คิดถึงเหลือเกิน

1390 Words
คืนวันเดินทางคืนนี้ก็เช่นกัน... ขณะนี้เธอมีเพียงความสงบและแสงดาวสว่างไสวที่สาดส่องเข้ามาภายในรถทัวร์คันใหญ่นี้ ราวกับว่าปมปริศนาเดิมๆ กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง คำถามซ้ำๆ วิ่งวนอยู่ในหัว เธอจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า อีกไม่นานจากนี้และหวังว่า สักวันคงรู้คำตอบ ...ที่ผ่านมา นักข่าวสาวสายฟ้าแลบคนนี้ ยังคงมองฟ้าและดาวด้วยความพิศวงเช่นนั้นตลอดมา จนกระทั่งมาถึงวันหนึ่ง วันที่หัวใจของเธอแทบแตกสลาย เมื่อผู้เป็นพ่อจากไป... โลกทั้งใบของเธอหยุดหมุน หัวใจเธอแทบหยุดเต้นตาม เมื่อได้รู้ว่า ลมหายใจของพ่อหยุดแล้ว และหัวใจของพ่อก็ไม่เต้นอีกต่อไปแล้วชั่วนิจนิรันดร์ ... อณุภายังจำที่บิดาเคยบอกไว้เสมอ ตั้งแต่ตอนที่เธอยังเล็กๆ อยู่ว่า ที่เธอได้ชื่อเล่นว่า "เต้น" นี้ ก็เพราะ "เต้น" คือ สัญลักษณ์ของการมีชีวิตอยู่ของชีวิตหนึ่ง อันเป็นชีวิตที่สำคัญที่สุดของพ่อกับแม่เธอ นับแต่วันที่พ่อกับแม่ต่างตื่นเต้น หัวใจของทั้งสองคนต่างเต้นรัวเร็ว ณ วินาทีที่ได้รับรู้ว่า ในชีวิตคู่ของพวกเขาบัดนี้นั้น ได้มีอีกหนึ่งหัวใจน้อยๆ กำลังเต้นตุบๆ อยู่ในครรภ์มารดานั่นแหละ...คือ ชีวิตชีวาของพ่อกับแม่ แล้วอณุภาก็เกิดมาพร้อมความตื่นเต้น มีชีวิตชีวาเช่นนั้น พ่อยังเล่าอีกว่า นาทีที่เธอออกมาจากครรภ์มารดานั้น โลกขานรับการมาของเธอด้วยฝนแรกของฤดู ที่มาเป็นพายุฝนอันหนักหน่วง มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ผืนดินชุ่มอุ้มฝนจนฉ่ำนอง ทุกชีวิตตื่นเต้นเริงร่าอยู่ในสายฝนสายฟ้านับแต่วินาทีแรกที่เธอลืมตาดูโลกนั่นเลยทีเดียว ครั้นพอเธอเจริญวัยขึ้น มิเพียงการเติบโตมาพร้อมกับเสียงเล่าลือถึงเรื่องเด็กตาทิพย์ ทั้งเครือญาติและใครๆ ที่ได้เห็นหน้าเธอแล้ว ก็มักยั่วล้อเสมอว่า โตเป็นสาวแล้ว อย่าได้ริส่งยิ้มให้ใครเล่นๆ หรือยิ้มเรื่อยเปื่อยไม่รู้ทิศทางเชียว เพราะแค่รอยยิ้มของอณุภานั่น ก็อาจทำให้ใจใครเขาหวั่นไหวได้ง่ายๆ เพราะแค่เขาได้เห็นรอยยิ้มและสบตา คนอื่นเขาก็ใจเต้นและพร้อมจะเดิมตามต้อยๆ ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม อณุภาก็เติบโตขึ้นอย่างเด็กที่มีความสุข ได้อยู่ในท่ามกลางความรักและความอบอุ่นในอ้อมอกของพ่อกับแม่... อันที่จริง เธอเคยเป็นคนที่มีความสุข มีเสียงหัวเราะที่มีชีวิตชีวามากที่สุดคนหนึ่ง จนกระทั่งถึงวันที่ได้รู้ถึงความเจ็บป่วยของพ่อและได้รู้ว่าพ่อจะมีวันเวลาอยู่กับเธอได้อีกไม่นานนัก... ...อายุขัยของพ่อจวนจะสิ้นลงแล้ว... วันนั้นราวกับผืนฟ้าถล่มทรุดลงมา พื้นดินยุบยวบลงตรงต่อหน้า...ทั้งโลกมืดมิดมัวหม่นไปในทันใด แม้ก่อนสิ้นลม พ่อจะบอกกับเธอว่า ถึงหัวใจของพ่อจะหยุดเต้นไปแล้ว แต่ตราบใดที่หัวใจของลูกสาวพ่อยังเต้นอยู่ พ่อก็จะยังอยู่ในหัวใจของลูกสาวพ่อเสมอ.. “และบนฟ้านั่น เต้นจำฟ้าจำดวงดาวเหล่านั้นได้ไหมลูก เต้นจำนิทานของพ่อได้รึเปล่า" พ่อสบตาเธอและถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาแหบโหย เมื่อลูกสาวพยักหน้าแล้ว เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "พ่อจะอยู่บนโน้น คอยมองดูเต้นเติบโต มีชีวิตชีวา” นี่เป็นคำสัญญาสุดท้ายระหว่างสองพ่อลูกกระนั้นหรือ... อณุภาพยักหน้าตอบพ่ออีกครั้งแล้วก็ซบหน้าลงกับแผ่นอกอันผอมบางของผู้เป็นพ่อ ซึ่งในขณะนั้นเธอยังได้ยินเสียงหัวใจของพ่อเต้นเบาๆ ในโพรงอกอยู่เลย แต่หลังจากนั้น เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเลย หัวใจของพ่อก็หยุดเต้นไปตลอดกาล... ในเวลานั้น ความโศกเศร้าไม่รู้หลั่งไหลมาจากไหนมากมายเพื่อโถมทับอณุภากับแม่ ผู้ซึ่งเหมือนตกหล่นอยู่ในหุบเหวแห่งความทุกข์ระทมนั่น มันเหมือนกับว่า ลมหายใจของสองแม่ลูกแทบจะขาดหายตามผู้นำครอบครัวไปด้วย เมื่อเวลาผ่านไป... จากเดือนเป็นปี เป็นห้าปี สิบปี ครอบครัวเล็กๆ เศร้าเหงาของแม่ลูกสองคนนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และในปีที่สิบเอ็ดก็กลายเป็นครอบครัวใหญ่แล้วก็อบอุ่นขึ้นด้วย เมื่อณภาแม่ของเธอยอมรับไมตรีจาก “ป๋า” หรืออาจารย์ดำรง พ่อม่ายหนุ่มใหญ่ลูกสอง ผู้ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรของครอบครัวเล็กๆ นี้มาตลอดเวลา เวลานั้น เขาได้ก้าวเข้ามานำนาวาชีวิตของสองแม่ลูกให้เดินทางต่อได้โดยไม่ลำบากอีกต่อไป... พ่อม่ายลูกติดกับแม่ม่ายลูกติด ต่างก็เคยประสบความทุกข์มหันต์จากการสูญเสียบุคคลสำคัญในครอบครัวมาก่อนเหมือนกัน เมื่อต่างเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างสนิทแนบแน่นก็ด้วยความเข้าใจในกันและกัน ด้วยการสนับสนุนของญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ญาติสนิทมิตรสหายทุกๆ ฝ่าย ต่างก็เห็นดีด้วย ในเวลานั้นเหมือนกับว่า ต่างคนต่างก็มาเติมส่วนที่ขาดไปให้เต็มแก่กันและกัน ณภาต้องการผู้นำที่เป็นเสาหลักให้กับตัวเธอเองและลูกสาว ส่วนดำรงเองก็ต้องการคนมาดูแลเขาและลูกชายวัยทะโมนอีกสองคน ทั้งสองบ้านที่ต่างบอบช้ำ ต่างก็ต้องการที่พึ่งพิง เพื่อให้ครอบครัวของตนเป็น "ครอบครัว"และเป็น "บ้าน" ที่อบอุ่นอีกครั้ง ที่สุด อณุภา ก็มี “ป๋า” มาเป็นพ่ออีกคนที่รักเธอปานแก้วตาดวงใจ มีพี่ๆ ที่เป็นผู้ชายอีกสองคน ทั้งดรณ์และดรัณ ต่างก็เอ็นดูสาวน้อยตาโต ผู้มีรอยยิ้มอันแสนสดใสคนนี้ เป็นเรื่องจริงที่ว่า ทั้งสองหนุ่มน้อยต่างรักใคร่และเอ็นดูอณุภาราวกับน้องสาวของตนแท้ๆ มาตั้งแต่เกิดแล้ว แล้วต่อมาในปีที่สิบสองของการจากพรากผู้เป็นบิดาไป ครอบครัวใหญ่ ครอบครัวใหม่ของอณุภานี้ ก็มี “พัธนดนย์” ลูกชายคนสุดท้องของบ้าน ที่ถือกำเนิดมาเพื่อผูกสายใยของครอบครัวนี้แน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นครอบครัวใหญ่ ที่มีทั้งลูกชายลูกสาว ที่เป็นลูกเธอ ลูกฉันและลูกของเราพร้อมพรั่ง เวลาหลังจากนั้น อณุภาจึงเติบโตมาอย่างเป็นสุขและอบอุ่นท่ามกลางครอบครัวใหญ่นี้... มาบัดนี้ ยี่สิบกว่าปีกับความโศกเศร้าถึงอนันต์ พ่อผู้ให้กำเนิดจะจางลงไปบ้างแล้ว แต่ท่ามกลางความสุขที่เพียบพร้อมนั้น ลึกๆ แล้วอณุภายังมีความอาลัยรักพ่อท่วมท้น เธอจึงถือเอาการเฝ้ามองฟ้าและดาวในบางเวลาเป็นเรื่องจำเป็นในชีวิต ซึ่งนอกจากมองด้วยความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยมีนับแต่ยังเด็กแล้ว เวลานี้ เธอยังบอกความอาลัยรักผ่านฟ้าและดาวไปถึง “พ่อ” ผู้ให้กำเนิด ผู้ชายคนเดียวที่เธอแสนรักและเทิดทูนทุกคราไปด้วย คืนนี้ก็เช่นกัน... ขณะนี้ ทุกคนบนรถต่างก็อยู่ในห้วงนิทรารมณ์ แต่ท่ามกลางแสงดาวที่กะพริบวิบวาวดารดาษเต็มผืนฟ้านั้น อณุภากลับลืมตาตื่นขึ้นและเพ่งตามองผืนฟ้านั้นอย่างยาวนาน.. ...คิดถึงพ่อเหลือเกิน... หญิงสาวปิดเปลือกตาลง เธอรู้สึกถึงขนตายาวงอนกำลังเปียกชื้น และเมื่อเธอเอาฝ่ามือทาบตรงที่หัวใจของตัวเองแล้วก็สัมผัสได้ว่า มันกำลังเต้นเบาๆ ...ตุบๆ ...ตุบๆ เธอรู้... พ่อยังอยู่ในนี้และยังอยู่บนฟากฟ้าโน้นด้วยอย่างที่สัญญาไว้ก่อนจากกันชั่วนิรันดร์ว่า ...จะอยู่บนโน้นก็เพื่อเฝ้ามองลูกสาวคนเดียวอยู่เสมอ ทว่า บัดนี้เธอยังรู้อีกด้วยว่า ฟ้าผืนเดียวกันนี้มันกำลังเก็บงำเอาความลับบางอย่างของเธอไว้อีกด้วย อณุภาหวังว่าสักวัน... ตราบใดที่หัวใจของเธอยังเต้นอยู่ เธอคงได้รู้ ... สักวัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD