทำงานที่ไหน พรุ่งนี้แถวไหน หล่อนจะลืมได้ยังไงเงินทั้งนั้น ที่เป็นค่าสตอบแทน ในอัตราค่าจ้างสูงลิ่ว
“ป่าน จ๋า ตื่นได้แล้วจ้ะ เดี๋ยวไปงานไม่ทัน นี่งานเขาใกล้จะเริ่ม ขึ้นแล้ว นะ”
“ค่ะ ตื่นแล้วใช้เวลาไม่นานหรอกป่านจะไปที่นั่นเอง รู้ที่อยู่ค่ะโรงแรมด้วยป่านเคยขับผ่านโรงแรมนั่นบ่อย” ปาฏลิณบอกอย่างรู้สึกเซ็งขึ้นบ้างจากนั้นปาฏลิณก็วางสาย
และในเวลาต่อมานั้น หากไม่ ถึง ครึ่งชั่วโมง ด้วยซ้ำ ร่างของปาฏลิณ ซึ่งขับรถตามลำพัง และก็ไปถึงโรงแรม หรู เป้าหมายแห่งนั้น พบว่าทั้งศิรมาดา และช่างแต่งหน้าส่วนตัวของหล่อนที่เป็นประจำทีมงานของศิรมาดา ซึ่งเดินทางไปถึงก่อนหน้านั้นแล้วอยู่ตรงหน้าเพื่อที่พวกหล่อนๆ รอแต่งหน้าให้กับนางแบบสาวปาฏลิณ
“นี่ พากันเร่งเข้าหน่อยนะพวกหล่อน งานใกล้จะเริ่มแล้ว” หันไปพูดกับช่างแต่งหน้า
และหันมาทางปาฏลิณ
“เอ้ออย่าว่าอะไรเลยนะคะน้องป่านพี่กลัวจะไม่ทัน”
เป็นน้ำเสียงของศิรมาดาที่เอ่ยเร่งเร้ากับบรรดาช่างแต่งหน้า และปาฏลิณก็พยักหน้ารับเข้าใจ
“จะกลัวอะไรคะ ในเมื่อป่านมาถึงแล้ว”
ปาฏลิณตอบศิรมาดา
จากนั้นฝ่ายแป๊วหรือปราณี ซึ่งเป็น ช่างแต่งหน้าทำผมมากฝีมือที่ศิรมาดาว่าจ้างประจำก็เสร็จสรรพจนภาพออกมาให้เห็นตรงหน้ากระจกว่าปาฏลิณนั้นสวยเด่น ที่สุด และเหนือกว่าใครในงานหล่อนมีออร่าจับผุดผ่อง ซึ่งใครๆมองเห็นก็รู้สึกชื่นชอบและลุ่มหลงในความเจ้าเสน่ห์ที่ดึงดูดสายตาของใครต่อใครได้ง่ายเรื่องฝีมือที่การันตี และไม่ผิดหวังสักนิดทุกครั้งที่เจ้าภาพว่าจ้างงานมา ศิรมาดาจะยิ้มเพื่อรับทรัพย์อย่างสบายใจที่สุด
ด้วยดวงหน้าหวานใบหน้าเรียวยาวรับกันรูปไข่ และมีการเพิ่มแต้มริมฝีปากด้วยสีชมพูเข้ากับชุดหรูสีส้มโอล์ดโรสจากนั้นเมื่อหล่อนก้าว