จังหวะการก้าวเดินของผมผ่อนช้าลงทันทีที่ได้เห็นใครบางคนยืนอยู่หน้าคณะ คนที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาเยือนที่นี่ได้ และดูเหมือนว่าทุกคนกำลังคอยจับตามองว่าใครคือคนที่ชายหนุ่มสุดหล่อของมหาวิทยาลัยกำลังยืนรออยู่
“เขามารอใครวะ” นิกกี้ตั้งข้อสงสัย ผมลอบกลืนน้ำลายลงเอื้อกใหญ่ คนที่อาซามารอจะเป็นใครถ้าไม่ใช่ผม เพียงแต่ผมคาดไม่ถึงว่าเขาจะมารอแบบโจ่งแจ้งด้วยการยืนโดดเด่นอวดความเท่ให้สาวๆมองกันอย่างคลั่งไคล้หลงใหล
โดดเด่นราวกับมีเวทมนต์
“ไง” อาซาเอ่ยทักก่อนทันทีที่ผมเข้าไปใกล้ ผมเลยได้แต่ตอบทักทายอ้อมแอ้ม เพื่อนอีกสองคนมองผมทีมองอาซาทีด้วยความตกใจระคนสงสัย คนแถวๆนั้นก็อ้าปากค้างไปตามๆกัน มันก็น่าจะตกใจอยู่หรอก คนอย่างอาซาควรจะมารอผู้หญิงที่สวยระดับนางงามนางแบบมากกว่าที่จะเป็นผู้ชายหุ่นเรียบเป็นไม้กระดานเรียกพี่อย่างผม
“แกๆ ไอ้โยชิมันไปรู้จักเขาตั้งแต่ตอนไหนวะ” เติร์ดกระซิบถามนิกกี้ที่เบิกตาโตแทบจะถลนออกมาจากเบ้าตา แต่กระซิบซะเหมือนตะโกน มีเหรอที่ผมจะไม่ได้ยิน
“นั่นดิ แล้วทำไมถึงมารอกันได้ล่ะเนี่ย แกรู้ป่ะ” นิกกี้กระซิบกลับ แต่ถ้าจะกระซิบดังขนาดนี้ ก็คุยกันตรงๆเลยเถอะ มันไม่ได้เงียบเลยสักนิด
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า! ก็เห็นอยู่ด้วยกันเนี่ย!” เติร์ดขึ้นเสียงดัง ผมหันกลับไปมองเพื่อน ที่พอเห็นผมมองก็สะดุ้งหัวเราะแหะๆ
“ไปกันหรือยัง” อาซาถามผมก่อนจะหันไปพูดกับนิกกี้และเติร์ด
“ฉันจะพาโยชิไปกินข้าว คงไม่มีปัญหาใช่ไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่งฟังดูแข็งทื่อ ตอนนี้เขาเหมือนคนพูดไม่เก่ง ถ้าให้เดา ผมว่าเขาน่าจะวางตัวไม่เก่งเวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆมากกว่า
“อ่อ โอเค ไม่มีปัญหา” นิกกี้ที่ได้สติก่อนใครเอ่ยอนุญาต เติร์ดก็เลยพยักหน้าตาม
อาซากระตุกยิ้มมุมปาก พาลเอาหลายๆคนที่ได้เห็นถึงกับเข่าอ่อน แทบจะละลายลงไปกับพื้น แล้วนับประสาอะไรกับผมที่ได้เป็นเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นนั่นจะไม่ขาสั่นมือสั่นแทบเป็นล้มทั้งยืน
“ไปกันเถอะ”
ผมค่อยๆก้าวเดินตามอาซาอย่างเงอะๆงะๆไปที่ลานจอดรถของมหาวิทยาลัย อาร์ชยูสร้างตามแบบมหาวิทยาลัยในอเมริกา ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยของไทยที่มีถนนตัดผ่านตรงกลาง หรือพาดผ่านแต่ละคณะ จะเป็นเหมือนโรงเรียนที่มีลานจอดรถแยกด้านหน้า และพื้นที่ข้างในจะเป็นสวน ลานกีฬาเป็นอาคารและทางเดิน ถ้าไม่เดินก็ปั่นจักรยานเอา แต่ขับรถเข้ามาไม่ได้เป็นอันขาด ถนนมีเพียงเส้นเดียวเท่านั้นที่มุ่งหน้าไปทางหอพัก
และการที่ผมได้เดินเคียงข้างอาซา ค่อนข้างเรียกสายตาอยากรู้อยากเห็นจากคนรอบข้างให้หันมาสนใจพวกเรา
น่าอายชะมัด
ผมไม่ได้อายที่จะเดินกับเขา แต่อายที่ตัวเองไม่ดีพอให้เดินคู่กับเขาต่างหาก
ถึงลานจอดรถอาซาก็เปิดประตูให้ผมขึ้นนั่งก่อนจะออกรถ ผมไม่เปิดปากพูดอะไรเพราะมัวแต่เขินและวางตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าป่านนี้คนในคณะจะมองผมยังไงบ้างที่ได้ใกล้ชิดกับคนดังของมหาวิทยาลัยแบบนี้ ไม่อยากจะคิดเท่าไหร่ เรื่องนินทามีในทุกวงสังคมไม่เว้นแม้หญิงหรือชาย
“เป็นอะไร กังวลเหรอ” อาซาหันหน้ามาถาม ผมพยักหน้าเบาๆก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้เขา
“ฉันกังวลนิดหน่อยน่ะ ไม่รู้เพื่อนๆและคนอื่นจะคิดยังไง”
“ใครจะคิดยังไงก็ไม่เห็นจะต้องใส่ใจอะไรเลย ใส่ใจแค่ฉันก็พอ” คำพูดพร้อมสายตาพราวเสน่ห์ทำให้หัวใจผมเต้นแรง ใบหน้าร้อนเห่อจนกลัวว่ามันจะขึ้นสีแดงประจานอาการเขินอาย
จู่ๆอาซาก็ถอนหายใจ ผมหยุดอาการเขินเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น หันมองเสี้ยวหน้าด้วยความเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไร สีหน้าเขาดูเคร่งเครียดกับการจ้องถนน ทั้งๆที่ถนนก็ออกจะโล่ง ไม่มีอะไรน่าเครียดสักนิด
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย”
“แน่ใจนะ ถ้าวันนี้นายไม่สะดวก เราค่อยไปกันวันหลังก็ได้”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก และวันนี้ฉันว่าง”
หมายความว่าวันอื่นเขาไม่ว่างหรือเปล่า แต่เอาเถอะ ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ผมก็เชื่ออย่างนั้น แม้ว่าผมจะเป็นห่วงเขาอยู่ลึกๆก็ตาม
อาซาขับรถมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านอาหารแนวคันทรีอยู่แถบชานเมือง บรรยากาศเย็นย่ำที่ท้องฟ้าทอแสงประกายสีส้มอ่อนๆ บวกกับแสงไฟสีเหลืองนวลที่ประดับอยู่ทั่วบริเวณร้าน ทำให้บรรยากาศยิ่งดูอบอุ่นและโรแมนติกมากยิ่งขึ้น
“ร้านสวยจัง” ผมเอ่ยปากชม สายตากวาดไปรอบๆบริเวณ ยิ่งได้เห็นแบบนี้ยิ่งคิดถึงที่บ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้ผมคงกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนโดยมีพี่ยอร์ชคอยปรามและพ่อคอยดุแบบไม่จริงจัง
อ่า...คิดถึงบ้านจัง
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
เสียงเนิบนาบของอาซาเรียกให้ผมรู้สึกตัว นี่ผมเผลอใจลอยในเวลาที่แสนมีค่าแบบนี้ได้ไงกัน
“คิดถึงที่บ้านน่ะ บ้านฉันเป็นไร่องุ่นนะ แล้วก็เป็นรีสอร์ทเล็กๆด้วย อยู่บนเชิงเขาหน่อย อากาศดีสุดๆ ถ้าปิดเทอมนายไม่ได้ไปไหน ไปเที่ยวที่บ้านฉันได้นะ พ่อกับพี่ชายฉันใจดีมากๆ”
ผมอยากให้ทุกคนได้ไปเที่ยวที่บ้าน เพราะผมภูมิใจมากๆที่ได้อยู่ในสถานที่ที่สวยงามอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ใช่มีแต่ตึกราแน่นเอียดและควันโขมงของรถจนไม่มีอากาศหายใจอย่างในกรุงเทพ ถ้าเพื่อนๆได้ไปเที่ยวที่บ้านของผม ทุกคนจะต้องหลงรัก ไม่เว้นแม้แต่อาซา ผมรับรองได้เลย
นี่ผมเปล่าหาเรื่องชวนเขาเข้าบ้านนะ สาบานได้
“เอาสิ ฉันอยากไป” อาซายิ้มตอบ แต่ผมยิ้มแก้มปริเลย ดีใจที่เขาตอบตกลง
“จริงเหรอ ไปจริงๆนะ นายจะต้องชอบแน่ๆ”
นี่ผมออกนอกหน้าเกินไปไหม แต่ผมดีใจจริงๆนะ ว่าก็ว่าเถอะ ยอมรับเลยว่าผมชอบเขา...ดูจะใจง่ายไปหน่อย แต่มันก็เป็นความจริง
“จริงสิ ฉันอยากไปบ้านนาย”
มื้อค่ำวันนี้ผ่านไปด้วยดี อาซาคอยดูแลผมทุกอย่าง ทำให้ผมรู้สึกสบายใจเหมือนที่ได้อยู่กับคนในครอบครัว บทสนทนาส่วนมากจะเป็นผมที่เป็นคนพูดเสียส่วนใหญ่ ส่วนอาซาก็ทำหน้าที่คนฟังที่ดี มีตอบและซักถามบ้าง แต่เขาพูดมากไม่เท่าผมหรอก
“ฉันเล่าเรื่องของฉันหมดแล้ว นายก็เล่าเรื่องของนายบ้างสิ” ผมที่พูดจ้ออยู่คนเดียวเริ่มเหนื่อย รู้สึกคอแห้งจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม อาซาเห็นแล้วคงเกิดอาการสงสารหรือไม่ก็เวทนา เขาถึงได้เรียกพนักงานเพื่อสั่งน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง ผมทำหน้างอใส่เขาเล็กน้อยที่โดนล้ออ้อมๆ
“ฉันคงพูดมากเกินไปใช่ไหม ถ้ารำคาญก็บอกได้นะ”
“ฉันชอบฟังเสียงของนายนะ”
“จริงนะ ฉันกลัวนายรำคาญ”
เขาไม่ตอบ แค่ยิ้มนิดๆแล้วส่ายหน้า ผมจึงเบาใจ
“เล่าเรื่องของนายให้ฟังหน่อยสิ” ผมอยากจะรู้เรื่องของเขาจากปากของเจ้าตัวจริงๆ ไม่ใช่ฟังจากปากต่อปากของคนอื่น เท่าที่ได้คุย อาซาไม่เป็นเหมือนกับที่คนอื่นเล่ามาเลยสักนิด
เย็นชาตรงไหน ออกจะเป็นคนที่อบอุ่น
หยิ่งงั้นเหรอ นิสัยของอาซาเป็นกันเองจะตายไป
คนพวกนั้นมั่วจริงๆ
“ทำไมล่ะ เรื่องของฉันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”
“แต่ฉันอยากรู้นี่ นายรู้ไหมว่าคนอื่นพูดถึงนายว่ายังไง ฉันว่ามันไม่ยุติธรรมที่ฉันจะฟังความข้างเดียวโดยที่ไม่ฟังความจริงจากปากนาย”
“ฉันไม่สนหรอกว่าใครจะมองฉันว่ายังไง”
“แม้ว่าพวกเขาจะบอกว่านายหยิ่ง ไม่เป็นมิตร ไร้ความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ” ผมเบิกตาโตกับท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของอาซา
“ช่างปะไร ฉันสนใจแค่ว่านายจะมองฉันยังไงมากกว่า”
“เอ่อ...” ผมเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น ได้แต่หันซ้ายหันขวาแก้เขิน บอกเลยว่าถ้าใครได้สบตากับผู้ชายคนนี้แล้วไม่เขินก็คงเป็นพวกตายด้านหรือไม่ก็ตาบอด
“ว่าแต่...นายคิดยังไงกับข่าวที่เกิดขึ้นช่วงนี้” ผมเปลี่ยนเรื่องหาเรื่องคุย อาซาปล่อยช้อนในมือร่วงกระทบจานดังแกร๊งพลางเหลือบตามองผม ริมฝีปากของเขาเม้มสนิทแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่คิดอะไร”
“แต่ฉัน...”
“ทางที่ดีนายไม่ควรเข้าไปยุ่งนะโยชิ มันอันตราย” เขาพูดเสียงนิ่งๆ แต่เปลี่ยนบรรยากาศให้วังเวงเหมือนอยู่ในป่าช้า ผมพยักหน้ารับแหยๆ แล้วเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เขาเงียบไปเลย ผมลอบสังเกตสีหน้าของเขาที่ดูเคร่งเครียดไม่ผ่อนคลาย
หลังจากกินข้าวเสร็จและกำลังจะกลับ ผมก็เตรียมควักเงินออกมาจ่าย แต่อาซาดันชิงยื่นบัตรเครดิตจ่ายก่อน
“อาซา ฉันต้องเลี้ยงนายไม่ใช่เหรอ” ผมท้วง ได้แต่มองตามหลังพนักงานเก็บเงินตาปรอย
“ฉันชอบนะที่นายเรียกฉันแบบนั้น เรียกตลอดไปได้ไหม”
“อาซา” ผมกดเสียงต่ำ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังเบี่ยงประเด็น
“แค่มานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนฉันก็ถือว่าตอบแทนแล้วล่ะ”
“แต่ฉันบอกว่าจะเลี้ยงนายนะ แบบนี้นายก็เสียเปรียบน่ะสิ”
ผมยังคงไม่ยอม นอกจากจะให้อีกฝ่ายช่วยเรื่องรายงานที่เสร็จเรียบร้อยจนสร้างความอิจฉาให้เพื่อนๆหลายต่อหลายคนแล้ว จะให้อาซามาจ่ายค่าอาหารได้ไง แค่มานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนยังชดเชยอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“คนที่เสียเปรียบนะ มันนายต่างหากไม่ใช่ฉัน” พูดแล้วทำตาเจ้าชู้แบบนั้นใครจะไปมีสติทัดทานไหว
เขาเดินนำผมที่บ่นงุ้งงิ้งๆไม่หยุดออกจากร้าน ให้ผมยืนรอที่สวนย่อมแถวหน้าร้าน เพราะอาซาเอารถไปจอดตรงที่จอดรถข้างหลัง อย่างน้อยๆแสงไฟและกลิ่นดอกลีลาวดีก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น ลมอ่อนๆพัดแผ่วเบา กิ่งไม้ใบหญ้าเอนลู่ไหวน้อยๆตามแรงลม
เสียงเครื่องยนต์ดังอยู่ไม่ไกล ผมขยับเดินเตรียมจะขึ้นรถ แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“งะ งู!”
ลมหายใจแทบขาดห้วง ขาแข็งจนไม่กล้าก้าวหนี สายตาจ้องงูตัวสีดำสนิทที่ชูคอจ้องหน้าอยู่ ความกลัววิ่งพล่านไปทั่วร่าง หัวใจเต้นแรงสลับกับเต้นช้าจนแทบจะกลายเป็นหยุดเต้น
ทำยังไงดี ตายแน่ๆเลยไอ้โยชิเอ้ย!
อสรพิษร้ายจับจ้องผมไม่วางตา ผมกลัวว่าถ้าขยับตัวแล้วมันจะพุ่งเข้ามากัด แต่พอยืนนิ่งอยู่เฉยๆ งูตัวนั้นกลับเลื้อยเข้ามาใกล้มากขึ้น ผมก้าวถอยหลังด้วยความกลัวสุดขีด ดวงตาเบิกกว้าง เนื้อตัวสั่นไปทั้งตัว
“อะ อาซา” ละล่ำละลักเรียกอาซาเบาๆ ไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวว่างูจะตกใจแล้วพุ่งเข้ามากัด ในหัวคิดไกลไปต่างๆนานา ขนทั้งร่างลุกชัน น้ำตาแห่งความรังเกียจและหวาดกลัวรินไหลออกมา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นข่มเสียงสะอื้น ผมกลัว ใครก็ได้ช่วยที
ซี่ ซี่ ~
งูตัวใหญ่แลบลิ้นสองแฉกออกมา ยิ่งทำให้ผมกลัวจนแทบจะขาดใจ ขาทั้งสองข้างลากถอยหลัง แต่ดันไปเหยียบลงบนดินที่ชื้นแฉะทำให้ร่างทั้งร่างไถลลื่นไปกับพื้น
“ฮืออออ อย่าเข้ามานะ อาซา ช่วยฉันด้วย!!!”
บรื้นนน!
เอี๊ยดดด!
“โยชิ!!!”
“ฮืออ อาซา ช่วยด้วย!” เมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยผมก็ร้องโฮออกมาอย่างน่าสงสาร ผมกลัว ผมเกลียดมัน ผมไม่อยากถูกงูกัดอีกครั้ง!
ใครก็ได้เอามันออกไปไกลๆผมที!!!
“ฮืออ ฉันกลัว ฮืออ พ่อจ๋าพี่จ๋า หนูกลัว” ผมเหมือนคนที่เสียสติ มือหนาที่เย็นจัดกอดปลอบผมเอาไว้ ลูบหลังลูบหัว กระซิบอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรแล้วนะคนเก่ง ฉันอยู่นี่แล้ว ชู่ว”
ASA
ผมอุ้มโยชิขึ้นรถ แต่ต้องเข้าทางฝั่งคนขับเพราะโยชิไม่ยอมปล่อยตัวผมแม้แต่น้อย ผมให้เขานั่งคร่อมตักหันหน้าเข้าหาตัว เขากอดคอผมแน่น ซุกใบหน้าลงที่ซอกคอร้องไห้ไม่หยุด เสียงสะอึกสะอื้นน่าสงสารเหมือนมีดกรีดลงที่กลางใจ
ไอ้งูสารเลวนั่น กล้าดียังไงมาทำให้ดวงใจของผมร้องไห้
สมแล้วกับความตายที่มันควรได้รับ!
โยชิร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไป ผมขับรถมาถึงหน้าหอพักของเขา ลงจากรถโดยมีลูกงูตัวน้อยๆเกาะอยู่ ผมระวังมากที่สุดไม่ให้สะเทือนถึงคนที่กำลังหลับใหล เดินผ่านเข้าหอพักไปถึงตัวลิฟต์ ตรงขึ้นไปยังชั้นที่โยชิอยู่ เมื่อมาถึงหน้าประตู ผมเพ่งสายตาผ่านตาแมวมองเข้าไปด้านใน
ไม่มีใครอยู่...
ผมควานหากุญแจห้องในกระเป๋าของโยชิด้วยความทุลักทุเล แต่ดีที่พอจำได้ว่าเคยเห็นโยชิเก็บไว้ในช่องเล็กๆด้านในกระเป๋า คงเป็นเพราะทั้งเหนื่อยและตกใจสุดขีด เขาถึงได้หลับไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนี้
ไขเข้าไปในห้องได้แล้ว ก็อุ้มเด็กน้อยวางไว้บนเตียง แขนเรียวที่โอบรอบลำคอผมเกาะแน่นไม่ปล่อย ปากพึมพำละเมอออกมาเบาๆ
“ไม่เอา ออกไป ช่วยด้วย” เขาหลับตาเบะหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ สีหน้าทรมานกับการอยู่ในฝันร้าย
ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพยายามแกะมือโยชิออก คว้าเอาตุ๊กตามาให้เด็กน้อยของผมกอดแทน ก่อนจะหาผ้ามาชุบน้ำเช็ดตัวที่เปรอะเปื้อนโคลนให้ ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อบนร่างเจ้าเด็กขี้แยทีละเม็ดจนหมด นิ้วมือลูบไล้รอยแดงข้างลำคอที่กำลังจางหายไป ละสายตาจากรอยแดงมาที่เนื้อตัวขาวเนียนละเอียด รอยปานรูปงูบนหน้าอกข้างซ้าย ผมใช้มือลูบไล้อย่างเผลอไผล รอยรักที่สลักจารึกมาหลายปีหลายชาติ ความปรารถนาค่อยๆจุดประกายขึ้นทีละน้อย แต่ผมก็ระงับมันได้ในทันที รีบดึงมือตัวเองกลับก่อนที่จะเลยเถิดไปไกล ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดเนื้อตัวขาวละเอียดเบามือเกรงว่าเขาจะตื่น เสร็จแล้วก็จัดการทาแป้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดนอนที่สบายตัว
“ไม่เป็นไรแล้วนะคนดี” ผมลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆอย่างอ่อนโยน ก้มหน้าลงไปประทับจูบที่หน้าผากสวยได้รูป ก่อนจะลากลงมาที่จมูกสวย และริมฝีปากแสนเย้ายวน กดจูบติดๆกันโดยไม่ลืมที่จะสร้างรอยสีกุหลาบจางๆไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ผมหวงเขา ยิ่งรู้ว่าไอ้ดาวเสาร์อยู่ห้องเดียวกับเขาผมก็ยิ่งไม่ไว้ใจ พวกผมกับพวกมันไม่ถูกกันเท่าไหร่ ผมไม่อยากให้มันมายุ่งกับคนของผม เพราะผมไม่อยากให้เกิดปัญหากับโยชิ ไม่อยากให้เขาต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องบ้าๆ เขาสมควรได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติสุขทั่วไป ไม่ใช่แบบพวกผม
ตั้งแต่วันที่เขาตอบรับเข้ามาเรียนที่นี่ ผมก็กังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร อยากจะอยู่ให้ห่างแต่ก็เป็นห่วงเหลือแสน ที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับโยชิ ไม่เหมาะเลยจริงๆ
“ข้ารักเจ้า รักเจ้าเหลือเกินดาร์เรล”
“ทานข้าวอร่อยไหม” คำถามของเวสตันไม่ได้มีความล้อเล่นเลยสักนิด
“ก็ดี” แต่ผมก็ไม่ใส่ใจน้ำเสียงที่แดกดันมากนัก
“นายควรจะต้องระวังให้มากกว่านี้อาซา พวกมันจับตาดูนายอยู่” เวสตันตำหนิ เขาเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม แต่แทบจะไม่มีใครเชื่อฟังคำสั่งเขาสักคนทั้งผมและฟรินน์ แต่ส่วนมากจะเป็นผมมากกว่าที่ไม่ฟัง บอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งกับผม
ผมอาจจะดูเป็นคนดียามที่อยู่ต่อหน้าโยชิ แต่ลับหลัง ผมมันก็แค่คนเลวๆนิสัยแย่ๆคนหนึ่งอย่างที่คนส่วนมากพูด คนพวกนั้นไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่น้อย พูดน้อยไปด้วยซ้ำ ผมน่ะ ร้ายได้มากกว่าที่มนุษย์งี่เง่าพวกนั้นพูดกันเสียอีก
“ได้ยินที่ฉันพูดไหมอาซา”
“ได้ยินแล้ว” ผมหยุดเดิน จากที่กำลังจะขึ้นห้องเลยเปลี่ยนไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาแทน
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าเครียด”
มีเวสตันคนเดียวที่อยู่บ้าน ผมตัดสินใจเล่าเรื่องของวันนี้ให้เวสตันฟัง ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของโยชิมากเกินความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นปารีสหรือจูเลียตเพราะผมกับพวกเธอไม่ได้สนิทมากพอที่จะพูดเรื่องส่วนตัว
ผมรู้จักพวกเธอหลังเวสตันกับฟรินน์อยู่ประมาณสามร้อยปีให้หลังมานี้ พวกเธอไม่รู้เรื่องราวของผมกับโยชิ และผมไม่อยากให้รับรู้ด้วย ถึงปารีสจะเป็นแฟนเวสตันและจูเลียตเป็นเพื่อนของเธอที่เพิ่งจะมาอยู่ด้วย แต่สำหรับผม...ไม่สนิทก็คือไม่สนิท ไม่ต้องจำกัดความให้ยืดยาว
“วันนี้โยชิเจองูที่ร้านอาหารตอนที่กำลังจะกลับ เป็นพวกชั้นต่ำที่กำลังหิวโซ เลยจะเข้าไปทำร้ายเขา จากที่ได้สบตากับมันแล้ว ก็เบาใจได้เปราะหนึ่งว่าไม่ใช่สายสืบจากพวกไหน” เพราะถ้าเป็นพวกชั้นสูงฝีมือดีจะไม่มีทางกลัวจนขวัญหนีดีฟ่อเพียงแค่โดนพูดขู่หรือจ้องตาก่อนที่จะตายลงง่ายๆ
“แต่ยังไงก็ยังวางใจไม่ได้ ต่อไปนี้นายไม่ควรออกไปไหนมาไหนกับโยชิอีก เข้าใจไหม” เวสตันสั่งห้าม ผมถอนหายใจทิ้ง ผมก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้น แต่ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้สักที โยชิเหมือนแม่เหล็กที่มีแรงดึงดูด ผมจะรู้ตัวและหันมองหาเขาเสมอเวลาที่เขาอยู่ใกล้ๆ ผมพยายามที่จะอยู่ให้ห่าง แต่รู้ตัวอีกทีก็เดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว จะให้ผมทำไง ไม่ว่าจะเป็นตัว หัวใจหรือสมอง ผมห้ามไม่ได้สักอย่าง
“ถ้านายไม่อยากให้คนที่นายรักต้องตกอยู่ในอันตรายก็เชื่อฉัน” เวสตันทิ้งท้ายก่อนจะกลายร่างเป็นอสรพิษสีเหลืองทองทั้งตัวเลื้อยจากไป ทิ้งให้ผมยืนคิดตามคำพูดของเขาแต่เพียงลำพัง
“ฉันรักนาย” คำรักได้ถูกสายลมพัดพาไปหาคนที่นอนหลับใหลและขับกล่อมให้คนรักนอนหลับฝันดี
‘ข้ารักเจ้า’
‘ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน’
‘ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ข้าก็จะยังรักเจ้าอยู่แบบนี้ ข้าไม่มีวันที่จะลืมเจ้า แล้วเจ้าล่ะ เมื่อถึงวันนั้น จะลืมข้าหรือไม่’
‘ไม่ ข้าจะรักเจ้าเหมือนกับวันนี้ วันที่ข้ารักเจ้าสุดหัวใจ’
เสียงพูดคุยดังแว่วอยู่ไกลๆ แต่ทำไมความรักความอบอุ่นถึงได้ตราตรึงอวบอวลอยู่ในความรู้สึกที่แนบชิดถึงเพียงนี้
‘ข้ารักเจ้า รักเจ้าเหลือเกินดาร์เรล’
มันแน่นอยู่ในอกราวกับสัตว์ร้ายที่ต้องการการปลดปล่อย น้ำเสียง คำรัก ความรู้สึก ทั้งหมดต่างอัดแน่นจนค่อยๆพลั่งพรูออกมาเป็นหยาดน้ำตา
เสียงสะอื้นฮักราวจะขาดใจ ความเจ็บปวดเมื่อรักแต่มิอาจได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เขาคนนั้นเป็นใคร ใครกันที่มีรักจริงใจได้ถึงเพียงนี้
“เฮือก!!”
ผมผวาสะดุ้งตื่นเหมือนร่างทั้งร่างถูกกระชากออกจากห้วงความฝันโดยที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นแม้ว่าจะตื่นขึ้นมาแล้วก็ตาม ยกมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ในใจสับสนไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงร้องไห้แบบนี้ แต่เหมือนจิตสำนึกข้างในบอกว่าให้ร้อง ผมทรมาน เหมือนมีบางอย่างหายไปจากชีวิตผม เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ
“ฮึกๆๆ ฮือออออ”
นี่ผมเป็นอะไรกัน...ทำไมถึงได้เศร้าใจได้ขนาดนี้
แล้วผมร้องไห้ทำไม...ร้องหนักจนเริ่มกลัวตัวเองเพราะผมหยุดมันไม่ได้ หัวใจที่เจ็บร้าวราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ผมหยุดรู้สึกไม่ได้เลย รู้เพียงอย่างเดียวว่าผมต้องร้อง ร้องไห้สมกับความเจ็บปวดที่แสนทรมานเหมือนถูกพรากจากของสำคัญ
“ฮึก ฮือออ!”
...เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ มันเกิดอะไร...