S.E.C.R.E.T - PROLOGUE
I have died everyday waiting for you
Darling don’t be afraid I have loved you
For a thousand years
I love you for a thousand more
And all along I believed I would find you
Time has brought your heart to me
I have loved you for a thousand years
I love you for a thousand more
‘แปะๆๆ!’
เสียง...ฝนอย่างนั้นเหรอ?
‘ซ่า!!!’
เสียงฝนที่อยู่ๆก็ตกซู่ลงมาทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่แท้ๆ แจ่มใสชนิดที่เรียกได้ว่าแดดเปรี้ยง แต่เพียงแค่ไม่กี่นาที ไม่สิ ไม่กี่วินาทีฝนกลับตกลงมาเสียอย่างนั้น โลกเราทุกวันนี้เป็นอะไรไปหมดแล้ว
‘เปรี้ยง!’ เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจากด้านนอก ผมมองไปยังหน้าต่าง แต่น่าแปลก ปกติหน้าต่างบานนี้ไม่เคยเปิดไว้ แต่ทำไม...หน้าต่างถึงได้เปิดอยู่ ผมรีบเดินไปเพื่อหวังจะปิดมัน เม็ดฝนจากด้านนอกสาดกระเซ็นเข้ามาทำให้พื้นด้างล่างเปียกชื้น แต่พอเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็ต้องตาค้าง
งู!!!
ผมรีบกระชากหน้าต่างปิดทันที ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวไปนั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น ยกมือลูบอกตัวเองเพราะความหวาดกลัว ตำแหน่งของหน้าต่างบานนั้นตรงกับต้นไม้ใหญ่ซึ่งไม่รู้ว่าต้นอะไร เพราะตอนที่ย้ายบ้านมาใหม่มันก็ยืนต้นสูงใหญ่แบบนั้นอยู่แล้ว
แต่เมื่อกี้...บนต้นไม้นั่นกลับมีงูหลายตัวเลื้อยพันตามกิ่งก้าน เพราะเป็นชั้นสองจึงมองเห็นได้ชัด ก็ความสูงของต้นไม้กับบ้านสองชั้นมันเท่ากันเลยน่ะสิ เพราะอย่างนี้พ่อจึงไม่เคยเปิดหน้าต่างบานนี้เลยเพราะมันอยู่ใกล้กับต้นไม้มากที่สุด และก็มักมีงูมาเลื้อยพันอยู่บนคบคากิ่งไม้บ่อยครั้ง ไอ้ครั้นจะตัดต้นไม้ก็มีคนมาทักว่าต้นไม้ต้นนี้มีเจ้าที่ ห้ามตัดเด็ดขาด แต่ยังโชคดีที่งูไม่เคยย่างกายเข้ามาในบ้านเลย
หวีดดด
กึก! ปึง!
“เฮ้ย!” ผมอุทานตกใจดังลั่น สะดุ้งจนตัวโยน หันไปมองต้นเสียง หน้าต่างบานนั้นมันเปิดออกอีกแล้ว คงเป็นเพราะลมแน่ๆ เสียงหวีดหวิวของลมดังน่ากลัวมากจนเรียกได้ว่าสยอง ทั้งๆที่เป็นตอนกลางวัน แต่ทำไมท้องฟ้าถึงได้มืดราวกับเป็นตอนกลางคืน ก้อนเมฆเป็นสีดำทะมึนชวนให้นึกถึงบรรยากาศในหนังแนวทริลเลอร์ที่ผมชอบดู
ผมไม่อยากจะเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างบานนั้นอีก สักนิดก็ไม่อยาก แต่ถ้าผมไม่เดินไปปิดมันอีกรอบให้สนิท ดีไม่ดีงูพวกนั้นอาจจะเลื้อยเข้ามาในบ้าน และนั่นคงถึงกาลอวสารชีวิตผม แต่พอผมเดินไปอยู่ตรงหน้าต่างบานนั้น มือคว้าออกไปจับที่จับหน้าต่าง เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้เห็น งูตัวหนึ่งจ้องมองมาที่ผม แม้จะมีเม็ดฝนบดบังแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นในแววตานั้นได้เป็นอย่างดี ทำไมกัน
ปัง!
หน้าต่างปิดงับอย่างแรงเพราะถูกกระชากด้วยมือของผม
บางทีผมอาจจะกลัวงูเข้าขั้นจิตตก งูเป็นสัตว์อันดับหนึ่งที่ผมเกลียดและกลัวมากที่สุด แค่เห็นในภาพยังขนลุกชูชัน ไม่กล้าที่จะมองแม้เพียงหางตา ไม่ต้องบอกเลยว่าการได้สบตางูจังๆแบบนั้นมันจะทำให้ผมรู้สึกอย่างไร
ขยะแขยงจนขนลุกชูชัน!
บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด ไฟที่เคยสว่างโล่ในบ้านอยู่ดีๆก็หรี่ลงเหลือเพียงไฟสลัวๆเท่านั้น เป็นอะไรอีกเนี่ย หรือว่าหลอดไฟจะเสีย พ่อกับพี่ยอร์ชไม่อยู่บ้านเสียด้วย และผมก็ถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ข้องเกี่ยวกับไฟ เพราะเคยถูกไฟดูดมาก่อน คงต้องรอให้พ่อกลับมาเปลี่ยนเท่านั้น วันนี้พ่อกับพี่ยอร์ชออกไปส่งสินค้าในตัวเมืองด้วย คงอีกสักพักเลยกว่าจะกลับ คงทำได้แค่รอ
‘ปิ๊บ!’ ผมหยิบรีโมตทีวีขึ้นมาเปิดดูเป็นการฆ่าเวลาและเพื่อไม่ให้บ้านเงียบเหงาจนเกินไป
“เหตุการณ์น่าสะพรึงได้เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อช่วงเวลาตีสองกว่าๆของคืนที่ผ่านได้ ได้มีผู้พบศพหญิงสาวที่ลำตัวมีรอยเขียวช้ำเหมือนถูกรัด แต่ที่น่าตกใจหลังจากที่ได้พิสูจน์ศพคือกระดูกของเธอป่นละเอียดไม่มีชิ้นดี ซึ่งทางแพทย์ได้สันนิษฐานว่าสภาพศพแบบนี้เหมือนถูกงูรัด แต่ยังไม่มี...”
ปิ๊บ!!!
งูอีกแล้ว!
ไม่สิ ต้องพูดว่ามีคนตายอีกแล้ว
ในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวคนตายแบบแปลกๆติดต่อกันทุกวัน ทำให้ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านตอนกลางคืนหรือไปไหนมาไหนคนเดียว ยังไม่พอ ยังมีข่าวแปลกๆอย่างเช่นพบรูปปั้นคนที่มีท่าทางเหมือนตกใจอย่างสุดขีดหรือไม่ก็เหมือนกับกำลังหวาดกลัวต่ออะไรบางอย่าง ถ้าไม่ติดว่าตำนานเมดูซ่าเป็นแค่นิยายปรำปราของกรีก ไม่แน่ว่าผมอาจจะเชื่อก็ได้ว่านี่เป็นฝีมือของเมดูซ่า
‘ซีดดดดดดดด’
“...!!!!”
สะ เสียง...เสียงอะไร!?
ร่างกายเกร็งแข็งฉับพลัน ผมไม่ได้โง่ที่จะเดาไม่ออกว่าเสียงเมื่อกี้มันเป็นเสียงของอะไรถ้าไม่ใช่งู แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเองวิตกกังวลจนประสาทหลอนไปเองหรือเปล่า ไฟที่ริบหรี่อยู่แล้วกลับริบหรี่เข้าไปอีกจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น ความมืดที่ก่อตัวขึ้นทำให้ยิ่งนึกกลัว ถ้าไฟดับจนไม่สามารถมองอะไรได้ เกิดมีงูอยู่ในบ้านผมจะทำยังไง จะระวังตัวยังไงถ้าหากมองไม่เห็น
คงไม่ต้องรอให้พ่อกับพี่ยอร์ชกลับมา ผมก็รีบลุกขึ้นเงยหน้าขึ้นมองหลอดไฟบนหัวก่อนจะตัดสินใจเดินไปหยิบหลอดไฟอันใหม่พร้อมกับลากเก้าอี้มาด้วย เสี่ยงโดนไฟดูดก็ยังดีกว่าโดนงูกัด
เก้าอี้ถูกวางลงในตำแหน่งด้านล่างของหลอดไฟ ผมเงยหน้ามองอีกครั้งก่อนจะเบิกตาโตกว้าง
“เฮ้ย!!!”
งู...!!!
เพล้ง!!!
หลอดไฟตกลงพร้อมกับร่างของผมที่ทรุดลงกระแทกกับพื้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างไม่มีสติ การได้สบตากับงูในระยะไกลยังไม่เท่ากับตอนนี้ ที่งูอยู่ห่างจากหน้าไม่ถึงเมตร งูตัวสีดำมันเลื่อมตัวโตพันขดอยู่บนโคมไฟเหนือหัว
‘ซี้ดดดดดดดด’
หัวใจเต้นแรงอย่างน่ากลัวจนเจ็บร้าวช่วงอก สิ่งที่ฝังลึกในสมองก่อนที่ผมจะสลบไปคือ...แววตาสีทองของงูตัวนั้น แววตาที่จ้องมองนิ่งและความเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจที่ส่งผ่านมาจากดวงตาสีทองคู่นั่น แววตาที่เหมือนจะสะกดทุกอย่างเอาไว้ แต่มันมีบางอย่างผิดแปลกไป
ดวงตาคู่นั้น...เหมือนไม่ใช่ดวงตาของงู
“ไง กลับมาแล้วงั้นเหรอ ฉันคิดว่าคืนนี้แกจะนอนเฝ้าเด็กนั่นเสียอีก” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งรูปร่างดีราวกับนายแบบชั้นแนวหน้าเอ่ยทักบุคคลที่เพิ่งกลับเข้ามาในบ้านพักทั้งๆที่เวลานี้เลยเข้าวันใหม่ไปแล้ว แววตาสีดำสนิทจับจ้องไปที่โทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวคนตายแบบที่รายงานทุกวันในระยะนี้ก่อนจะเลิกให้ความสนใจมันแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาพร้อมกับหลับตาลง
“ทำไมแกไม่เข้าไปหาเด็กนั่นเลยวะ” มือสีขาวซีดแกว่งแก้วไวน์ในมือเบาๆก่อนจะยกขึ้นจิบ
“มันยังไม่ถึงเวลา” เปลือกตาเปิดขึ้นเผยให้เห็นแววตาสีดำน่าหลงใหลที่จับจ้องไปยังเพื่อนที่นั่งอยู่ไม่ห่างกัน
“แล้วเมื่อไหร่วะ ถ้าไม่คิดจะงาบก็ปล่อยๆไปเถอะ แม่งทำตัวเหมือนคนโรคจิต” ชายหนุ่มอีกคนเดินออกมาจากห้องๆหนึ่งเอ่ยขึ้น ผมสีเทาขับให้ใบหน้าของเขาดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตาคู่สวยสีเทาเป็นประกาย ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“รอมานานขนาดนี้ แกยังจะปล่อยเขาไปอีกเหรอไง แกทนได้เหรอวะ”
“...” เจ้าของดวงตาสีดำไม่ได้ตอบคำถามใดๆทั้งสิ้น ดวงตาจับจ้องออกไปนอกหน้าต่างที่มีสายฝนโปรยปรายอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะลุกขึ้นเดินขึ้นห้อง ทิ้งให้เพื่อนอีกสองคนมองตามอย่างไม่เข้าใจจิตใจของคนที่เดินจากไป
และคิดว่าคงไม่มีวันเข้าใจด้วย