แพรวดาวลอบยิ้มสะใจ ก่อนจะรีบตีหน้าเศร้าเมื่อบิดาหันกลับมา “พ่อจ๋า... อย่าไปทำน้องเลยจ้ะ น้องแค่อิจฉาฉันเรื่องคุณรณนเท่านั้นเอง เจ็บแค่นี้แพรวทนได้...” แกล้งบีบน้ำตาอีกระลอก
“โธ่ ๆ ลูกคนดีของพ่อ ทำไมแสนดีอย่างนี้ ไม่เหมือนนังพราวทำตัวราวกับนางอิจฉา...”
พราวฟ้าเห็นแล้วก็แทบอาเจียน ทำท่าจะหมุนตัวเดินจากไป แต่ก็ถูกบิดาเรียกไว้ซะก่อน “นั่นแกจะไปไหนนังพราว ฉันยังไม่อนุญาต!...”
“ฉันรู้ว่าถึงพูดอะไรไปพ่อก็ไม่มีทางเชื่อ ฉันก็เลยจะไปหยิบหวายให้พ่อไงจ๊ะ”
“นังลูกคนนี้นี่...” ผู้เป็นบิดาที่นั่งปลอบบุตรสาวคนโตอยู่กัดฟันกรอด แพรวดาวฟังแล้วก็รีบยุต่อ
“มันประชดพ่อจ้ะ พ่ออย่ายอมนะ มันจะอกตัญญู”
“ฉันไม่ได้ประชด แต่ตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ” พราวฟ้าแก้ตัว เบื่อหน่ายกับนิสัยของแพรวดาวนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอม
แพรวดาวขบฟันแน่น โมโหนักที่น้องสาวทำท่าไม่เกรงกลัวต่อการเฆี่ยนตีของบิดาแม้แต่น้อย แต่หล่อนไม่มีทางยอมแพ้ ยังไงคืนนี้พราวฟ้าก็ต้องไปแก้ตัวกับรามิลแทนหล่อน
“ดีงั้นเอามาสามสี่อันเลย วันนี้จะตีให้มันตายคามือ” กำนันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“พ่อจ๋า นังพราวหนังมันคงด้านแล้วล่ะจ้ะ ตีไปก็ตายเปล่า มันไม่สำนึกหรอก พ่อขังมันดีกว่าจ้ะ ขังลืมเลยนะ ไม่ให้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันเลย...”
แพรวดาวลอบยิ้มสะใจเมื่อเห็นพราวฟ้าหน้าซีดเผือด คงกลัวไม่ได้ไปหาพี่รามที่สวนมะม่วงนะสิ กำนันพลกิจทำท่าจะคล้อยตาม พราวฟ้าจึงร้องลั่น
“ไม่นะพ่อ... จะตีพราวก็ตีเถอะ แต่พราวไม่อยากถูกขัง”
แพรวดาวหัวเราะ
“ขังไปเลยพ่อ ขังลืมนะ ถ้าไม่ขังมันอาจจะตบตีแพรวอีก แพรวกลัว”
ทำเป็นกอดบิดาแน่นคล้ายกับกำลังขวัญเสีย กำนันพลกิจที่รักลูกสาวคนนี้มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งเห็นดีเห็นงามไปด้วย
“ก็ดี... มันจะได้ไม่ออกมารกหูรกตาพวกเรา”
“ไม่นะพ่อ ฉันไม่ยอม...”
“แกกล้าขัดคำสั่งของพ่อเหรอ พ่อจ๋าดูนังพราวสิ” แพรวดาวยุแยงไม่หยุด
“ข้าตัดสินใจแล้ว ไป! ไปอยู่ในห้องของแก แล้วห้ามออกมาอีกจนกว่าข้าจะอนุญาต” กำนันพลกิจหันไปสั่งบุตรสาวคนเล็กที่เขาเกลียดชังด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“แต่ว่าพ่อ...ฉัน...”
“ข้าบอกให้ไปไง หรือว่าอยากจะถูกขังในห้องเก็บของแทน!...”
คำขู่ของบิดาทำให้สีหน้าของพราวฟ้าที่เศร้าหมองอยู่แล้ว ซีดลงไปอีก เมื่อนึกถึงห้องเก็บของที่หล่อนเคยถูกขังในนั้นเมื่อสองปีที่แล้ว
มันมืด มันน่ากลัวอย่างที่สุด สำหรับคนที่กลัวความมืดตั้งแต่เกิดแบบหล่อน
“มะ ไม่จ้ะพ่อ...”
น้ำเสียงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวของพราวฟ้าทำให้แพรวดาวยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะจ้องมองร่างของน้องสาวที่วิ่งหายขึ้นบ้านไปด้วยสายตาของผู้ชนะ
‘แกไม่มีทางขัดคำสั่งของฉันได้หรอก นังพราว’
“พ่อจ๋า เดี๋ยวแพรวขอขึ้นไปดูน้องหน่อยนะจ๊ะ สงสารน้อง บางทีถ้าแกยอมรับปากว่าจะไม่ทำนิสัยร้าย ๆ แบบนี้อีก แพรวก็จะขอพ่อให้ปล่อยแก...”
แพรวดาวตีบทนางเอกจนแตกกระจุย ขนาดกำนันพลกิจซึ่งเป็นบิดายังมองไม่ออกเลย แล้วใครจะมารู้
หล่อนคือนางเอกแสนสวยในสายตาของผู้ชายทุกคนอยู่แล้ว...
“แพรวเอ๋ย อย่าใจดีนักเลย พ่อเห็นแล้วก็อดห่วงไม่ได้ กลัวว่านังพราวมันจะทำร้ายเอ็งเอา...” กำนันพลกิจพยุงร่างของลูกสาวที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้น
“แพรวรักน้องนี่จ๊ะ แต่พ่ออย่าห่วงเลย ฉันจะระวังตัว...”
แพรวดาวตีหน้าเศร้า เล่าเสียงเครือ ขณะเดินตามบิดาขึ้นมาบนเรือนช้า ๆ
“งั้นก็ตามใจเอ็งเถอะแพรว พ่อให้เอ็งตัดสินใจก็แล้วกัน จะปล่อยมันหรือว่าจะขังก็แล้วแต่เอ็ง”
แพรวดาวฉีกยิ้มกว้างสมใจ “ขอบคุณค่ะพ่อ”
“เอ่อ แล้ววันนี้คุณรณนเขาจะมารับเอ็งไปกินข้าวนอกบ้านหรือเปล่า”
หญิงสาวฉีกยิ้ม “มาสิพ่อ คนสวยอย่างฉันต่อให้เจ้าชายจากอาหรับก็ต้องหลง พ่อวางใจได้เลย คุณรณนไม่มีทางหลุดมือของฉันแน่... รับรองว่าฉันจะเป็นสะใภ้เศรษฐีให้พ่อภูมิให้ได้...”
พูดอย่างมั่นใจในเสน่ห์ที่มีอย่างล้นเหลือของตัวเอง
กำนันพลกิจระบายยิ้มออกมา จ้องมองลูกสาวคนสวยที่ตนเองภาคภูมิใจนักหนาด้วยสายตารักใคร่ แพรวดาวไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้งเดียว ว่านอนสอนง่ายทุกอย่าง ไม่เหมือนพราวฟ้าที่ดื้อรั้นน่าเฆี่ยน
“ก็มีแต่เอ็งเท่านั้นล่ะแพรวที่พ่อจะฝากผีฝากไข้ได้...” แพรวดาวยิ้มกริ่มถูกใจกับคำพูดของบิดายิ่งนัก
“เอ่อ พ่อจ๊ะ แพรวไปหาน้องก่อนนะจ๊ะ แล้วก็จะเลยไปแต่งตัวรอคุณรณนเลย”
กำนันพลกิจยิ้มกว้าง ก่อนจะโบกไม้โบกมืออนุญาต
“ไปเถอะแพรว นี่พ่อก็จะลุกไปดูไก่ที่เล้าสักหน่อย ไม่รู้คนงานเก็บไข่ได้เยอะหรือยัง...”
“จ้ะ พ่อ”
แพรวดาวลุกขึ้นยืนเดินจากไป ผู้เป็นบิดามองตามไปด้วยสายตาภาคภูมิใจ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินลงบันไดบ้าน มุ่งหน้าไปเล้าไก่ที่อยู่ห่างจากบ้านเกือบกิโล