นายชดตักข้าวและกับแล้วก็เดินกลับมานั่งใกล้ ๆ นายใบ้ด้วย จึงได้เห็นสายตาของนายใบ้ที่มองดูบ้านโล่ง ๆ มีห้องนอนหนึ่งห้อง และห้องครัว แล้วตรงที่พวกตนนั่งกันนี้ก็เป็นที่โล่ง ๆ มีลมโกรกตลอด
"เรือนนี้เป็นเรือนของคนใช้"
เขาเบือนใบหน้ากลับมามองผู้สูงวัยกว่า
"ที่นี่เคยเป็นเรือนคนใช้เก่ามาก่อน เมื่อก่อนพวกเราจะนอนกันด้านบน ด้านล่างจะเป็นห้องครัว ห้องโถงโล่ง ๆ เพื่อไว้ทำกับข้าวหรือทำงานให้เจ้านายน่ะ แต่พอคุณขวัญต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ ห้องหับข้างบนก็ถูกรื้อออกไป เพื่อนำมากั้นเป็นห้องนอนหนึ่งห้องตรงนั้น ของพวกข้า..." ว่าพลางชี้ไปยังห้องนอนที่ถูกไม้กระดานมาตีเป็นห้องอีกห้อง "…แต่สามคืนมาแล้วที่ข้าต้องเอาที่นอน มุ้งมากางนอนที่โถงนี่ เพื่อดูแลแกตามคำสั่งคุณขวัญน่ะ นายใบ้"
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย รับรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณต่อเขาเหลือเกิน ซึ่งเขาจะไม่มีวันลืมเลือนและจะไม่มีวันดูดายหล่อนเป็นอันขาด แต่มันก็ติดตรงที่ว่า ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นนายใบ้ไปเสียอย่างนี้ จะช่วยเหลืออย่างไรก็เป็นเรื่องที่น่าลำบากอยู่ แล้วต้องค่อยกลับไปคิดภายหลังด้วย อีกประการเขารู้เรื่องราวของคนที่นี่น้อยมาก โดยเฉพาะหญิงสาวผู้งดงามทั้งหน้าตาและจิตใจคนนั้น
และหากจู่ ๆ เขาพูดออกมาเอง เขาจะโดนคนที่นี่ตะเพิดออกไปทันทีเลยหรือเปล่า เพราะเขาไม่ได้เป็นนายใบ้... ชายหนุ่มลอบถอนใจเบา ๆ ที่พบว่า การได้เป็นนายใบ้ข้อดีก็มีอยู่อย่างคือ เขาสามารถรู้เรื่องราวภายในบ้านหลังนี้ โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากรบเร้าให้คนที่นี่พูดให้ฟัง อาจจะเป็นเพราะการเป็นใบ้นี่เองที่ทำให้คนเหล่านี้เกิดความไว้วางใจไปแล้วว่า ทุกเรื่องที่ถ่ายทอดให้นายใบ้ผู้นี้รับทราบ จะไม่มีการนำไปพูดที่ใดอีกเป็นอันขาด แต่มันก็น่าอึดอัดไม่น้อย ที่ไม่สามารถพูดได้อย่างที่ใจต้องการอีก
ชายหนุ่มมองไปยังบ้านหลังใหญ่กว่าหลังสีขาวที่มีหลังคาสีแดงนั้น แล้วชี้ให้ผู้อาวุโสดู"บ้านหลังนั้นแหละ คุณรำพึงคุณแม่และคุณสกาวใจพี่สาวคุณขวัญอยู่ ส่วนคุณขวัญเธอต้องมาอยู่ที่นี่ร่วมกับพวกเรา"
เขาเงยหน้ามองชั้นบน มารดาและพี่สาวอยู่บ้านหลังงาม แต่หล่อนกลับต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่ เรื่องราวเป็นอย่างไรล่ะ เขาทำแววตาสงสัยหนัก มองผู้สูงวัยกว่าอย่างไม่ละสายตา หมายว่าอีกฝ่ายจะรีบขยายเรื่องราวให้เขาได้รู้มากขึ้น
ทว่า นายชดกลับก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อแล้วตัดบท "พอละ ข้าต้องรีบกิน แล้วจะได้ทำงานต่อ ...ส่วนเอ็งก็รีบ ๆ กินซะ ถ้ายังไม่หายไข้ก็นอนพักซะเถอะ"
หลังจากทานข้าวอิ่ม และชายหนุ่มก็ได้ล้มตัวลงนอนพัก นางช้อยก็ขึ้นไปช่วยหญิงสาวผู้นั้นทำงานชั้นบนของบ้านตั้งนานแล้ว ส่วนนายชดสามีของแกก็กำลังพรวนดิน พร้อมกับดูแลต้นไม้ใบหญ้า รอบๆ ตัวเรือนไม้หลังนี้อยู่
ชายหนุ่มอยากรู้เรื่องราวที่นี่เพิ่ม เพราะนอกจากคุณขวัญจะระเห็จมาอยู่ร่วมกับเรือนคนใช้แล้วก็เป็นไปได้ว่า หล่อนและมารดา รวมถึงพี่สาวคนนั้นก็อาจจะอยู่ในสถานะ แม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงกันหรืออย่างไร
ชายหนุ่มพลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของหล่อน ไม่สบายตัวและใจยิ่งกว่าการนอนซมเพราะพิษไข้เสียอีก เขาเหลือบตามองชั้นบนของบ้าน หล่อนทำงานอะไรกัน จากคำบอกเล่าของป้าช้อยค่าอยู่ค่ากินของที่นี่ หล่อนต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด แสดงให้เห็นแล้วหญิงสาวตัวเล็กอายุน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ แต่ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหนาเกินวัยน่าดู
เขาผุดลุกขึ้นนั่ง พลางถอนใจ การได้มาตกอยู่ในสถานะนายใบ้จะเอ่ยถามออกไปตรง ๆ ก็ใช่ที่สินะ เขาเหลือบมองไปทางผู้สูงวัย และไม่ห่างออกไปก็เห็นเสียมอีกเล่มอยู่วางตรงนั้น ...
"เอ้า ทำไมไม่นอนพัก" นายชดหันกลับ ยามเห็นนายใบ้เดินมาสมทบพร้อมกับถือเสียมอีกเล่มเอาไว้ในมือ ชายหนุ่มจึงขยับตัวให้ดูกระฉับกระเฉงขึ้น แล้วโบกมือทำนองว่า ไม่เป็นอะไรแล้ว
"อ้อ...จะบอกว่าหายดีแล้ว"
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเร็ว ๆ ก่อนจะชี้ไปที่แปลงผักที่นายชดกำลังพรวนดิน
"จะช่วยหรือ?" ผู้สูงวัยกว่าถาม พร้อมทำท่าครุ่นคิด แล้วจึงขยับตัวเพื่อให้นายใบ้มาช่วย พลางบอก "เออ ดี ๆ ถ้าลุกไหวแล้วก็มาช่วยกันทำงานหน่อย"
จากนั้นนายใบ้ก็เริ่มช่วยผู้สูงวัยพรวนดิน ที่ดูจะเป็นงานหนัก และเป็นงานประเภทที่ตนไม่เคยต้องจับต้องทำมาก่อนในชีวิตกับการมาจับจอบ จับเสียมเช่นนี้ เขาจะอาศัยจากที่ตัวเองเคยเห็นคนสวนที่บ้านทำให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ก็คงพอจะทำอย่างคนอื่นได้บ้างหรอกน่า แม้จะต้องตากแดดจนเหงื่อโทรมกาย เขาก็ยอมเพื่อให้ได้รับรู้เรื่องราวของหญิงสาวผู้นี้เพิ่ม
พอเวลาผ่านไปสักระยะ ชายหนุ่มจึงลองสะกิดตัวผู้สูงวัย แล้วชี้ขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ก่อนจะทำท่าทางประกอบเพื่อให้นายชดได้รู้ว่าเขาได้ถามไปถึงบิดาของหล่อนนั่นเอง
"คุณผู้ชาย คุณพ่อของคุณขวัญเสียไปหลายปีแล้ว..." นายชดเริ่มเล่า พร้อมกับถอนใจและทำงานตรงหน้าไปด้วย "เมื่อก่อนที่นี่จะอุ่นหนาฝาคั่ง เพราะคุณผู้ชายรับราชการ มีหน้ามีตา มีเงินเดือนสูง ๆ พอจะจ้างคนใช้เอาไว้หลายคน แต่พอคุณผู้ชายเสีย คนใช้ที่นี่ก็เริ่มทยอยลาออก แม้ไม่ลาออกเองก็จะโดนไล่ออกบ้าง เพราะคุณรำพึงเธอไม่ได้ทำงานน่ะ เลยไม่มีเงินพอจะจ้างคนมาก ๆ ทำงาน และความจริง ข้ากับนางช้อยก็เคยถูกคุณรำพึงเฉดหัวออกจากที่นี่ไปทีแล้ว ไปอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้ที่นครนายก แต่อยู่ไม่ได้ เฮ้อ... "
ว่าแล้วจึงถอนหายใจ ยกผ้าขาวม้าที่คาดเอวขึ้นมาเช็ดเหงื่อ ปากก็พูดไปอีกว่า "...เพราะลูกสะใภ้มันร้าย ยิ่งกับนางช้อยนี่ยิ่งไม่ลงรอยกันมาก ประเภทขิงก็ราข่าก็แรง เลยทำให้เราสองคนตายายต้องตัดสินใจกลับมาพึ่งใบบุญที่บ้านนี้อีกครั้ง โชคดีที่คุณขวัญเธอขอคุณแม่ให้รับข้าและยายแก่ไว้ และบอกว่าจะจ่ายเงินเดือนให้เราสองคนเอง ดังนั้น เราสองคนจึงพอมีที่คุ้มหัวกันอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และเราทั้งสองก็ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่จนตายกันไป จะไม่กลับไปหาลูกชายคนเดียวอีก ส่วนค่าแรงเราก็ขอทำงานก็แลกกับค่ากิน ค่าอยู่อาศัยกับเธอไปวัน ๆ แต่คุณขวัญเธอก็ดี ยังหาเงินมาเป็นเงินเดือนให้เราสองคนอีกจนได้ ข้าสองคนแม้ไม่อยากรับแต่คุณขวัญเธอก็คะยั้นคะยอให้รับจนได้น่ะแหละ"
นายใบ้หยุดมือลงชั่วขณะ แล้วหันมาส่งเสียง "แอ๊ะ! แบ๊ะ!" เขาพยายามถามกลับ และทำท่าทางประกอบ
นายชดพักมือแล้วก็แปลความหมายท่าทางจากเขา ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วถามกลับสั้น ๆ "คุณขวัญเธอทำงานอะไร? แบบนี้ใช่มั้ย" เขาพยักหน้ารับเร็ว ๆ ดีใจที่ผู้สูงวัยเข้าใจสิ่งที่เขาอยากสื่อได้เร็วมาก
"เธอมีฝีมือฉลุลายผ้า รับมาทำแล้วเอาไปส่งตามร้านประจำ งานฝีมือเธอสวยงามจนมีร้านเสื้อ ร้านผ้ารับซื้อ แต่ก็นั่นแหละคุณขวัญต้องทำคนเดียว มีนางช้อยคอยช่วยบ้างก็ยังถือว่าเป็นงานหนักสำหรับเธออยู่ ข้าล่ะสงสารเธอจริง ๆ เพราะค่าใช้จ่ายที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินเธอทั้งนั้น คุณรำพึงและลูกสาวอีกคนไม่ยอมมารับรู้ด้วยหรอก"
เขาพยักหน้าเร็ว ๆ อีก
"เมื่อกี้ที่ข้าไปข้างนอก ก็เอาผ้าที่เธอทำไว้ไปส่งให้ตามร้าน แล้วรับเงินมาให้ ข้าต้องไปส่งประจำทุกวัน แต่บางวันคุณขวัญก็ไปเองนะ"
ชายหนุ่มชี้ไปทางบ้านใหญ่อีกครั้ง แล้วชี้มาที่ท้องของเขา พร้อมทำยกนิ้วมาสองนิ้ว นายชดเองก็เริ่มสนุกที่เดาท่าทางนั้นได้ จึงยิ้มกว้างแล้วตอบมา
"คุณรำพึงไม่ได้มีลูกสาวแค่สองคนหรอก คนโตเป็นลูกชายเรียนอยู่ต่างประเทศโชคดีที่เป็นนักเรียนทุน สอบทุนไปเรียน ไม่อย่างนั้นก็คงเรียนไม่จบเพราะคุณแม่ไม่ค่อยมีเงิน ส่วนลูกสาวอีกคนก็เรียนอยู่มหาวิทยาลัย แต่ข้าว่า ท่าทางจะเรียนไม่รอดว่ะ..."
ชายหนุ่มรีบชี้ขึ้นข้างบนทันที
"คุณขวัญเคยเรียน แต่ไม่ได้เรียนต่อ..." น้ำเสียงของนายชดนั้นอ่อนลง
"แอ๊ะ!" เขาทำหน้าสงสัยประกอบด้วย
ผู้สูงวัยจึงสบตาเขากลับวางท่านิ่งขรึม ก่อนจะกระซิบบอก "คุณรำพึงแกไม่ได้รักลูกสาวคนนี้…" แล้วเหลียวมองไปมาคล้ายกับว่ากลัวใครจะมาได้ยินคำพูดต่อไปนี้เข้า "…แกหาว่า คุณขวัญไม่ใช่ลูกสาวของแกน่ะซี่"
ดวงหน้านายใบ้ฉายแววตะลึงไปในทันที พลางอ้าปากค้างเล็กน้อยด้วย นึกสงสัยขึ้นมาอย่างครามครันว่า เอ๊ะ เรื่องราวเป็นยังไงมายังไง หรือหล่อนจะเป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยง!
นายชดรู้สึกคันปากอยากเล่ายิบ ๆ พร้อมเหลือบตาขึ้นมองชั้นบนของบ้าน ถอนหายใจเหยียดยาว "เรื่องมันยาวน่ะ ข้าก็ไม่อยากพูดถึง อีกอย่างไม่อยากให้เรื่องนี้เข้าถึงหูคุณขวัญเธออีก สงสารเธอ..."
จากนั้น นายชดก็เริ่มใช้เสียมขุดดินต่อ ขณะที่ชายหนุ่มที่ตกอยู่ในสภาพนายใบ้ก็มีอาการอึ้งไปไม่น้อย... 'หมายความว่า ถ้าหล่อนไม่ใช่ลูกสาว ก็อาจจะเป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยง คงมีเหตุผลพอที่ให้คนเป็นแม่รังเกียจ และไม่ชอบลูกสาวคนนี้ เลยไล่ส่งให้มาอยู่ที่นี่รวมกับคนใช้ อย่างนี้น่ะหรือ!'
เกิดเสียงฝีเท้าที่ย่ำมาด้วยความแรงและความเร็วนั้น ทำให้นายชดหันขวับกลับไปด้านหลัง ผุดลุกขึ้นทันทีพร้อมกับอุทานออกมาว่า "คุณรำพึง!"
"ได้ข่าวว่าแม่ลูกสาวตัวดีของฉัน! มันไปช่วยคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามา แล้วให้เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้รึ!"
เสียงนี้ถามด้วยความเอาเรื่องทีเดียว ก่อนจะเบือนสายตาจับจ้องมาที่ชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคนด้วยแววตาเกรี้ยวกราดอย่างน่ากลัวอีกด้วย