ยามค่ำวันนั้น เขากำลังขับรถกลับบ้าน ขณะนั้นก็ได้เห็นว่ามีคนเดินตัดหน้ารถแล้วล้มลงพอดี ทำให้เขาเบรกรถอย่างกะทันหัน ก่อนจะรีบลงจากรถไปดูร่างนั้น ระหว่างที่กำลังก้มลงไปพลิกตัวผู้ชายคนนั้นขึ้นมา เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ด้านหลัง ไม่ทันได้หันกลับไปด้วยซ้ำ ก็รับรู้ถึงของแข็งบางอย่างที่ฟาดเข้ามาที่ศีรษะเขาอย่างแรง จมเขาล้มหน้าคว่ำลง มึนงง และศีรษะก็เริ่มปวดอย่างรุนแรง เขาพยายามจะพลิกตัวกลับมาดู แต่ก็ทำไม่ได้ ...
เหมือนมีใครบางคนเข้ามาดึงกระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงออกไป และก่อนที่จะสติจะดับวูบลง เขาก็ได้ยินคำพูดที่ดังโต้ตอบกันไปมาว่า 'ดูสิ! มันมีเงินในกระเป๋าเยอะทีเดียว พี่'
'เอานาฬิกามันมาด้วย! เข็มขัด! รองเท้าถอดออกมาให้หมด ดูแล้วน่าจะเป็นของดี ๆ กันทั้งนั้น'
'แล้วไอ้หมอนี่ล่ะ! ปล่อยทิ้งไว้แบบนี้หรือ'
'ช่วยกันอุ้มมันโยนลงในแม่น้ำดีมั้ย...'
'บาปนะพี่ เราแค่จะเอาเงิน เอารถของมัน อย่าให้ต้องมาฆ่าใครตายเลย...'
'สะเออะจะมาเป็นโจร แล้วมึงจะใจอ่อนทำไมวะ!'
'ไม่เอาล่ะ ฉันทำไม่ลง'
'งั้น...ก็จับมันโยนลงเรือลำนั้น แล้วก็ถีบหัวเรือส่งให้ไหลไปตามน้ำ ทีนี้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่จะให้กระแสน้ำพามันไปก็แล้วกัน!' ชายหนุ่มหลับตาลงแนบแน่น นั่นคือสำนึกสุดท้ายก่อนที่เขาจะสลบไป จนตื่นฟื้นขึ้นมาแล้วก็กลายมาเป็นนายใบ้เสียแล้ว…
หลังจากที่นั่งครุ่นคิดอยู่ลำพังได้ไม่นาน ข้าวต้มร้อน ๆ พร้อมด้วยปลาแห้งทอด และไข่ต้มอีกหนึ่งฟองก็ถูกยกมาไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม นางช้อยถามคนที่มองกับข้าวตรงหน้าคล้ายกับไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนว่า "พอจะกินได้อยู่นะ"
ชายหนุ่มเงยหน้าจากสำรับพวกนี้ แล้วรีบพยักหน้ารับ ได้ไม่ได้ก็ต้องได้ ตอบรับแล้วก็บอกกับตัวเองว่า นี่จะเป็นมื้อแรกที่ได้กินอาหารที่แสนจะธรรมดา ๆ เช่นนี้
"เออ ดี กินง่ายอยู่ง่ายแบบนี้ก็ดีหน่อย คนที่ช่วยเหลือมา เขาจะได้ไม่ลำบาก..." นางช้อยว่า ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพื่อบ่นกับตัวเองว่า "...ลำพังตัวเองก็อัตคัดขัดสนจะแย่อยู่แล้ว ไม่รู้จะรับช่วยคนอื่นมาเพื่อซ้ำเติมตัวเองอีกทำไม"
ชายหนุ่มตักข้าวเข้าปาก พร้อมกับจับตามองคนที่ลอบพึมพำนั้น เขาได้ยินไม่ถนัดนัก ใครสักคนที่อัตคัด... เอียงคอหมายจะฟังให้มากขึ้น แต่นางช้อยกลับขยับตัวหนีอย่างระมัดระวัง แล้วเบือนสายตามองมาที่เขา พลางถอนหายใจ "เออ! แกมันเป็นใบ้นี่นะ จะพูดอะไรกับใครได้ แล้วข้าจะกลัวแกเอาเรื่องคนในบ้านนี้ไปพูดให้คนอื่นฟังอีกทำไม" นางช้อยคล้ายกับเพิ่งนึกถึงความจริงขึ้นมาได้
ชายผู้ที่ถูกขนานนามว่าใบ้นี้จึงรีบพยักหน้ารับเร็ว ๆ และตักข้าวต้มกับปลาแห้งทอดที่มีรสชาติเค็มหน่อย ๆ เข้าปาก แม้จะเป็นกับข้าวธรรมดา ๆ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกว่า มันช่างอร่อยที่สุดเท่าที่เคยได้กินมาก่อน
สายตาของผู้สูงวัยกว่ามองชายหนุ่มอีกครั้ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ เหมือนได้ระบายความในใจที่สุมอยู่ในใจตัวเองมานานออกมาอีก "คุณขวัญเธอน่ะน่าสงสาร..."
เขารีบใช้แขนเสื้อเช็ดปาก ก่อนชี้ขึ้นข้างบนซึ่งหมายถึงหญิงสาวที่อยู่ชั้นบนของบ้าน
นางช้อยจึงพยักหน้ารับ แล้วขยับปากพูดต่อไปอีกว่า "เอ็งมีไข้ขึ้นสูงอยู่สองวัน นอนหนาวสั่น ครางอือ ๆ ๆ ตลอด เอ็งน่ะโชคดีมาก ที่เรือลอยตามน้ำมาติดอยู่ที่ท่าน้ำบ้านหลังนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะไม่อยากจะคิด" นางช้อยว่าแล้วมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของอีกฝ่าย ...ดูไปดูมา แม้ผมเผ้าจะยุ่งเหยิงไปสักนิด หนวดเครารุงรังไปสักหน่อย แต่ยามมองข้ามเรื่องเล็กน้อยนี่ไปแล้ว ก็พบว่านายใบ้ผู้นี้ก็มีหน้าตาที่หล่อเหลาไม่เบาทีเดียว
แล้วชายหนุ่มก็ชี้ขึ้นข้างบนอีก พลางเปล่งเสียง "แอ๊ะ ๆ ๆ" ด้วยความจำใจ ไหน ๆ คนที่นี่ก็พากันปลงใจเชื่อว่าตนพิการ เป็นใบ้อย่างนี้แล้วนี่
"เออ ก็ใช่ คุณขวัญเธออยู่ชั้นบนของบ้านหลังนี้"
ชายหนุ่มเห็นบ้านหลังใหญ่หลังสีขาวปลูกสร้างด้วยปูนเกือบทั้งหลัง มีขนาดใหญ่กว่า โอ่อ่ากว่าหลังนี้ อยู่ในที่ดินผืนเดียวกัน ทว่า ทำไมหญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘คุณขวัญ’ ถึงต้องมาระเห็จมาอยู่ที่เรือนไม้เก่า ๆ ที่ปลูกสร้างอย่างไม่ประณีตหลังนี้ด้วยเล่า ว่าแล้วจึงรีบชี้นิ้วมือไปยังบ้านใหญ่โตกว่าหลังนั้น
นางช้อยถอนหายใจ คล้ายเข้าใจความหมายทางแววตาและภาษากายที่นายใบ้สื่อออกมา "เรื่องมันยาวน่ะ ข้าก็ไม่มีเวลามาเล่าให้เอ็งฟังนัก เพราะเดี๋ยวต้องรีบขึ้นไปช่วยคุณขวัญทำงานข้างบน อ้อ จานชามพวกนี้ กินเสร็จแล้วก็ช่วยล้างเก็บให้ด้วยเข้าใจมั้ย"
คนที่ถูกเรียกว่านายใบ้จึงต้องพยักหน้ารับ
"ดี! หัดช่วยเหลือตัวเองบ้าง หายป่วยแล้วก็รีบ ๆ กลับไปซะ ข้าไม่อยากให้คุณขวัญต้องมาเดือดร้อนด้วยเรื่องของเอ็งอีก อ้อ พักอยู่แต่ที่นี่ ห้ามเข้าไปใกล้ที่บ้านใหญ่นั่นนะ เดี๋ยวคุณรำพึงเห็น จะเป็นเรื่องเป็นราวเชียว"
ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับซ้ำ ๆ
"แกหรือคุณขวัญ ที่จะเดือดร้อน"
เสียงของนายชดเอ่ยแทรก ขณะเดินเข้ามาสมทบ การแต่งเนื้อแต่งตัวของชายในวัยเท่า ๆ กับสตรีสูงวัยตรงหน้า ก็ทำให้ชายหนุ่มทราบแล้วว่า คงเพิ่งกลับจากข้างนอกมา และทราบอีกว่า ชายสูงวัยกว่าคนนี้คงเป็นสามีของป้าช้อยอย่างไม่ต้องสงสัย
"กลับมาแล้วหรือ ตาแก่"
"ข้าถามแกว่าใครจะเดือดร้อน ไม่ใช่แกหรอกรึ ยายแก่"
นางช้อยถอนใจที่ถูกว่าอย่างเหน็บ ๆ เข้าให้ ก่อนจะรีบอธิบายว่า "คุณขวัญน่ะสิจะเดือดร้อน ลำพังพวกเราน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะค่าอยู่ค่ากิน คุณขวัญเธอรับผิดชอบทั้งสิ้น เกิดนายใบ้นี่ยังไม่หาย น่ากลัวว่าจะให้เราไปรับหมอมารักษามันถึงที่นี่อีก แล้วค่าหยูกยา ค่าหมอค่าสารพัดจะตามมา ซึ่งก็ต้องเป็นเงินคุณเธออีก อย่างนี้จะไม่ให้คิดว่าคุณขวัญจะเดือดร้อนเรอะ ดีแค่ไหนที่วันนี้นายใบ้ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว"
“ช่วยคน เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยแบบแกนี่หรอกนะ" นายชดบ่นนางช้อย ก่อนจะรีบเอาเงินในกระเป๋าเสื้อที่เป็นธนบัตรจำนวนหนึ่งมายื่นให้นางช้อย พลางสำทับ "เอ้า เงินฝากให้คุณขวัญเธอด้วย"
นางช้อยรับเงินจำนวนนั้นจากสามี โดยมีสายตาของนายใบ้มองอย่างสงสัย แล้วนางช้อยจึงหันมามองชายหนุ่มคนเดียวอีกครั้ง
"ฝากดูมันหน่อยนะ ท่าทางจะดีขึ้นมากแล้ว กับข้าวของแกอยู่ในตู้หากินเอาเองก็แล้วกัน" แล้วก็รีบเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของตัวบ้านทันที
"ฟื้นแล้วนะเอ็ง นายใบ้" นายชดทักทายอย่างยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังตู้กับข้าว เพื่อจัดการอาหารมื้อกลางวันให้ตัวเอง โดยมีสายตาของชายหนุ่มมองตามหลังผู้สูงวัย พลางนึกในใจว่า ลุงชดท่าทางจะใจดีกว่าป้าช้อยอยู่มาก อย่างนี้หากเขาลองหลอกชักถามอีกฝ่าย เขาคงจะได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวหญิงสาวที่อยู่ชั้นบนของตัวบ้านได้มากขึ้นกระมัง
ชายหนุ่มนึกในใจ พร้อมกับตักไข่ต้มและข้าวเข้าปากตาม