เสียงแป้นพิมพ์ดังต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง ในที่สุดก็หยุดลง ผมยืดสองแขนบิดขี้เกียจ ใช้มือนวดต้นคอเบาๆที่เกิดจากความเมื่อยล้า รายงานครั้งก่อนที่ได้มา ผมเริ่มลงมือทำบ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหนังสือที่หามาได้จะมีข้อมูลไม่เพียงพอ พรุ่งนี้คงต้องไปหาอีกครั้งพร้อมกับเอาหนังสือที่ยืมมาก่อนหน้านี้ไปคืนด้วย
พูดถึงหนังสือก็พาลนึกไปถึงข่าวในทีวีแล้วก็เนื้อหาในหนังสือ หลายครั้งที่ผมแอบคิดว่าที่คนกลายเป็นหินนั้นเป็นฝีมือของบาซิลิสก์ สัตว์ในตำนาน คิดมากถึงขนาดเก็บไปฝัน แต่ช่างเป็นฝันที่สมจริงเหลือเกิน
ในฝันผมฝันว่าตัวเองจ้องตากับงูตัวใหญ่ยักษ์ ดวงตาของอสรพิษที่แสนโหดร้ายมันช่างน่ากลัวเกินกว่าจะหาอะไรเปรียบได้
“พอๆ เลิกคิด” ใช้กำปั้นทุบที่ข้างขมับตัวเองเบาๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านไปกันใหญ่
ผมลุกออกจากโต๊ะเขียนหนังสือ เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ วันนี้ดาวเสาร์ไม่อยู่ไปนอนห้องเพื่อนที่อยู่อีกตึกหนึ่ง ผมเลยไม่ต้องเอาเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำอย่างที่ผ่านมา
เสื้อหลุดออกจากกาย ผมยืนมองตัวเองในกระจกเงา สิ่งที่สะดุดตาคือรอยปานที่หน้าอกข้างซ้าย ปานที่ผมไม่ยอมให้ใครเห็นนอกจากพ่อและพี่ยอร์ช
มันแปลกเกินไปที่จะให้ใครมารู้ว่าผมมีปานรูปงูอยู่ที่อกข้างซ้ายแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ว่ามันติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผมคงคิดว่าตัวเองละเมอไปสักมา เพราะรูปร่างและลวดลายที่ทำให้เห็นเด่นชัดว่าเป็นงูที่ขดตัวเป็นวงกลม คงไม่มีใครเชื่อแน่ๆว่าเป็นปาน หรือถ้ามีคนเชื่อ คนพวกนั้นก็จะบอกว่ามันเป็นอาถรรพ์ที่ติดตัวผมมาเหมือนที่มีหมอดูเคยทักตอนเป็นเด็ก แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร เพิ่งจะมารู้สึกแปลกก็ช่วงนี้
ดูไม่น่าจะเป็นเรื่องปกติที่จะมีปานรูปร่างแบบนี้ บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกกลัวตัวเองจับใจ
ได้แต่ปลอบตัวเองว่ามันไม่มีอะไร
ก็แค่...ปาน เท่านั้นเอง
คืนนั้นผมเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะรู้สึกเหมือนจะไม่สบายเพราะโดนฝนเมื่อช่วงบ่าย พอหาข้าวหายากินเรียบร้อย ก็ล้มตัวลงนอน พักการอ่านหนังสือเตรียมเรียนล่วงหน้าเอาไว้ก่อน อากาศเย็นจัดเพราะฝนที่ตกต่อเนื่องตลอดทั้งบ่าย บวกกับวันนี้มีเมฆมากเป็นพิเศษ จึงทำให้อากาศไม่ร้อน ผมเลยตัดสินใจไม่เปิดแอร์ แต่เปิดหน้าต่างที่อยู่ตรงตำแหน่งหัวเตียงเอาไว้แทน และไม่ต้องกลัวว่ายุงจะเข้า เวลาลมพัดเข้ามาจะผ่านที่หัวกับหน้าทำให้นอนหลับสบาย
ก่อนนอนผมไม่ลืมโทรหาพ่อและพี่ยอร์ชอย่างที่ทำทุกวัน ทั้งคู่ยังกำชับให้ผมดูแลตัวเองให้ดี เข้าหน้าฝนแล้ว จะป่วยเอาได้ง่ายๆ
ด้วยฤทธิ์ยาทำให้โยชิหลับลึกกว่าปกติ ลึกจนถึงขนาดที่ไม่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเลื้อยผ่านร่างเล็กของโยชิไป ดวงตาสีทองวาวโรจน์ท่ามกลางความมืด ส่วนหัวชูชันตั้งขึ้นหันหน้าไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังนอนหลับอย่างเป็นสุข
ซี่ๆๆ~
ลิ้นสองแฉกแลบโผล่ออกมา เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลามความเงียบเหมือนต้องการจะเอ่ยบางสิ่งบางอย่าง น่าเสียดายที่โยชิหลับไปแล้ว จึงไม่อาจเข้าใจได้
ลำตัวยาวใหญ่เลื้อยคลอเคลียร่างของเด็กหนุ่มอย่างนุ่มนวลชวนเอาอกเอาใจ ยิ่งเป็นการขับกล่อมให้นอนหลับสบายมากขึ้น โยชิกระถดตัวเข้าหาความความอบอุ่นที่โอบรัดเอาไว้ทั้งตัวอย่างเผลอไผล
ความอบอุ่นและสัมผัส
ราวกับคุ้นเคยมานานแสนนาน...
จิ๊บๆๆ
เสียงนกร้องข้างหน้าต่างปลุกให้ผมที่กำลังหลับอย่างสบายอารมณ์ตื่นขึ้น หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อาการร้อนๆหนาวๆที่รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ก็หายไป
“หาววว” ผมหาวพร้อมบิดตัวน้อยๆก่อนที่ทั้งตัวจะนิ่งค้าง เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปอย่าง
แล้วผมลืมอะไรละ...
ช่างเถอะ นึกไม่ออกก็ช่างมัน
สลัดผ้าห่มออกจากตัวได้ก็พับไว้ที่ปลายเตียงอย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินผิวปากเข้าห้องน้ำ เช้านี้ผมนัดกับเพื่อนที่โรงอาหารเพื่อกินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากัน
“มีอะไรดีๆหรือไงโยชิ หน้าตาอิ่มเอิบมาเชียว” สาวสวยประจำกลุ่มทัก พลางจับหน้าผมหันไปมาและใช้ดวงตากลมโตส่องสำรวจ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เมื่อคืนหลับสบายมากๆก็เท่านั้นเอง” ผมบอก แต่นิกกี้ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ทำท่าจะถามต่อแต่โดนเติร์ดชวนไปซื้อข้าว ปล่อยให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะ จนกระทั่งกลับมา นิกกี้ก็ยังไม่เลิกจ้องผม
“อะไรของพวกแกวะ กินข้าวดิ” ผมปัดมือไปมาตรงหน้าไล่เพื่อน
“แกบอกฉันมาดีๆว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนแกไปนอนกับใครมา” นิกกี้ยังคงคาดคั้น ว่าแต่เมื่อกี้หมายความว่ายังไง ไปนอนกับใครคืออะไร ผมงง?
“อะไรวะนิกกี้” เติร์ดถามด้วยความสนใจ พลางสำรวจผมอย่างที่นิกกี้ทำ จนผมเริ่มรำคาญ อะไรของพวกมันกันวะ ผมก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติสักหน่อย วันนี้ผมโคตรจะโอเคเลยล่ะ
“แกจะเล่าให้ฉันฟังดีๆหรือจะให้ฉันไปสืบเอง” นิกกี้คาดคั้นผม จนผมแทบอยากจะเอาเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก แค่ผมนอนเร็วตื่นเช้าแล้วรู้สึกสดชื่นหน้าตาสดใส มันเป็นที่ผิดสังเกตขนาดนี้เลยหรือยังไงนะ!
“อะไรนิกกี้ พูดเรื่องอะไรเนี่ย ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ” เริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงแล้วเป็นผมหรือนิกกี้กันแน่ที่ไม่ปกติ
“อย่ามาทำอารมณ์เสียนะโยชิ ถ้าไม่มีอะไรแล้วไอ้รอยจูบที่คอมันหมายความว่าไง”
หืม???
ระ รอยอะไรนะ
“ไหนวะ” เติร์ดกระชากคอผมไปดูใกล้ๆ ก่อนจะทำตาวิบวับ ผมดึงตัวเองกลับเต็มที่ ยกมือคลำที่คอตัวเองหน้าตื่น
“ระ รอยอะไร ไม่มี!”
ผมนอนคนเดียว แฟนก็ไม่มี มันจะไปมีรอยจูบได้ยังไง พวกนี้ตาฝาดไปแน่ๆ หรือไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นรอยแมลงกัดก็ได้ เพราะเมื่อคืนผมเปิดหน้าต่างนอน แต่ถ้าโดนแมลงกัดทำไมถึงไม่รู้สึกคันนะ?
“จะไม่มีได้ยังไง” นิกกี้ทำหน้าขัดใจ มือเรียวบางล้วงหาของในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบกระจกขนาดกลางออกมาพร้อมส่องมาที่ผม
“อ่ะ ดูซะ!”
ผมจิ๊ปากเบาๆ ยกน้ำขึ้นดื่มและเงยหน้าขึ้นมองกระจก แต่พอได้เห็น ‘รอยจูบ’ ที่นิกกี้ว่ากับตา...
พรวดดดดดดด!! ผมสำลักน้ำอย่างแรง
นี่มันรอยอะไร แล้วเกิดขึ้นได้ยังไง?
เมื่อคืนผมนอนอยู่ในห้องคนเดียวและดาวเสาร์ก็ไม่ได้กลับเข้าห้องมาอย่างแน่นอนเพราะผมลงกลอนตัวยูด้านในเอาไว้ ไม่มีทางที่ดาวเสาร์จะเข้าห้องมาได้โดยไม่เรียกให้ผมไปเปิดประตู
ผมเม้มปากแน่น คิ้วขมวดเข้าหากัน คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าได้รอยนี้มาตอนไหน
“ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าไปแอบกิ๊กกั๊กกับใครไว้แล้วไม่บอกเพื่อน” นิกกี้พยายามคาดคั้นเอาความจริง แต่ความจริงก็คือ ผมไม่ได้ไปนอนกับใคร!
“ไม่มีจริงๆนะเว้ย ฉันไม่รู้ว่าไอ้รอยบ้านี้มาอยู่บนคอฉันได้ยังไง” พยายามจะพูดให้เพื่อนเลิกเข้าใจผิด แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ นิกกี้หรี่ตาจ้องผมเขม็ง ส่วนไอ้เติร์ดยักไหล่แต่ก็มองผมไม่วางตาเช่นกัน
ถึงผมจะไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่ก็พอจะรู้ว่าไอ้รอยแบบนี้มันเกิดจากอะไร เพราะเพื่อนเคยเอามาอวดตอนที่แฟนสาวสุดที่รักมันทำให้ เหมือนกันไม่มีผิด
“เอาเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ตามใจ พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน” เติร์ดมันคงรู้ว่าผมลำบากใจ เลยไม่คิดจะคาดคั้น นิกกี้ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาความอะไรต่อ ผมถอนหายใจเบาๆ บอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ หลักฐานคาตาซะขนาดนี้ ผมมองรอยที่สะท้อนในกระจกอีกครั้ง
เกิดขึ้นได้ยังไง?
หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่มีใครสนใจเรื่องรอยที่คอของผมอีก แต่ผมก็เอาแต่นั่งคิดทั้งวันว่ารอยจูบที่คอเกิดขึ้นได้ยังไง มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ในห้องก็ไม่มีใคร ผมคงไม่บ้าละเมอขึ้นมาดูดคอตัวเอง เพราะความจริงมันก็ทำไม่ได้ คอผมไม่ใช่ยีราฟนะ ที่จะได้วกหัวกลับมาหาคอได้ง่ายๆน่ะ
“หวังว่าวันนี้ฝนจะไม่ตกลงมาอีกนะ เมื่อคืนแม่งหนาวฉิบหาย” เติร์ดเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มจะครึ้มมาแต่ไกล
“ไม่เห็นจะหนาวเลย อุ่นจะตาย” ผมแย้ง เมื่อคืนเป็นคืนที่ผมนอนหลับสบายที่สุดเท่าที่ย้ายมานอนที่หอมหาวิทยาลัย
“อบอุ่นตรงไหนวะ ขนาดฉันนอนไม่เปิดแอร์ยังต้องคลุมโปงเลย”
ก็อุ่นจริงๆนี่นา อุ่นเหมือนอ้อมกอดของพ่อและพี่ยอร์ชเลย
หลังเลิกเรียนผมแยกกับเพื่อนไปที่ห้องสมุดคนเดียว เพราะนิกกี้ต้องกลับบ้าน ส่วนเติร์ดเห็นว่ามีนัดกับสาว ผมได้แต่ขำในความกระล่อนของเพื่อน ที่เปิดเรียนไม่กี่วันก็ตามจีบสาวติดเสียแล้ว
ช่วงเปิดเทอมใหม่ๆหอสมุดยังคงเงียบเพราะไม่ค่อยมีคนมาใช้ เหมาะแก่การอ่านหนังสือมากกว่าช่วงสอบที่มีนักศึกษาแห่กันเข้ามาใช้บริการอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเสียอีก และอย่าเพิ่งหลงผิดว่าผมขยันเสียหนักหนา ก็แค่ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองว่าง บวกกับ...หวังอะไรลมๆแล้งๆนิดหน่อย
ผมเดินไล่หาหนังสือไปเรื่อยๆ ได้มาหลายเล่มก็ขนเอาไปวางไว้ที่โต๊ะก่อนจะกลับไปหาอีก เพราะบางเล่มก็มีเนื้อหาอยู่ไม่กี่หน้า เลยต้องหาดูหลายๆเล่ม เล่มไหนที่เนื้อหาไม่เยอะก็ไม่จำเป็นต้องยืม แค่เอาไปถ่ายเอกสารหน้าที่ต้องการใช้ก็พอ ยืมไปก็จะเสียแรงขนเปล่าๆ
“สนใจเรื่องงูเหรอ” เสียงกระซิบข้างใบหูทำให้ผมสะดุ้ง
น้ำเสียงแบบนี้ผมจำได้ขึ้นใจ อดดีใจแล้วก็ตื่นเต้นไม่ได้ ไม่รู้ตัวเลยว่าริมฝีปากผมแย้มยิ้มบางๆ
“อาซา”
“ดีใจที่นายจำฉันได้” มือขาวซีดเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนาในมือของผมมาถือแล้วเปิดดูทีละหน้า ในขณะที่ผมยังยืนแข็งเป็นก้อนหิน กว่าจะตั้งสติได้ก็ตอนที่เสียงที่ติดจะเย็นชาเอ่ยเรียกผม
“ว่าไง ฉันถามว่าสนใจเหรอ” อาซาเงยหน้าจากหนังสือขึ้นสบตาผม
“เปล่าหรอก ผมต้องทำรายงานเรื่องนี้น่ะ” ผมตอบอย่างเคอะเขิน กี่ครั้งๆก็ไม่ชินสักทีที่ต้องอยู่ใกล้อาซาแบบนี้ และผมคงทำอะไรเปิ่นๆออกไป เขาถึงได้กระตุกยิ้มมุมปากคล้ายกับจะหัวเราะ แต่ให้ตายเถอะ มันทำให้เขาดูดีมากๆ
“งั้นเหรอ ฉันช่วยนายได้นะ”
“ช่วยทำรายงานนะเหรอ?”
“อืม เรื่องของงู ฉันรู้ดีเลยล่ะ”
“จริงเหรอ” เผลอกระโดดเกาะแขนอาซาอย่างลืมตัวด้วยความดีใจ
“คุณช่วยผมได้จริงเหรอ”
“อืม จริงสิ” อาซาเดินออกจากซอกหนังสือไปที่โต๊ะที่ผมนั่งก่อนหน้า ผมเอียงคอมองอาซาที่เดินมาถูกโต๊ะด้วยความสงสัย ทำไมเขาถึงรู้ว่าผมนั่งอยู่โต๊ะนี้
ผมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ เปิดหนังสือเพื่อเริ่มทำรายงานโดยมีอาซาคอยพูดเล่าเรื่องต่างๆเกี่ยวกับงูให้ฟัง ผมรู้สึกทึ่งที่อาซาสามารถบรรยายได้ว่าเวลาไหนงูจะรู้สึกยังไง ชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร เขารู้ทุกอย่าง ราวกับว่าเขาเป็นแบบนั้นเอง ต้องยอมรับว่าอาซาช่วยได้เยอะมาก ข้อมูลหลายอย่างก็ไม่มีในหนังสือ เหมือนได้ศึกษาชีวิตงูจริงๆประมาณนั้น
“นี่ รู้ไหมว่างูมันหวงคู่ของมันมาก” อาซาว่า สายตาจ้องผมอย่างมีความหมาย แต่เป็นความหมายที่ผมตีความไม่ออก แต่เชื่อไหมรอยยิ้มนิดๆที่ปรากฏให้เห็นทำเอาผมใจกระตุกวูบ
“งะ งั้นเหรอ” ผมเสมองไปทางอื่น รู้สึกขัดเขินกับสายตาหวานเชื่อมนั่น ต้องโทษอาซานั่นแหละที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง
“มันจะทำร้ายทุกคนที่เข้าใกล้คู่ของมัน” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของอาซาดูจริงจังจนผมต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อก
“ดูน่ากลัวนะ” ผมยิ้มแหยะๆ
“ไม่หรอก เพราะมันรักคู่ของมันมาก ถึงได้ไม่อยากให้ใครเขาใกล้ เพราะรักมากก็เลยหวงมาก”
ผมได้แต่นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ประโยคเมื่อกี้เหมือนอาซาจะบอกกับผมโดยตรง อาซาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในเขาวงกต ทั้งลึกลับและซับซ้อน น่าค้นหาในบางที แต่พอเข้าใกล้มากก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล
อาซาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ช่วยงานจนเกือบเสร็จ
“ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไง ไว้คราวหน้าผมขอเลี้ยงข้าวได้ไหมครับ” เพราะผมแทบไม่ต้องเสียเวลากรองข้อมูลจากหนังสือกองโตเลยด้วยซ้ำว่าใช้ได้หรือไม่ได้ ประหยัดเวลาและพลังงานไปได้เยอะ
นี่ยังแอบสงสัยเลยว่าอาซากินหนังสือเข้าไปทั้งเล่มหรือเปล่า ถึงท่องจำได้มากขนาดนี้
“เอาอย่างนั้นก็ได้” อาซายืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองผมเก็บของไปเรื่อยๆ
“คุณ...”
“ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกฉันว่าอาซาเถอะ”
“เอ่อ ไม่ดีหรอกมั้งครับ”
“อาซา” เขาพูดเสียงนิ่ง สีหน้าราบเรียบไม่สื่ออารมณ์ใดๆ แต่ผมรู้สึกได้ว่าอากาศเย็นขึ้น มองออกไปที่หน้าต่างหอสมุด ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนถูกทาสีดำเอาไว้ ถ้าไม่รีบกลับฝนต้องตกแน่ๆ
“คุณ เอ่อ..อาซา” ผมรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกเมื่อเจอสายตาดุๆของอาซา
“เป็นวันไหนดีครับ” ถามกล้าๆกลัวๆ ตาเขาดุมากเลยอ่ะ ผมกลัวนะ
“พรุ่งนี้แล้วกัน เลิกเรียนกี่โมง”
“บ่ายสามครึ่งครับ”
“งั้นบ่ายสามครึ่งฉันจะไปรับที่หน้าคณะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวฝนตก”
หนังสือที่ไม่ใช้แล้วถูกอาซาหอบใส่อ้อมแขนก่อนที่ผมจะคว้าไว้ เขาแวะเดินเอาไปวางไว้ที่รถเข็นสำหรับวางหนังสือ ผมได้แต่เดินตามหลังอาซาไปเงียบๆ สายตาจับจ้องที่แผ่นหลังกว้างพลางคิดไปว่า ถ้าได้โอบกอดแผ่นหลังนี้สักครั้งจะเป็นยังไงนะ
บ้าอีกแล้วสิผม!
ถ้าพ่อกับพี่ยอร์ชรู้ว่าผมมีความคิดบ้าๆพวกนี้จะต้องถูกดุแน่ สาบานได้เลยว่าผมไม่ได้อยากทำตัวใจแตกเอาแต่คิดถึงผู้ชายแบบนี้ ผู้ชายตรงหน้าผมเขามีพลังดึงดูดบางอย่างในตัวผมจริงๆ
“ลานะครับ”
“อืม...” เขาหมุนกายมองผม สีหน้ามีแววครุ่นคิด ผมเลิกคิ้วเป็นการถามเขากลายๆ
“ฉันขออะไรอีกสองอย่างได้ไหม”
“อ่า...ได้สิ” ถ้าเป็นเขา ขออะไรผมก็ให้ได้ทั้งนั้นแหละ
เอ๊ะ...? นี่ผมคิดอะไรออกไปวะ
“อย่างแรก” เขาเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ย่นระยะห่างระหว่างเราให้เหลือเพียงแค่ก้าวเดียว ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ผมกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติก่อนจะสะดุ้งเมื่อนิ้วมือเย็นจัดเหมือนน้ำแข็งของเขาแตะที่ต้นคอผม ตรงตำแหน่งที่ผมจำได้ว่ามีรอยจูบ
ขะ เขาคงไม่ได้คิดว่าผมไปนอนกับใครมาเหมือนที่นิกกี้กับเติร์ดคิดหรอกนะ
“ไม่ต้องพูดภาษาสุภาพกับฉันขนาดนั้นก็ได้ มันเหินห่างเกินไป ฉันไม่ชอบ พูดกับฉันเหมือนที่นายพูดกับเพื่อนสิ ฉันชอบแบบนั้นมากกว่า” เหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจรอยที่คอผมเท่าไหร่ เพราะเขามองแค่หน้าผมเท่านั้น
“เอ่อ...ก็ได้” ก็ผมเพิ่งเจอเขานี่หน่า แถมเขายังเป็นรุ่นพี่ด้วย นี่ถ้าพูดเป็นภาษาไทย ผมคงเรียกเขาว่าพี่ไปแล้ว
“และอย่างที่สอง”
ผมกระพริบตาปริบๆมองสบตาเขาเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็น
“นายมีกลิ่นสัตว์สี่เท้าติดตัว อยู่ให้ห่างรูมเมตของนาย อย่าสนิทกับมันก็จะยิ่งดี”
“หืม? อะไรนะ” อะไรคือสัตว์สี่เท้า แล้วเกี่ยวอะไรกับดาวเสาร์
“เข้าใจไหม?” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความจริงจังที่ผมต้องทำตาม
“เข้าใจครับ” พอผมทำตัวว่าง่าย เขาก็ยิ้มหล่อใส่ผม หัวใจผมเต้นแรงขึ้นทันที
“So good my boy”
เขาเป็นตัวอันตรายแบบที่นิกกี้บอกจริงๆด้วย...เขาอันตรายต่อหัวใจผมมาก
ASA
ภายในบ้านหลังโตที่เงียบสนิท คนทั้งห้าคนรวมทั้งผมกำลังนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ในห้องนั่งเล่น ข่าวในโทรทัศน์เพิ่งจะจบลงเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา ความเคร่งเครียดเป็นกังวลฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเราทุกคน
มันเกิดขึ้นอีกแล้ว และคราวนี้ดูเหมือนจะหนักหนากว่าทุกที เพียงแค่ข้ามคืนเดียว กลับมีคนกลายเป็นหินเพิ่มขึ้นอีกหกคน
“ถ้าพวกเราไม่ทำอะไรสักอย่าง พวกเราจะต้องโดนพวกอื่นเล่นงานแน่” ในที่สุดฟรินน์ก็เป็นคนทำลายความเงียบที่ก่อตัวขึ้น และมันก็เป็นสิ่งที่พวกเราคิดเห็นตรงกัน
“ตอนนี้พวกเจอร์โรมก็จ้องเล่นงานเราอยู่แล้ว โดยเฉพาะนายอาซา เพียงแต่มันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ” เวสตันพูดหน้าเครียด พวกเราทุกคนในที่นี้ไม่มีใครไม่เครียด แม้แต่ผมเอง เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น ใครๆก็จับตามองเราทั้งนั้น แม้ว่าคนที่ทำจะไม่ใช่ลูกน้องเราอย่างแน่นอน ผมมั่นใจ
“ฉันว่าเราต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะก่อนที่เรื่องจะบานปลาย” ปารีสแฟนของเวสตันว่า เธอนั่งอยู่บนพนักแขนโซฟาข้างเวสตันที่บีบมืออย่างให้กำลังใจ ผมถอนหายใจก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแก้เครียดพลางคิดถึงทางแก้ปัญหา
“อาซา...ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้สูบบุหรี่น่ะ มันไม่ดีต่อร่างกาย”
“...”ผมไม่สนใจจูเลียตเพื่อนของปารีสที่เอ่ยห้ามผมทุกครั้ง ทุกคนในที่นี้รู้ดีว่า ผมหัวรั้นเกินกว่าที่ใครจะออกคำสั่งด้วยได้
“เธอก็เลิกบ่นมันสักทีเถอะ พูดเป็นล้านรอบมันก็ไม่เลิกหรอก”
“หุบปากไปเลยฟรินน์ นายก็อีกคน สักวันจะเป็นมะเร็งตาย ถึงเราจะไม่ใช่คนปกติธรรมดา แต่ของไม่ดีก็คือไม่ดี”
“เงียบเถอะจูเลียต ไอ้อาซามันรำคาญล่ะ”
ผมหัวเราะในลำคอ นับว่าเวสตันเดาใจผมได้ถูก ผมรำคาญจริงๆนั่นแหละ ก็เสียงจูเลียตแหลมจนแสบแก้วหู ผมชอบเสียงนุ่มๆเย็นๆมากกว่า
เฮ้อ...ผมคิดถึงเขาอีกแล้ว
ปิ๊บๆๆๆ
“เฮ้...เกิดเรื่องแล้ว!!!” ฟรินน์เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์หน้าตาตื่น
“อะไร” ปารีสถาม ฟรินน์ไม่ตอบ มันยื่นโทรศัพท์ส่งให้เวสตันและปารีสดู ก่อนที่ทั้งคู่จะหน้าซีด ผมสูบบุหรี่เข้าปอดทีเดียวจนหมดมวนก่อนจะรับโทรศัพท์จากมือสีขาวซีดขึ้นลายสีแดงราวอัญมณีมาดู ทันทีที่เห็นรูปที่ถูกส่งมา ร่างทั้งร่างก็เย็นวาบ
“เราต้องออกไปล่ามัน ก่อนที่มันจะทำให้พวกอื่นมาล่าเรา”