ตอนที่ 11
เหตุเนื่องเพราะท่านเคยมีอดีตเกี่ยวกับหลานสาวของท่านที่ถูกหลอกจากพวกจิ้งจอกสังคมที่แฝงเข้ามาในคราบนักแสดงจนว่าเกิดเรื่องเศร้าโศกสะเทือนใจเมื่อหลานสาวของท่านเสียผู้เสียคนและสุดท้ายก็ต้องมาจบชีวิต ลงอย่างน่าเอน็จอนาถใจนัก
แต่ว่ามันก็เป็นความเปลี่ยนแปลงเพราะหล่อนต้องต่อสู้ดิ้นรนกับชีวิตเป็นช่วงที่บิดาของหล่อน
ท่านเสียชีวิตลง ครอบครัวของหล่อนนั้นกำลังเคว้งคว้างกับหนทางและชีวิตที่เหลืออยู่เพียงสองแม่ลูก พากันทำอะไรไม่ถูกจมอยู่กับความเศร้าโศกที่เกิดขึ้น
มารดานั้นท่านแทบทำใจไม่ได้เลย กับการเสียชีวิต กะทันหันของ นายประณต ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวและสามี
แต่ครั้นปาฏลิณนั้นยินยอมฝ่าฝืนคำสั่งของบิดา เพราะปากท้อง จึงเป็นการ ก้าวเข้ามาสู่วงการนี้ อย่างไม่มีทางเลือก ถึงแม้ว่าปาฏลิณเพิ่งเรียนจบจาก มหาวิทยาลัย เพราะเงินค่าตัวจากการถ่ายแบบก้อนแรกจำนวนเงินนั้น หลักพัน ที่ช่างทำให้หล่อน นั้นตาโต ด้วยความปรารถนา
และนึกทึ่งเพราะเพียงแค่หล่อนเดินเฉียดเข้าไปผ่านกล้องถ่ายแบบโฆษณา แม้จะเป็นเพียงตัวประกอบและนึกไม่ถึงเลยว่าหล่อนได้รับค่าตัวที่ถือว่ามากมายสำหรับหล่อนถึงสองพันบาทถือว่ามากมายจริงและในเวลาต่อมามีความก้าวหน้าและมีชื่อเสียงมีงานถ่ายโฆษณาและ พรีเซนเตอร์ ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและขนมขบเคี้ยวที่มาจ้างให้หล่อนเป็นนางแบบ
กระทั่งว่าใบหน้าของหล่อน นั้นได้ไปสะดุดตากับผู้จัดละครชื่อดังเข้าทันที มีงานใหม่มาป้อนให้หล่อน
ซึ่งเรียกปาฏลิณเข้าไปพูดคุยและเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หล่อนได้โลดแล่นอยู่ในวงการนี้
หากแต่เช้าตรู่ อย่างวันนี้อีกครั้ง เพราะปาฏลิณ นั้นรู้ ดีว่าวันนี้ เป็นวันที่เขาและหล่อนจะต้องมาที่นี่ บ้านนายสมุทร เพื่อที่จะนัดคุยเจรจา ตกลงกันให้เป็นเรื่องราว เกี่ยวกับการขออุปการะตัวของเด็กหญิงมัสรา
และเมื่อเวลากระชั้นชิดนักหลังจากทั้งคู่ได้ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ในวันนี้อีกอย่างก็ คือเตรียมตัว เช็คเอ้าท์ เพื่อพร้อมที่จะได้เดินทางกลับเข้ากรุงเทพ นั่นหมายถึง หากการเจรจาทำได้สำเร็จ
“ป่านจ้ะหากถึงกรุงเทพแล้วเมื่อไหร่ก็ช่วยโทร.กลับมาบอกพี่ด้วยนะ ”
มีเสียงของศิรมาดาโทร.เข้ามาถามปาฎลิณในเวลานั้น ซึ่งหล่อนก็รับสาย
“ค่ะ” เพียงเท่านี้เอง และคงไม่จำเป็นที่หล่อนจะ ต้องบอกรายละเอียดหรือบอกความจริงให้แก่ศิรมาดารู้ มากกว่านี้ เพราะว่าหล่อนและอนุราช นั้นต้องการที่จะปกปิดในเรื่องนี้ ไว้ให้มาก และให้นานที่สุด ไม่ต้องการให้คนนอกมาแพร่งพรายบอกกล่าว เพราะมันเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของหล่อน รวมทั้งตัวเด็กหญิงด้วย ครั้นเมื่อใดที่ควรเปิดเผยหล่อนจะเปิดเผยออกมาเอง
ซึ่งขณะนั้นปาฎลิณกำลังหยุดอยู่ที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งของโรมแรม เมื่อหล่อนแต่งชุดเสร็จแล้ว ก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปทันที ประตูหน้าห้องพักของหล่อนถูก เคาะ
“ป่าน เสร็จแล้วหรือยังครับ เรารีบไปกันเถอะ”
“เสร็จ แล้ว จ้ะ”
สีหน้าของอนุราชยังหมองหม่นเจือปนอยู่ในดวงตาคู่นั้น เพราะเขายังทำใจไม่ได้มากมายกับความสูญเสีย และปาฎลิณเองก็เช่นกัน คิดดูสิ ภาพเมื่อคืนนี้ ที่ หล่อน นั้นฝันถึงไปรดาว เด็กสาวผู้แสนอาภัพคนนั้น
ได้มาหาและบอกกล่าวให้ปาฏลิณ ช่วยดูแลและรับอุปการะเด็กหญิงมัสราลูกสาวคนเดียวด้วยซึ่งแม้จะเป็นความฝัน หากแต่ปาฎลิณก็ไม่ได้นึกกลัว ไปรดาวเลย เพราะหล่อนบริสุทธิ์ใจเชื่อแน่ว่า ดวงวิญญาณจะรับรู้ อย่างแน่นอน
และในอีกยี่สิบนาทีต่อมาทั้งสองจึงเดินทางไปถึงบ้านของนางแก่นใจกับนายสมุทร ซึ่งเจ้าของบ้าน เชื้อเชิญ ให้ไป คุยกัน ข้างบน น้ำเสียงเริ่มดังขึ้น เหมือนเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบหนุ่มสาวจากเมืองกรุงทั้งคู่
“ไอ้ฉันนะ จะว่าไป มันก็ห่วงหลานเหมือนกันก็ไม่อยากที่จะยกหลานไปให้กับใครหรอก แต่เอาเถอะฉันก็เห็นว่า พวกคุณสามารถเลี้ยงดูแกได้”
เมื่อนางแก่นใจเอ่ยออกมาแล้วก็เว้นเสียงนิดหนึ่ง เพื่อทิ้งน้ำเสียงอย่างมีลีลาข่มทั้งสองหนุ่มสาวที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อเพราะความสงสารซึ่งนางและสามีคิดแผนการเหล่านี้อยู่ในใจ แต่หากว่าทั้งอนุราช และ ปาฏลิณ นั้นพอจะคาดเดาได้มาก่อนล่วงหน้าแล้ว ว่าเรื่องมันจะต้องออกมาแบบนี้แน่นอน ในที่สุดก็เป็นจริงปาฏลิณ ไม่รู้สึกอะไร นอกจากสังเวชคนเหล่านั้น
เพราะน้ำเสียงที่ดูหมิ่นดูแคลนกระด้าง
ทำให้ปาฎลิณนั้นพอจะคาดเดาเอาและทราบว่าช่วงที่ไปรดาวยังมีชีวิตอยู่คงจะลำบากอัตคัต ไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วชีวิตเด็กสาว ล่ะ อาศัยกินอยู่ อย่างไร กันในบ้านโกโรโกโสหลังนี้
หนำซ้ำต้องมาพบเจอแม่ผัวที่เห็นแก่ตัวตระหนี่ อย่างเห็นได้ชัด ปาฏลิณ อยากให้เรื่อง ราวนั้นจบลง ด้วยดี เสียทีจะได้ไม่ต้องทนอยู่ต่อที่นี่อีกเพราะปาฎลิณ กับอนุราชจะกลับ เข้ากรุงเทพกันเลย
คราวนี้ ปาฏลิณกับอนุราช ชักสีหน้าซึ่งดูอึดอัดยิ่งนัก พร้อมกันทั้งคู่ เมื่อฝ่ายนั้นได้พูดขยักคำเอาไว้
แล้วนางแก่นใจก็เงยหน้าขึ้นเมื่อพูดจบหันมามองจ้องไปที่ร่างของอนุราช ส่วนปาฎลิณหล่อนก็ก้มหน้านิ่งเงียบแต่ก็ยอมรับฟังด้วยความเบื่อหน่าย
เมื่อนางแก่นใจนั้นได้แย้มพรายคำพูดออกมา พร้อมยิ้ม และเป็นยิ้มที่เหมือนนางคิดหมายมาดตั้งใจทำบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจมานาน แล้ว ด้วยสีหน้าที่อ่านเดายาก และไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดก็เช่นเดียวกับนายสมุทรผู้ เป็นสามี
“เอ้อ คุณทั้งสอง คืออย่าว่า โน้น นี้ เลยนะ พ่อหนุ่ม ก็เอาตามที่ เราเคยได้คุยกันเอาไว้แล้วกัน ในงานศพของไปรดาว ลูกสะใภ้ฉัน”
นางแก่นใจเอ่ยเรื่อยก่อนวกเข้ามาที่เรื่องสำคัญ
“ฉันเห็นว่าพวกคุณ นั้นสามารถเลี้ยงดูหลานสาวของฉันได้ ฉันเองก็รักหลานนะ ฉันไม่อยากจะยกไปให้ใคร หรอก แต่ไหนๆ แม่มันก็ตายไปแล้ว”
ขยักเรื่องไว้ตั้งนานแล้วจากนั้นนางก็ยินยอมเปิดปากบอกเขาและหล่อนเลยทำให้อนุราชนั้นยิ้มเหยียด หยันผ่านริมฝีปากออกมาอย่างนึกดูแคลนที่สุดดูถูก ครอบครัวของ นายสมุทร และ นางแก่นใจ สองสามีภรรยา ซึ่งเขากับปาฏลิณเตรียมพร้อมทุกอย่าง ขอเพียงว่า ครอบครัวนี้จะไม่เรียกร้องเรียกเอาจำนวนเงินที่มาก มายเกินควร และ เกินกว่าที่เขาจะรับมันได้
“งั้น เอาเป็นว่า เอ้อ ฉันขอทั้งหมด สองแสน”