คืนพรุ่งนี้ซินะ... คืนเดือนแรม
หญิงสาวร่างเล็กบนรถทัวร์คันนั้นครุ่นคิด จนบัดนี้เธอก็ยังข่มตาให้หลับลงไม่ได้เลย เธอเอนพนักลงไปแล้วนอนมองออกไปด้านนอกหน้าต่างที่มีเพียงเงาตะคุ่มๆ ของต้นไม้สองข้างทางเรียงราย เมื่อมองเลยขึ้นไปบนผืนฟ้ามืดกว้างไกลลิบลับตานั้น บนโน้นก็ยังมีดวงดาวนับหมื่นนับแสนดวงส่องแสงระยิบระยับพร่างพราว
น่าแปลก... ที่เวลานี้ หญิงสาวไม่ได้นึกถึงใครหรืออะไรอื่น แม้กระทั่งชายหนุ่มเพื่อนร่วมงาน ผู้ที่ส่งข้อความมาถึงเธอและเป็นเหตุให้เธอกับนุ้ยโดนเจ้าป้าเอ็ดอึงเอาเมื่อสักครู่เลยแม้แต่แวบเดียว แต่เธอกลับนึกไปถึงคืนที่ฟ้ามีแสงดาวพราวระยับเช่นนี้ ในวันที่ยังเยาว์ แต่ขณะที่นึกถึงนั้น ความรู้สึกมันชัดเจนใหม่สด ดังสัมผัสได้ ณ ขณะนี้เอง
เหตุการณ์วันนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่เธอยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ และยังอยู่ที่บ้านในหุบเขาทางเหนือสุดของแผ่นดินไทย บนทางเดินเท้าที่เธอกับบิดากำลังพากันเดินลงจากวัดเก่าแก่บนยอดดอยในคืนหนึ่ง
ในช่วงเสี้ยววินาทีหนึ่ง พลันที่เธอละสายตาจากเท้าที่ก้าวเดิน แล้วแหงนมองขึ้นบนฟ้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ...
ณ วูบหนึ่งที่เธอได้เห็นฟ้าและดาวระยิบแสงเต็มสองตา ในทันใดนั้น --- เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นใครอีกคนหนึ่งที่จ้องมองฟ้าและดาวเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อนานมาแล้ว...
นานเหมือนผ่านไปสืบเนื่องหลายศตวรรษ ...มันยาวนานเหลือเกิน
ขณะแหงนมองฟ้ากว้างครั้งนั้น ร่างเล็กๆ ดังถูกตรึงไว้กับที่ เหมือนดังความทรงจำลึกเร้นที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณมันดิ้นรนพยายามที่จะผุดโผล่ออกมาให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาได้หลุดรอดออกมาไม่... มันเป็นดังความลับที่ชวนให้อัศจรรย์ใจ เพราะเธอมีทั้งความรู้สึกอ่อนไหว ทั้งอาลัยลึกซึ้งและคั่งแค้นแน่นอก มันตราตรึงประทับแน่นในหัวใจเล็กๆ ณ บัดดล
“ง่วงหรือเปล่าล่ะลูก เต้นมาขี่หลังพ่อดีกว่าไหม”
ผู้เป็นพ่อถามขึ้น พลางกระตุกมือเล็กๆ นั้น เมื่อเห็นว่าลูกสาวตัวน้อยที่เดินอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็หยุดอย่างกะทันหัน ร่างเล็กกระจ้อยร่อยนั้นชะงักงัน แล้วก็เอาแต่ยืนแหงนหน้าจ้องฟ้าเหมือนกำลังละเมอ มือน้อยๆ นั้นเย็นชืด ใบหน้าเล็กๆ ในแสงดาวนั้น ซีดเผือด
“เต้น...เป็นอะไรลูก”
เสียงนั้นเหมือนดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล ท่ามกลางแสงดาวนับล้านที่กะพริบวิบวับอยู่บนฟากฟ้ากว้างนั่น... แม้แสงจากดาวส่องกะพริบมานี้ จะมีแสงสว่างแค่ลางเลือน ไม่เด่นชัดดังแจ่มงามละออตาของแสงจันทร์นวล และไม่สว่างกระจ่างแจ้งเหมือนแสงอาทิตย์ที่สาดส่องให้เห็นทุกอย่างได้ถ้วนถี่ถนัดตา แต่คนเป็นพ่อก็สังเกตเห็นได้ถึงความตื่นตระหนกของลูกสาวในแสงดาวพราวพร่างนั้น
เขาสัมผัสได้ถึงอาการหวาดผวาตื่นกลัวของลูกสาวในยามนั้นได้ดีทีเดียว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวของเขามีอาการแบบนี้ แต่เธอมักมีอาการนี้ทุกครั้งที่ได้เห็นผืนฟ้าสีดำกำมะหยี่และมีแสงดาวเต้นระยิบดุจมีกากเพชรโปรยระยับเต็มตา
...ก็ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องพาเธอมากราบเจ้าอาวาสที่บนวัดดอยเก่าแก่นี้ด้วยกัน
นับแต่ “อนันต์” ย้ายมารับราชการเป็นปลัดอำเภออยู่ที่อำเภอนี้ เขาก็พาครอบครัวมาอยู่ด้วย เขามักจะปลีกเวลาขึ้นมากราบพระธาตุสำคัญคู่บ้านคู่เมืองนี้ และมากราบสนทนาธรรมกับท่านเจ้าอาวาสผู้ชรา อาทิตย์ละครั้งสองครั้งตามแต่จะมีเวลาว่าง
การมาวัดเป็นกิจวัตรส่วนหนึ่งของเขานับแต่ย้ายมาประจำที่นี่แล้ว ส่วนลูกสาวตัวน้อย คืนนี้เพิ่งได้ติดตามมาวัดดอยยามค่ำด้วยเป็นหนแรก ก็เพราะหลังจากได้สนทนาธรรมกับท่านเจ้าอาวาสหลายครั้งหลายหนแล้ว เขาก็รู้สึกนับถือศรัทธาท่านมาก ภิกษุชราท่านนี้เปี่ยมเมตตา ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีวัตรปฏิบัติที่งดงามน่าเลื่อมใสศรัทธา และเขาเชื่อว่าท่านมีญาณหยั่งรู้...
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากถึงความทุกข์ภายในใจใดๆ ท่านก็พูดขึ้น คล้ายอ่านใจเขาออก
“พาลูกสาวมากราบอาตมาด้วยซิโยม เผื่อโยมทั้งสองจะได้คลายทุกข์ในใจนั้นเสียบ้าง”
ราวกับท่านจะล่วงรู้ความทุกข์หน่วงทับที่อยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอดแปดปีนี้ นับแต่พวกเขามีลูกสาวตัวน้อยมาเป็นแก้วตาดวงใจนี้ ในทุกๆ คืนแรม ลูกสาวมักมีอาการผิดปกติทุกครั้ง นับตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นทารก อยู่ เมื่อคืนแรมเวียนมาถึง ร่างเล็กกระจ้อยร่อยนั้นก็จะกรีดร้องจนตัวแข็งทื่อ เสียงร่ำร้องของลูกสาวในวัยแบเบาะนั้น ราวกับคมมีดกรีดลงกลางใจของพ่อกับแม่เลยทีเดียว
ถ้าแทนกันได้ พ่อกับแม่ขอแลกเอาความทุกข์ของลูกนั้นมาไว้เองเถิด
...ลูกเอ๋ย หนูเป็นอะไรไปหนอลูก
แล้วพอเธอเติบโตขึ้น เมื่อถึงคืนแรมเช่นนี้ เธอไม่ได้กรีดร้องดิ้นเร่าๆ เหมือนตอนเป็นทารกอีกแล้ว แต่เธอก็เอาแต่ร้องไห้ สะอึกสะอื้นฟูมฟายและพูดอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมีใครเข้าใจ ทั้งถ้อยภาษา สุ้มเสียง สำเนียงแปลกสูงๆ ต่ำๆ นั้น ชวนให้คนฟังครั้งแรกมักตกตะลึงและขนลุกอยู่ไม่น้อย
สิ่งนี้ ไม่นับเป็นความพิเศษที่ชาวบ้านพากันเรียกเธอว่า “คนหน้อยตาติ้บ” นั้นด้วยเลย
ความเป็นเด็กตาทิพย์ ที่เขากับภรรยาไม่ได้ดีใจในความพิเศษนี้เลย เพราะเหมือนกับรู้ว่ามันต้องแลกมากับอะไรบางอย่างที่มันคงพิสดารพันลึกที่ชวนเหลือเชื่อและทุกข์ทรมานใจกายอยู่ไม่น้อย เขาต้องการลูกสาวที่เป็นปกติ เป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนๆ คนทั่วไปมากกว่า
พวกเขาไม่รู้เลยว่า เพราะอะไร ทำไมลูกสาวเขาจึงถูก “เลือก” มาให้พิเศษกว่าใครเช่นนี้ อนาคตของเธอดูน่ากังวล แล้วเมื่อไรเธอจึงจะมีชีวิตเหมือนคนอื่นๆ เขาได้
ความไม่รู้และคำถามที่เกิดขึ้นในใจมากมายฉะนี้เอง ที่ทำให้ปลัดอนันต์กับนภา ผู้เป็นภรรยาต่างก็เป็นทุกข์ในสิ่งที่ลูกสาว “เป็น” อยู่มาก ที่ผ่านมาทั้งคู่จึงพาลูกสาวตัวน้อยตระเวนไปรักษาทุกรูปแบบ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ ตามแต่ใครจะแนะนำว่าที่ไหนดี แม้กระทั่งไปรักษาตามความเชื่อต่างๆ พบหมอดู คนทรงเจ้า พวกเขาก็ยังยอม
...เพื่อลูกแล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่ยอมทำได้ทุกอย่าง ขออย่างเดียวแค่ให้ลูกสาวหายจากอาการประหลาดนี้และมีชีวิตที่เป็นปกติดังเช่นคนทั่วไปก็เพียงพอแล้ว
ในระหว่างนั้นเอง เขาได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกสาวนับแต่เธอลืมตาดูโลกไว้ในสมุดบันทึกเล่มน้อย หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีใครช่วยไขปริศนาเหล่านั้นได้ หรือไม่ก็เพื่อให้ตัวของอณุภาเองได้รู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้างในตอนที่เธอยังเล็กอยู่
ค่ำนั้น เมื่อหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านมองดูหน้าลูกสาวของเขา ท่านถามคำถามเขาสั้นๆ เพียงสองสามคำถาม แล้วก็บอกให้เขาหงายฝ่ามือลูกสาว แล้วยื่นมาให้ท่านดูต่อหน้า ภิกษุชราชะโงกดูฝ่ามือเล็กๆ ทั้งสองข้างตรงหน้าในแสงตะเกียงวับแวมอยู่เป็นครู่ แล้วก็หลับตานิ่งอยู่ สักพักจึงลืมตาขึ้น...
“เด็กคนนี้สำคัญนักนะโยมปลัด... เขามีของดีของเก่าติดตัวมา เช่นเดียวกันก็มีกรรมเก่ากรรมแรงเป็นตัวชักพามาด้วย แต่โยมอย่าเพิ่งตื่นเต้นตกใจอะไรไป ชีวิตคนเราบางที บางคนมันก็มักมีอะไรที่เป็นแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน ก็ให้คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเช่นนี้เอง ที่สำคัญโยมปลัดกับแม่ของเด็กจะต้องมีสติมั่นคง ตั้งใจอบรมสั่งสอนให้เขาอยู่ในศีลในธรรม หมั่นพาเขาไปทำบุญและปฏิบัติให้มากเข้าไว้ ...ที่พวกโยมทั้งหลาย ปู่ย่าตายายเด็กคอยปลูกฝังผ่านๆ มานั้นก็ใช้ได้อยู่นะ แต่อาตมาอยากให้ตัวโยมกับแม่เด็กก็ต้องฝึกได้ปฏิบัติด้วย บุญต่อบุญกัน ตอนนี้มีโอกาสก็ควรสร้างกุศลร่วมกันไว้มากๆ ถ้ามีเวลาก็พากันมาฝึกปฏิบัติที่นี่ อาตมาจะช่วยชี้นำเอง”
อนันต์ประนมมือรับคำนั้น แล้วท่านก็บอกอะไรเขาไว้อีกมากมาย ซึ่งเขาจดจำไว้ในหัวอย่างแม่นยำทุกคำที่ท่านบอกและตั้งใจจะเขียนบันทึกไว้ให้ลูกได้อ่านเมื่อเติบโตขึ้นด้วย
อณุภายังจำได้แม่นว่า ขณะที่บิดาจับข้อมือเธอไว้ แล้วยื่นฝ่ามือของเธอให้ภิกษุชราผู้อารีดูมือของเธอในคืนนั้น ท่านได้พยักหน้าเรียกลูกศิษย์ท่าน ซึ่งเป็นภิกษุวัยกลางคน ที่ท่านบอกว่าเพิ่งข้ามโขงมาได้สองสามวัน และขณะนี้นั่งสงบอยู่ไม่ห่างให้มาดู “อะไรบางอย่าง” ที่ฝ่ามือของเด็กหญิงด้วย
...เมื่อท่านมองแล้ว ต่างคนก็ต่างพยักหน้าให้แก่กัน ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ