“แกได้ทำเรื่องอะไรวะโยชิ” เติร์ดมองหัวข้อในกระดาษของตัวเองแล้วทำหน้าเซ็งก่อนจะชะโงกหน้ามาดูกระดาษในมือผม
ตัวผมสตั้นแข็งค้างมากกว่าสองนาทีได้ตั้งแต่ที่เห็นข้อความพยางค์เดียวในกระดาษพร้อมภาพประกอบ
‘งู’
ผมช็อคจนทำอะไรไม่ถูก ฟ้าโคตรจะกลั่นแกล้งผมเลยให้ตายสิ! สัตว์มีเป็นร้อยทำไมผมต้องจับได้งูด้วย!
“ของฉันได้ตุ๊กแกวะ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ น่าเกลียดน่ากลัวพอกัน”
ผมมองเติร์ดที่เอามือถูแขนทั้งสองข้างทำท่าขนลุก ก่อนจะยื่นกระดาษของตัวเองไปตรงหน้าเพื่อน มันเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“แลกกันไหม” ผมยอมอยู่กับตุ๊กแกอ่ะ กับงูนี่ไม่ไหวจริงๆ
“ไม่เอาอ่ะ” เติร์ดสะบัดหน้าส่ายหวืด
ขนทั่วร่างผมตั้งชันไม่ยอมลง รูปงูสีดำมะเมื่อมตัวใหญ่ในกระดาษทั้งน่ากลัวและสยดสยองเกินใจจะทน ยิ่งมองยิ่งนึกไปถึงงูในคืนนั้น ทั้งที่เป็นสิ่งที่เกลียดจับใจ แต่ทำไมเวลาเผลอต้องคิดถึงมันด้วยก็ไม่รู้
“เอาน่า มันก็น่ารักออก” นิกกี้ให้กำลังใจผม เลยหันไปค้อนเข้าให้สักที
“ถ้าน่ารัก งั้นเรามาแลกกันไหมล่ะนิกกี้” ผมประชดเล็กๆ นิกกี้ได้แต่หัวเราะแห้งแต่ก็ไม่ยอมแลก ก็แหงล่ะได้น้องแมวที่แสนน่ารัก เป็นผมผมก็ไม่แลกหรอก
“เอาเถอะๆ แล้วตกลงเราต้องทำยังไงกับไอ้สัตว์พวกนี้เนี่ย” เติร์ดเกาหัวถามงงๆ ตอนต้นคาบอาจารย์แกพล่ามอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่ามันชวนง่วงมากเพื่อนหลายคนเลยเผลอหลับ ผมเองก็เกือบจะหลับเหมือนกันถ้าไม่เอาแต่...
...คิดถึงผู้ชายคนนั้น
ผมนี่เพ้อเจ้อเข้าขั้นจริงๆ
อย่าสงสัยว่าทำไมผมถึงมีโมเม้นต์นั่งคิดถึงผู้ชายราวกับเด็กสาวกำลังตกหลุมรัก ก็ผมชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่รู้ทำไม รู้อีกทีผมก็คิดในทางชู้สาวกับผู้หญิงไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะพ่อกับพี่ยอร์ชดูแลผมมากเกินไป เลยทำให้ผมติดนิสัยอยากได้คนมาดูแล ไม่ชินที่จะต้องดูแลใคร
แต่ต่อให้ผมชอบผู้ชาย...เขากับผม มันเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้อย่างรุนแรง
“เขาบอกว่าให้ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสืบค้นในหนังสือ หรือไปถามผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ใช่อาจารย์ หรือไม่ก็เลี้ยงด้วยตัวเอง” โยชิอธิบายให้เติร์ดกับนิกกี้ฟัง
“ดีเลย ฉันจะไปหาแมวมาเลี้ยง!”
“แล้วแกจะเลี้ยงยังไง อยู่หอเขาไม่ให้เลี้ยงสัตว์นะเว้ย” เติร์ดเก็บของใส่กระเป๋าหันไปมองนิกกี้งงๆ
“ก็แอบเลี้ยงสิ เขาทำกันทั้งนั้นแหละ” นิกกี้ยักไหล่ไม่ใส่ใจ เดินออกจากห้องเรียนเป็นคนแรก
พวกผมตรงไปที่หอสมุดกลางเพื่อหาหนังสือทำรายงานที่เพิ่งได้มาเมื่อตะกี้ ขืนไปช้ามีหวังหนังสือหมด เพราะหัวข้อมันก็มีซ้ำๆกัน ที่คณะก็มีห้องสมุดแต่ขนาดเล็กกว่าเยอะ ที่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยจะใหญ่กว่าและมีหนังสือให้เลือกอ่านเยอะกว่ามาก
“ดูเหมือนว่าวันนี้ฝนจะตกนะ” นิกกี้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ผมเงยหน้ามองตาม ผมไม่ชอบฝน เพราะฝนจะนำพาสิ่งมีชีวิตที่ไม่พึ่งประสงค์ออกมา พวกสัตว์เลือดเย็น พวก...งู!
ยิ่งช่วงหน้าฝนผมจะไม่เข้าไปในสวนในไร่เด็ดขาด เพราะจะเป็นช่วงที่งูชุมมากถึงมากที่สุด บางทีพี่ยอร์ชก็กลับมาเล่าให้ฟังว่าคนงานในไร่ถูกงูกัดบ้าง หรือไม่ก็เจองูเลื้อยพันอยู่บนเถาองุ่นห้าหกตัวบ้าง ด้วยเหตุนี้ผมจึงเกลียดฝนพอๆกับที่เกลียดงู
“ตามรายงานข่าวเมื่อเช้าวันนี้ที่ผ่านมา ได้พบรูปปั้นคนที่มีท่าทางตื่นตระหนกอีกรายอยู่ข้างมหาวิทยาลัยT เราได้สอบถามคนที่อยู่ในระแวก แต่ไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์ในครั้งนี้เหมือนครั้งก่อนๆ เจ้าหน้าที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่านี่เป็นเพียงการก่อกวนเมืองหรือเป็นคำสาปตามที่....”
อีกแล้วเหรอ...?
ผมหยุดยืนฟังรายงายข่าวจากทีวีในหอสมุดชั้นล่างด้วยความสนใจ คราวนี้ดูเหมือนจะอยู่ใกล้มาก หลายคนที่ฟังข่าวต่างก็เริ่มจับกลุ่มคุยกันในเรื่องที่ประหลาดที่สุดในรอบหลายร้อยหลายพันปีมานี้
“ไปเถอะ” นิกกี้จับแขนผมให้เดินตามเข้าไปในหอสมุด ขึ้นไปที่ชั้นสามก่อนจะจับกลุ่มกันที่โต๊ะมุมในสุด
“แกคิดว่าไง จากที่เห็นในรูปมันเหมือนกับในหนังไม่มีผิด” เติร์ดเริ่มสันนิษฐานขึ้นเป็นคนแรก
ไม่มีใครหรอกที่จะไม่สนใจข่าวนี้ อาชญากรรมที่เกิดขึ้นติดต่อกันมาสักพักและดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆโดยที่ไม่มีใครสามารถหาเบาะแสได้ว่าเกิดจากอะไร เป็นภัยอันตรายในเงามืดที่เรามองไม่เห็น มันอาจอยู่รอบตัวเราและฆ่าเราได้ทุกเมื่อ เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นไม่ใช่หน้าที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ทุกคนต้องช่วยกันหาเบาะแส และผมคิดว่าผมก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น
“ใช่ มันเหมือนกับ...” นิกกี้เว้นช่วงค้าง พูดเสียงเบาทำอารมณ์ระทึกขวัญก่อนจะมองมาที่ผม
“โดนเมดูซ่าจ้องตา” ผมพูดต่อประโยคที่นิกกี้พูดออกมา
“ใช่ ถูกต้องที่รัก ฉลาดที่สุด” นิกกี้ลูบหัวผมอย่างชื่นชมก่อนที่เธอจะลุกออกจากโต๊ะไป สักพักเธอก็กลับมาพร้อมหนังสือสามเล่ม ผมหยิบมาดูเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องเทพเจ้าในตำนาน
“อย่าบอกนะว่าแกคิดว่าเมดูซ่ามันมีจริง” เติร์ดพูดเหมือนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้
“ก็มันน่าคิดน้อยเสียเมื่อไหร่ คิดดูนะ ใครจะบ้าปั้นรูปคนที่มีหน้าตาตื่นตกใจหรือกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างสุดชีวิตแบบนั้น สถานการณ์แบบนี้มันเหมือนกับในตำนานไม่มีผิด” นิกกี้เปิดหนังสือที่เป็นตำนานเกี่ยวกับเมดูซ่ามาอ่านให้ฟัง แถมรูปในหนังสือยังเหมือนกับรูปในทีวีเมื่อกี้ราวกับถอดแบบกันมา
“แต่ดูยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้วะ นั่นมันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น จะไปมีอยู่จริงได้ยังไง” เติร์ดส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ แต่นิกกี้ก็ยังไม่คลายความสงสัย จึงได้เริ่มจับเรื่องนั้นเรื่องนี้มาวิเคราะห์เป็นประเด็นๆ ตั้งใจใฝ่ความรู้ยิ่งกว่าตอนเรียนหรือตอนที่รู้ว่าต้องทำรายงานเรื่องน้องแมวเสียอีก
ผมนั่งฟังนิกกี้เล่าอย่างตั้งใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาเข้ากับผู้ชายที่เคยเจอเมื่ออาทิตย์ก่อน
“อาซา...” ผมเอ่ยชื่อของชายหนุ่มเบาๆในลำคอ
ใบหน้าของเขาเชิญชวนให้หลงใหลและ...เป็นมิตร
ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น แต่...รอยยิ้มบางๆที่แต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากคู่งามมันช่างสมบูรณ์แบบจริงๆ
ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องผมไม่วางตา ในสายตานั้นสื่อแววแห่งความปรารถนาไว้ไม่มิด แวบหนึ่งของความรู้สึก ผมรู้สึกเขินเมื่อถูกอาซาจ้องมองนิ่งขนาดนั้น ผมจึงแสร้งก้มหน้าเปิดหนังสือในมือ เพราะทนสู้สายตาคู่นั้นไม่ไหว และพยายามอย่างหนักที่จะเบี่ยงความสนใจจากชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า
บาซิลิสก์(Basilisk) …ราชาแห่งงู
...หรือเจ้าแห่งอสรพิษ!
ผมกวาดสายตาไล่อ่านตัวอักษรด้วยความสนใจทีละบรรทัดๆ โสตประสาทการรับรู้ทุกอย่างถูกตัดออกจากโลกภายนอก ไม่รู้ทำไมถึงสนใจ แต่จิตใต้สำนึกมันบอกว่าผมควรจะต้องอ่าน
บาซิลิสก์ เป็นงูใหญ่ที่น่ากลัวและน่าสยดสยองในตำนานกรีกและยุโรป ซึ่งแค่มองผ่านเหยื่อก็ทำให้เหยื่อตายได้ ในทำนองเดียวกับ เมดูซ่า...
“เหมือนเมดูซ่างั้นเหรอ...” ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสาปคนให้เป็นหินได้เพียงแค่มองตาน่ะสิ
...การมองเห็นบาซิลิสก์นั้นน่ากลัวสยดสยองมาก ถ้าสัตว์ใดก็ตามได้เพียงเห็นมันมองผ่าน แม้แต่ทางกระจกก็อาจตายได้ทันทีเพราะความกลัว วิธีเดียวที่จะฆ่ามันได้ก็คือต้องถือกระจกไว้ข้างหน้าตัวมันก่อนที่มันจะมองผ่านมา เมื่อมันมองมาในกระจกนั้น มันก็จะเห็นเงาตัวมันเองในกระจกและตายในทันที...
ถ้าอย่างนั้น วิธีฆ่าบาซิลิสก์ ก็คือทำให้มันยอมส่องกระจกสินะ
พอผมเงยหน้ามองตรงไปยังตำแหน่งที่อาซาเคยนั่งอีกครั้ง เขาก็หายไปแล้ว หันซ้ายหันขวาก็ไม่เจอ ไปไหนของเขากันนะ
“หาอะไรโยชิ”
“ปะ เปล่า เดี๋ยวเราไปหาหนังสือทำรายงานก่อนนะ” ผมส่ายหน้าบอกนิกกี้แล้วก็ลุกจากโต๊ะไปหาหนังสือสำหรับทำรายงานโดยที่ในมือมีหนังสือเกี่ยวกับบาซิลิสก์ติดมาด้วย
เดินเข้าไปในช่องที่เป็นหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ตามหมายเลขของหนังสือที่เดินไปเสิร์ชหามาในระบบOPAC[1] ผมใช้นิ้วชี้ไล่ไปตามขอบหนังสือก่อนจะคว้าออกมาทั้งหมดสามเล่ม แต่เล่มสุดท้ายไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน กลับอยู่ในชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นที่หนังสือมีขนาดความยาวเกินกว่าชั้นจึงต้องวางไว้ในแนวนอน
“บ้าจริง ทำไมต้องเอาไปวางไว้ซะสูง ไม่เห็นใจคนเตี้ยบ้างเลย” แล้วทำไมไม่วางต่ำๆ ไม่คิดบ้างเหรอว่ามันจะลำบากคนเตี้ยอย่างผม ที่พยายามเขย่งเท้าเพื่อจะหยิบแต่ก็ยังไม่ถึงอยู่ดี หันซ้ายแลขวาก็ไม่มีใครอยู่ใกล้พอจะขอความช่วยเหลือได้
ผมก็ได้แต่บ่นก่อนจะเหยียบเท้าที่ชั้นหนังสือชั้นแรก ออกแรงปีนขึ้นไปหยิบ
“ฮึบ อ๊ะ!” เสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะจังหวะที่กำลังเอื้อมคว้าหนังสือลงมา ทำให้หนังสือเล่มหนาข้างบนนั้นทำท่าจะเอนร่วงลงมาทั้งกอง แต่หนังสือเหล่านั้นก็ไม่ได้ร่วงลงมาใส่หน้าผม เนื่องจากมีมือปริศนามาจับหนังสือไว้ทัน
ลำแขนยาวสีขาวผ่องดันหนังสือให้เข้าที่เข้าทางตามเดิม และเอื้อมไปหยิบหนังสือที่ผมต้องการลงมา ผมก้าวถอยเพียงครึ่งก้าว แผ่นหลังก็ชนกับหน้าอกของคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง ลมหายใจร้อนๆเบารินรดที่ใบหูและลำคอ และนอกเหนือจากนั้นผมได้กลิ่นดินจากผู้ชายที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง
“Be careful” เขาว่า
“...”
“This book, right?” น้ำเสียงเรียบนิ่งกระซิบแผ่วเบาที่ใบหู ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตอบกล้อมแกล้ม
“umm..Yes, thank you”
ผมยื่นมือไปรับหนังสือมาถือไว้ จังหวะเดียวกับที่คนข้างหลังถอยห่าง ผมลอบถอนหายใจเบาๆไม่ให้คนที่มาช่วยหยิบหนังสือรู้ว่าผมเกร็งเอามากๆ แต่พอหันกลับไปเพื่อที่จะมองหน้าคนที่เข้ามาช่วย ตัวทั้งตัวก็แข็งค้าง ริมฝีปากอ้ากว้างด้วยความตกใจ จนคนใจดีต้องใช้มือดันคางผมขึ้นเพื่อให้ปิดเหมือนเดิม
“Do you get shocked a lot?”
“A...Asa”
“Hmm...you know me?”
“เอ่อ...คือ...” ผมเกิดอาการใบ้กิน จะบอกได้ยังไงเล่าว่าพวกผมนินทาถึงพวกเขาก่อนหน้านี้ ก็ได้แต่หาทางแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน ผมหมายถึงหาข้ออ้างอ่ะนะ ไม่ใช่แก้ผ้าจริงๆ
“ก็...นายดังออกจะตายไป” ผมพูดเสียงเบาพลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อ
“งั้นเหรอ” อาซาหรี่ตามองจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม
“ว่าแต่...นายชื่ออะไรละ”
“ฉันชื่อโยชิ”
“น่ารัก” อาซาเอ่ยชมเมื่อได้ยินชื่อของผม พอถูกชมแบบไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกเขินขึ้นมา ใบหน้าร้อนผ่าว เคยถูกชมเรื่องชื่ออยู่ก็บ่อย แต่ไม่เคยรู้สึกดีที่ถูกชมแบบนี้มาก่อน ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆ
“ครับ เอ่อ...ขอบคุณอีกครั้งที่หยิบหนังสือให้” ผมกอดหนังสือขึ้นแนบอกเพราะไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ตรงไหน ยอมรับเลยว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นคนที่หล่อและดูดีมากๆ มากถึงขนาดที่ผมไม่กล้าที่จะมองจ้องหน้าหรือสบตาตรงๆในระยะห่างที่ใกล้กันเพียงแค่ก้าวเดียวแบบนี้
เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ที่ทำให้ผมไม่อาจจ้องมองได้โดยตรง ทั้งที่อยากจะมองดวงตาที่สุดแสนจะล้ำลึกให้นานกว่านี้ แต่เหมือนร่างกายจะตอบสนองไปเองว่าไม่ควรมอง เขาทำให้ผมมีความรู้สึกต่อเขาได้มากกว่าหนึ่งหรือสองอารมณ์ในเวลาเดียวกัน
ทั้งอยากอยู่ใกล้ อยากพูดคุย และก็อยากถอยห่างให้ไกล ไม่อยากจ้องตามองหน้าหรืออะไรทั้งสิ้น
และอีกอย่างที่สร้างความแปลกใจให้ผมอยู่นิดหน่อยก็คงจะเป็นไอเย็นและกลิ่นดินที่มาจากตัวของอาซาเนี่ยแหละ เพราะปกติเวลาที่ผมอยู่ใกล้คนที่ตัวใหญ่กว่าอย่างพ่อหรือพี่ยอร์ชก็มักจะรู้สึกได้ถึงไออุ่น ไม่ใช่ไอเย็นเฉียบ
“ไม่เป็นไร แต่ทีหลังเรียกใครมาช่วยจะดีกว่า ไม่อยากนั้นจะเจ็บตัวเองได้” อาซายืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนมองตามอยู่นานสองนาน
รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เติร์ดเดินเข้ามาตามเพราะต้องไปเรียนวิชาต่อไป นั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัวว่ายืนนิ่งงันอยู่นานเกือบยี่สิบนาที
ไม่เห็นเหมือนที่ใครเขาบอกเลยสักนิด
ก็ดูเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีออก
หรือว่าน้อยคนที่จะได้เห็น งั้นผมก็เป็นคนที่โชคดีสินะ
แล้วตกลงเขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ…ผมอาจจะต้องบอกอีกครั้งว่าผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะผมอยากคุยกับเขาอีกครั้งและอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่โยชิเดินกลับคณะไปพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนแล้ว เขาก็เดินออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่ง สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังบางที่เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาได้มาไว้ในอ้อมกอด แม้เพียงเสี้ยววินาที แต่มันก็ทำให้อาซาทั้งมีความสุขและทุกข์ปนกันอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไหนบอกจะไม่เข้าหาไง” น้ำเสียงเนือยๆของฟรินน์เอ่ยอยู่ข้างๆกัน
“ก็มันจำเป็น...” ในเมื่อเด็กนั่นกำลังจะถูกกองหนังสือกองโตหล่นทับ จะไม่ให้เข้าไปช่วยได้ยังไง
“ก็ถ้านายไม่คอยจับตาดูเจ้าเด็กนั่นตลอดเวลา นายจะรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง” ทำไมฟรินน์จะไม่รู้ว่าเพื่อนของตนแทบจะไม่ละสายตาจากคนตัวเล็กผิวขาวใสที่แทบจะไม่ต่างจากพวกเขาชนิดไม่วางตา ไอ้ที่บอกว่าจะอยู่ให้ห่าง เห็นทีว่าจะยาก
“ฉันคงต้องพยายามให้มากกว่านี้” อาซาได้แต่มองไปยังทางที่โยชิเดินจากไปอย่างเหม่อลอย
“พยายามให้ตายยังไง แต่ถ้าหัวใจนายยังจะคอยแต่คิดถึงเจ้าเด็กนั่น เห็นทีว่านายคงจะทำไม่ได้อย่างที่ปากพูด” ก็เห็นจากอาการของอาซา ต่อให้เป็นมนุษย์ผู้โง่เขลาก็ยังมองออกเลยว่าอาซาหลงรักเด็กหนุ่มหน้าขาวปากแดงตัวหอมนั่นเพียงใด
อืม...ถ้าอาซาไม่หมายปองไว้ก่อนแล้ว บางทีฟรินน์อาจจะสนใจเจ้าเด็กนั่นก็เป็นได้
“ยังไงก็เริ่มจากเลิกตามตัวเขาเป็นเงาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
หลังจากเรียนเสร็จผมก็ขอแยกกับเพื่อนๆเพื่อกลับหอพัก แม้ว่าเพื่อนทั้งสองคนจะช่วยกันโน้มน้าวให้ไปดูหนังก็เถอะ แต่วันนี้ผมกลับไม่อยากออกไปไหน แถมไม่มีหนังที่ผมอยากดูอีกด้วย
“กลับมาแล้วเหรอ” รูมเมตของผมเอ่ยทัก ผมพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะเดินเอากระเป๋าและหนังสือไปวางที่โต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง จากนั้นก็เดินไปล้างเท้าในห้องน้ำพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นที่ยาวแค่คลุมต้นขากับเสื้อยืดผ้านิ่มที่ใส่สบายตัวแทน
“วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอดาวเสาร์”
รูมเมทต่างคณะของผมมีชื่อที่เพราะพริ้งว่า ‘ดาวเสาร์’ แต่เจ้าตัวไม่ยอมให้เรียกว่าดาว เพราะมันเหมือนผู้หญิง ทุกคนเลยเรียกว่าเสาร์ หรือไม่ก็ดาวเสาร์เต็มๆ
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจ แล้วนี่ขนหนังสืออะไรมาเยอะแยะ” ดาวเสาร์หยิบหนังสือขึ้นดูก่อนจะโยนทิ้งลงพื้นแทบจะทันที ผมได้แต่ตกใจกับสิ่งที่ดาวเสาร์ทำและถลาเข้าไปเก็บหนังสือ
“อย่าโยนหนังสือทิ้งสิดาวเสาร์” ถึงจะไม่ชอบรูปงูที่อยู่บนหน้าปกหนังสือเท่าไหร่ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังสือก็ควรจะถนอมมันให้ดี คนอื่นจะได้อ่านต่อได้
“ฉันเกลียดงู” ดาวเสาร์พูดแล้วก็เอามือทั้งสองข้างลูบแขนตัวเองไปมาเพราะรู้สึกขนลุกด้วยความขยะแขยง
“ฉันก็เกลียด แต่ต้องทำรายงานเรื่องนี้”
“เอาเถอะ นายอย่าเอามาวางให้ฉันเห็นเป็นพอ” ดาวเสาร์ล่าถอยกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิม พร้อมกับเปิดทีวีดูสารคดีสัตว์โลกน่ารักที่กำลังฉายเรื่องงูอนาคอนด้าอยู่พอดี ดาวเสาร์ทำท่าจะเปลี่ยนแต่ผมร้องห้ามเอาไว้
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งเปลี่ยน ฉันจะดูไว้ทำรายงาน”
รูมเมทตัวโตจึงได้ยอมเปิดทีวีทิ้งไว้ ส่วนตัวเองก็นั่งดูข้างๆผมด้วยหน้าตาไม่สู้ดีนัก
“มันไม่ยุติธรรมเลยว่าไหมที่ไอ้สัตว์ไร้ขาพวกนี้จะเป็นนักล่าอันดับต้นๆ แถมบรรพบุรุษของมันยังเป็นสัตว์ที่ร้ายกาจอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วมันน่าหงุดหงิดรู้ไหม กลายเป็นว่าฉันอ่อนกว่ามัน ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ บ้าบอสิ้นดี สักวันฉันจะทำให้มันรู้ว่าหมาป่าเก่งกว่างู!” ดาวเสาร์บ่นออกมาเสียยาวยืด ผมที่กำลังสนใจสารคดีงูหันมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“นายพูดอะไรของนาย พูดเหมือนตัวเองเป็นสัตว์อย่างนั้นแหละ”
“รู้ไหม ว่าหมาป่าไม่ถูกกับงู”ดาวเสาร์เลี่ยงไม่ตอบคำถามผม
“นายรู้ได้ไง เป็นหมาป่าหรือไง”
“หึหึ ก็คงงั้น”
“ตลก” ผมส่ายหัวเบาๆก่อนจะหันไปสนใจสารคดีต่อ
“นายพักผ่อนเถอะ อย่าดูไอ้สัตว์เลื้อยคลานพวกนี้เยอะละ มันน่ารังเกียจ” ร่างสูงเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว ใครกันแน่ที่ต้องพักผ่อน ผมยังสติดี มีแต่ดาวเสาร์นั่นแหละที่เพี้ยนไปแล้ว