ตอนที่ 2 มะม่วงฟ้าลั่นต้นนี้ พี่ดูแลอย่างดีเพราะเธอชอบ 2/2

3029 Words
“โอ๊ย!!! เข็ดฟัน!” ตัวตั้งตัวตีตั้งวงมะม่วงน้ำปลาหวาน ตอนนี้กำลังเมามะม่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่มีหรือเธอจะหยุด ยังคงจ้วงมะม่วงน้ำปลาหวานคำโตเข้าปากคำแล้วคำอีก ทรมานปาก แต่แซ่บถึงทรวงจริง ๆ ไม่เพียงแค่นั้น เจ้าหล่อนยังทำทั้งยำปลากรอบ ตำมะม่วงอีกถาดใหญ่ ให้มันรู้ไปว่าท้องไส้จะทนได้สักแค่ไหน ตอนนี้ไม่มีแม่บ้านหรือคนสวนคนไหนทำงานเลยสักคน เพราะต่างก็มาลิ้มรสของแซ่บกันที่เรือนด้านหลังบ้านหลังโตกันทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ว่าที่เจ้าบ้านคนถัดไปอย่างรามสูรก็ตาม “พอแล้วเอม เดี๋ยวก็ถ่ายท้องหรอก” ชายหนุ่มเท้าคางมองหญิงสาว ซึ่งเธอจ้วงมะม่วงเข้าปากไม่พักมือ “พี่รามไม่กินหน่อยล่ะคะ เอมทำแบบไม่ใส่กะปิแยกไว้ให้ด้วย เอมจำได้ว่าพี่รามไม่ชอบกิน” เจ้าหล่อนยิ้มกว้าง ก่อนจะจ้วงมะม่วงเข้าปากอีกคำ “มันเผ็ด พี่กินเผ็ดไม่ค่อยได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว” “ทำไมไม่บอกล่ะคะ เอมจะได้ทำแบบเผ็ดน้อย” เจ้าหล่อนตบโต๊ะฉาดใหญ่ กำลังจะลุกขึ้นไปทำแบบเผ็ดน้อยอีกถ้วย แต่กลับถูกคนตัวใหญ่กว่ารั้งข้อมือเอาไว้ “ไม่ต้องหรอกเอม พี่อิ่มแล้ว” “อะไรกัน เอมทำไม่ถูกปากสินะ” เจ้าหล่อนบุ้ยหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม “ไปอยู่ต่างประเทศมาตั้งหลายปี พี่รามของเอมกินเผ็ดไม่ได้เสียแล้ว แย่จัง” ‘ของเอมอย่างนั้นเหรอ? ดีจัง’ “ไม่เป็นไร แค่เห็นเอมกิน พี่ก็อิ่มแล้ว” เขายิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าเหมือนเดิม คงมีแค่อคิราห์คนนี้เท่านั้นที่รามสูรจะยิ้มกว้างทั้งด้านนอก และด้านในแบบนี้ แต่หารู้ไม่ ไอ้คำที่หวานเลี่ยนออกมาจากปากของชายหนุ่ม ทำให้ทั้งแม่บ้านพร้อมคนสวนชะงักทันที ก่อนจะหันไปมองนายน้อยของตน ทุกอย่างมันกำลังออกมาทางสายตาจนหมด ว่าตอนนี้ชายหนุ่ม... กำลังคิดอะไรอยู่ “เจียง คิดเหมือนกันมั้ยวะ?” ป้าสร้อยสะกิดคนข้าง ๆ “โธ่ป้า! ไม่ต้องคิดก็ได้มั้ง เห็นชัดออกขนาดนี้” พูดไปก็อมยิ้มไป “เออ ๆ ถ้าเป็นคุณเอมล่ะก็ ฉันยอมรับได้ แต่ถ้าคนก่อนนี้ ป้ารับไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้สวยก็เถอะ” พอนึกถึงแม่ดาราดาวยั่วคนนั้น คนที่เป็นเหมือนแม่อีกคนของรามสูรก็ฮึดฮัดขึ้นทันที “ป้าเชียร์คุณเอม” “ฉันด้วยป้า คุณเอมดีแสนดี แถมยังไม่เคยรังเกียจเราด้วย ถ้าได้คุณเอมมาเป็นเจ้านายอีกคน รับรองบ้านนี้คงสว่างสดใสขึ้นเป็นกอง” เจียงยังคงเม้าท์อย่างออกรส พร้อมตักยำปลากรอบเข้าปากคำโต “จริงรึ นังเจียง?” “จริงสิป้า...” พอมีแนวร่วมอีกคนมา มีหรือเจียงคนนี้จะไม่ไหลไปตามน้ำ แต่พอเห็นหน้าของผู้มาใหม่เท่านั้น ก็แทบสำลักปลากรอบเสียให้ได้ “คะ... คุณ... นะ... นายใหญ่” “คุณนายใหญ่ ตื่นแล้วหรือคะ?” ป้าสร้อยรีบลุกพรวด เดินไปประคองคนอายุมาก แม้จะแข็งแรงอยู่ก็ตาม “ใช่ เสียงดังเอะอะโวยวาย จะนอนได้อย่างไรกัน” คุณนายใหญ่ของบ้านส่งสายตาดุไปยังคนงานของตน ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ลาภปากกันเป็นแถวเลยสินะ” “ค่ะ/ ครับ” ต่างตอบรับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “คุณย่า เดินมาถึงตรงนี้เลยหรือครับ” รามสูรรีบเดินไปหาย่าของตนทันที ก่อนจะเป็นคนประคองเสียเอง “ทางมาเรือนนี้มันค่อนข้างลื่น ทีหลังจะมาต้องเรียกคนมาช่วยนะครับ” “รามเอ๊ย ดูสิว่าย่าเรียกจะมีใครโผล่ไปบ้าง เล่นมากองอยู่ตรงนี้กันหมด” พูดแล้วก็อมยิ้มมองดูเด็กสาว เธอยกมือขึ้นไหว้ตามปกติ แน่ล่ะ เรื่องมารยาทเบื้องต้นแบบนี้ คุณย่ารจิตท่านพร่ำสอนเองกับมือ ยิ่งกว่าหลานชายของตัวเองเสียอีก “วันนี้ไม่ไปร้านหรือเอม?” “วันนี้หยุดค่ะ ร้านเอมหยุดทุกวันพุธ” อคิราห์เองก็ลุกขึ้นมาช่วยประคองคนอาวุโสอีกคน ก่อนทั้งคู่จะพาท่านไปนั่งเก้าอี้เดิมของรามสูรแทน “คุณย่าจะลองมะม่วงน้ำปลาหวานมั้ย? หรือว่ายำปลากรอบ หรือจะตำมะม่วงดี?” “ไม่ล่ะ รสมันจัดเกิน ย่ากลัวถ่ายท้อง” รจิตยิ้มกว้าง เด็กคนนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังน่าเอ็นดูเสมอ “อาภาอยู่บ้านหรือเปล่า?” “แม่ไปดูที่ดินที่เชียงใหม่ค่ะ อีกหลายวันกว่าจะกลับ เอมเลยมาฝากท้องที่นี่ยังไงล่ะคะ” เด็กสาวยังคงอ้อนคนแก่เก่ง แล้วแบบนี้จะไม่ให้หลงได้อย่างไรกัน “ฝากท้องอะไรกัน เหมือนมาเหนื่อยทำให้คนของย่ากินมากกว่า” “เหนื่อยอะไรกันคะ เอมก็ได้กินไปด้วย แค่นี้เอง วันนี้คุณย่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เดี๋ยวเอมลงมือทำทู๊ก~ อย่างที่คุณย่าจิตอยากทานเลย” รจิตยิ้มกว้าง มองดูเด็กสาวช่างพูดและยิ้มแย้ม พลันคิดถึงเรื่องที่แม่บ้านของตนเพิ่งเอ่ยเมื่อครู่ ชักเริ่มอยากจะได้เด็กคนนี้มาเป็นหลานสะใภ้เสียแล้วสิ “แกงสายบัวดีหรือเปล่าคะ? ตรงสระหน้าบ้านน่าจะยังมีอยู่ พอดีเอมปีนต้นมะม่วงเห็นบัวในสระเยอะเลย” เจ้าหล่อนยิ้ม แต่ดูเหมือนว่ารอยยิ้มที่เอ็นดูหล่อนจะหุบลงกะทันหัน “ปีนต้นมะม่วงอีกแล้วรึ เอมเอ๊ย! ไม่ใช่เด็กแล้วนะลูก โตเป็นสาวขนาดนี้แล้ว ไม่ได้ ๆ ต้องอบรมเรื่องกุลสตรีใหม่อีกรอบ มากับย่าเลย!” เชื่อเถอะว่าคุณย่ารจิตท่านเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว แต่กลับยังมีเรี่ยวแรงลากเด็กสาวอายุยี่สิบหกให้ตามไปโดยง่าย แม้เธอจะส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาก็ตาม แต่ใครล่ะ... จะกล้าขัดท่าน ไม่มี!!! ‘ลุงสน รักษามะม่วงต้นนี้เอาไว้นะครับ ผมไม่อยากให้มันตายเหมือนต้นอื่น’ ต้นไม้แห่งความทรงจำของทั้งเขาและเธอ อคิราห์ชอบทานมะม่วงต้นนี้มาก รามสูรจึงอยากรักษามันเอาไว้ ไม่อยากให้ความทรงจำหายไปพร้อมกับการโรยราของมัน กี่ปีแล้วที่ตนไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่ แต่ทุกอย่างกลับไม่เปลี่ยนไปเลย แม้กระทั่งดวงอาทิตย์ดวงเล็กของชายหนุ่ม มันยังสว่างสดใสไม่เคยเปลี่ยน “โอ๊ย~” เสียงโอดครวญแว่วมาแต่ไกล รามสูรละสายตาจากมะม่วงต้นใหญ่ หันกลับไปมองหญิงสาวกำลังเดินหน้ามุ่ยมาทางตน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสาเหตุมาจากย่าของตนเองอบรมเธอนานไปหน่อย “หนีเลยนะคะพี่ราม ไม่ช่วยเอมเลย” “แน่ใจหรือว่าพี่จะช่วยได้ ไม่ใช่ว่าจะโดนทำโทษทั้งคู่ กลายเป็นว่าทั้งเอมและพี่จะโดนอบรมนานกว่าเดิม” คนตัวเล็กกว่าเดินมาเทียบข้างชายหนุ่ม เงยขึ้นมองคนตัวสูง พร้อมบึ้งหน้าใส่ไม่เลิก “คุณย่าเนี่ย ยังแข็งแรงจนน่าขนลุกเลยนะคะ แรงดีไม่มีแผ่วเลย” เจ้าหล่อนทำท่าขยาดเต็มที ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี การอบรมของรจิต ยังคงเป็นเรื่องหลอนประสาทของเธอไม่เปลี่ยน “นั่นสิ พี่จะไม่ตกใจเลย ถ้าท่านจะอยู่จนเหลนโต” รามสูรเข้าผสมโรงนินทาคนเป็นย่าตนเองไปด้วยอีกคน “อะไรกันคะ พี่รามจะแต่งงานแล้วเหรอ? ถึงพูดถึงเหลนคุณย่าเนี่ย” หญิงสาวหรี่ตามมองคนข้างกายอย่างจับผิด ก่อนหน้านี้เจ้าหล่อนก็ได้ยินข่าวลือที่น่าเชื่อถือได้เหมือนกันว่าชายคนนี้ กำลังคบหากับใครบางคนอยู่ แต่เธอไม่สนใจ เลยไม่รู้ว่าเธอผู้โชคดีคนนั้นเป็นใคร หรืออีกใจ... ก็ไม่อยากรับรู้ “ใช่ที่ไหนกันล่ะ พี่ยังไม่มีแฟนเลย จะไปหาเหลนให้คุณย่าจากไหน” รามสูรรีบแก้ตัวทันที ต่อให้ใครคิดอย่างไรก็ช่าง แต่อย่างน้อยคนตรงหน้าห้ามเข้าใจผิดเด็ดขาด!! นัยน์ตาสีนิลของรามสูร จับจ้องไปยังวงหน้าขาวใสไร้เครื่องสำอางของหญิงสาวตรงหน้า ผมยาวสวยสีสนิมของเธอกำลังถูกมัดขึ้นเป็นก้อนกลมด้านบนศีรษะ มีลูกผมตกลงมาปะทั้งใบหน้าและลำคอระหง ดวงตากลมโตจ้องมองเขาด้วยเช่นกัน กระพือแพขนตายาวปริบ ๆ เหมือนใคร่อยากรู้เต็มที่ พร้อมเม้มริมฝีปากอิ่มแน่นโดยไม่รู้ตัว “อ้าว ก็เห็นพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เอมก็นึกว่าอยากจะเปิดตัวคนรู้ใจเสียอีก” เธอยู่หน้าใส่คนตัวสูงกว่า ก่อนจะเดินนำหน้าไป แต่กลับถูกรั้งเอาไว้ “แล้วเอมล่ะ... มีแฟนหรือยัง?” ชายหนุ่มถามไปอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาสีนิลของเขายังคงจ้องมองเธอด้วยลุ้นคำตอบจากปากเจ้าหล่อน รู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้สถานะหัวใจของเธอกำลังว่าง ไม่อย่างนั้นจะรีบลาออกจากโรงแรมที่เคยทำงาน และบินกลับบ้านหรือ? “ไม่มีค่ะ และ... ไม่อยากมีด้วย” เสียงใสเบาลง พร้อมเธอที่กำลังเบือนใบหน้าหนี ดวงตากลมสลดไม่กล้าจ้องมองชายตรงหน้าตรง ๆ เหมือนอย่างที่ชอบทำ เพราะ... ไม่อยากนึกถึงมันอีก ความรักบ้าบออะไรกัน “ทำไมล่ะเอม?” รามสูรเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่าอีกนิด ไม่อยากเห็นใบหน้านั้นเศร้าเลย “เข็ดแล้วค่ะ... ความรักมันไม่มีจริงหรอก ต่อให้คบกันนานแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันอยู่ดี ที่เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน เอมก็เคยคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้เอมไม่คิดแบบนั้นแล้วค่ะ... เอมเบื่อแล้ว” “เอม...” “เอมกลับก่อนนะคะพี่ราม รู้สึกเพลียนิดหน่อย” เธอหันมายิ้มให้ชายหนุ่มเพียงครู่ ก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับคืน พร้อมเดินออกไปทางประตูรั้วปกติ ส่วนอีกมุมหนึ่ง ผู้อาวุโสของบ้านทั้งสองคนกำลังมองภาพของหนุ่มสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา พร้อมเกิดความหวังในใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าอยากจะเห็นหน้าเหลนก่อนตายสักหน่อย “คุณแม่คะ ไม่ใช่ว่าคิดจะจับคู่ให้เด็ก ๆ หรอกนะคะ?” ‘ราตรี’ ถามคนซึ่งเป็นแม่สามีขึ้น แต่ก็อดเห็นด้วยไม่ได้ “แล้วมันไม่ดีหรือแม่ราตรี อย่างน้อยหนูเอมคนนี้เราก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ นิสัยใจคอ อะไรก็ถือว่ารู้หมดไส้หมดพุง ถ้าตารามกับหนูเอมลงเอยกัน มันน่าจะดีไม่น้อย” คนเป็นย่าคิดให้เสร็จสรรพ “เรื่องนี้หนูอยากให้เด็ก ๆ คิดกันเองมากกว่านะคะ จะไปบังคับฝืนใจคงไม่ดี” คนเป็นแม่ก็ต้องห่วงความรู้สึกของลูกชายเป็นธรรมดา แม้ในใจตอนนี้อยากได้ลูกสะใภ้เป็นอคิราห์ก็ตาม “แม่ไม่ได้บังคับเสียหน่อย แต่อาจจะทำอะไรให้มันง่ายขึ้นเท่านั้นเอง” ลูกสะใภ้ผู้เคยหลงเข้าไปในแผนการของคนตรงหน้า แอบรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย กลัวเหลือเกิน... กลัวว่าจะเกิดเรื่องแผง ๆ จนเกินกว่าจะจินตนาการได้ บ้านหลังเล็กขนาดกลางสองชั้น เหมาะกับการอยู่ด้วยกันแค่สองคนแม่ลูก และเด็กรับใช้แบบไปกลับอีกสักคน ตอนนี้เจ้าของบ้านกำลังเดินหาวลงมาหลังจากหมกตัวในห้องนอนดูหนังเรื่องใหม่มาทั้งคืน จนกระทั่งมาเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เดาได้ไม่ยากเลยว่าตอนนี้แม่ของเจ้าหล่อนกลับมาถึงบ้านแล้ว “คุณแม่กลับเร็วจัง ไหนบอกว่าจะไปหลายวันไงคะ?” คนเป็นลูกสาวเท้าเร็วขึ้น และมาทิ้งตัวบนโซฟาตัวยาวซึ่งคนเป็นแม่กำลังนั่งจิบชายามเช้าพร้อมคุกกี้อบเองจากเชฟมือทองประจำบ้าน “ตื่นสายนะ” เธอตำหนิลูกสาวทันที “แหม~ ร้านเอมก็ไม่ได้หนีไปไหน อีกอย่างมีเด็กที่ร้านคอยดูแลเปิดร้านแล้ว เอมเข้าสายไม่เห็นเป็นอะไรเลย” อคิราห์เอาลูกอ้อนเข้าช่วยไม่ให้โดนบ่น “ไม่ได้นะเอม เป็นเจ้านายก็ยิ่งต้องไปแต่เช้า เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้แก้ไขทัน” ‘อาภา’ ดุลูกสาวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าไอ้นิสัยขี้เกียจตื่นเช้าของเธอ เมื่อไหร่จะแก้หาย “โอเค ๆ เอมยอมรับผิด ว่าแต่... คุณแม่บอกว่าจะไปดูที่ที่เชียงใหม่ไม่ใช่หรือคะ? แต่ทำไมกลับมาเร็วจัง” อคิราห์ถามด้วยความสงสัย แต่กลับทำให้ใบหน้าสวยของคนเป็นแม่หงิกลงทันทีเมื่อนึกถึง “อะไรคะ? มีปัญหาหรือเปล่า?” “ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าเท่านี้ แต่พอไปกลับขายอีกราคา แม่จะอยู่ต่อไปทำไม ชิ! สงสัยอยากจะโก่งราคาอีกแน่ ๆ มันน่าโมโหนัก!!” คนฟังอย่างลูกสาวยิ้มเจื่อน ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้แม่ของตนใจเย็นลง ปกติแล้วอาภามักเป็นคนใจเย็นเสมอ ยกเว้นเรื่องที่รู้สึกไม่ยุติธรรม เธอไม่ยอมง่าย ๆ เด็ดขาด “คุณแม่เลยกลับมาหรือคะ?” อคิราห์ถามอีกครั้ง เพราะดูเหมือนแม่ตนจะมีเรื่องให้คิดต่อ “หรือว่า...?” “ก็อย่างที่เอมคิดนั่นแหละ คิดว่าที่ตาบอดตรงนั้นจะมีใครมาซื้อกันเชียว มาบอกขอขึ้นราคา ทำทีเป็นพูดให้แม่ได้ยินว่ามีคนอื่นจะซื้อ ชิชะ!! คิดว่าแม่มองไม่ออกรึ!?!” เธอยังฮึดฮัดไม่เลิก เมื่อนึกถึงทั้งนายหน้าและเจ้าของที่ตอนกำลังเจรจากัน อคิราห์หันไปหาเด็กรับใช้ เธอกำลังเดินมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นจัด เพราะรู้ดีว่าเวลานายหญิงของบ้านกำลังโมโห ไม่มีอะไรหยุดได้ นอกเสียจากเธอจะหยุดด้วยตัวของเธอเอง “ขอบใจจ้ะ” อคิราห์รีบคว้าแก้วน้ำส่งตรงให้แม่ตนเองทันที “น้ำค่ะคุณแม่ ชามันร้อน ตอนนี้คงไม่เหมาะ” “เฮ้อ!!” อาภาคว้าแก้วน้ำมากระดกอึกใหญ่ เพียงครู่อารมณ์คุกรุ่นก็เริ่มสงบลง “จริงสิเอม เมื่อวานไปบ้านคุณย่าจิตมาหรือ ขิงมันบอกแม่” “ค่ะ พอดีพี่รามกลับมาแล้ว เลยอยู่ยาวเลย” “รามกลับมาแล้วเหรอ? แม่ไม่รู้เลยแฮะ แล้วจะกลับมาอยู่ถาวรเลยหรือเปล่า หรือกลับมาชั่วคราว?” เป็นคำถามที่ทำเอาหญิงสาวคิดได้ขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่อยู่ด้วยกันเกือบทั้งวัน แต่เธอกลับลืมถามคำถามสำคัญไปเสียได้ “ตายแล้ว! เอมลืมถามเรื่องนี้ไปเลย อาจจะกลับมาพักผ่อนมั้ง... ไม่รู้สิคะ เอมก็ลืมถาม” “แกนี่น้า~” คนเป็นแม่ส่ายหัวเบา ๆ “เดี๋ยวเอมถามให้นะ แต่ว่า...” เจ้าหล่อนยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาซึ่งสายมากแล้ว “...เอมต้องไปร้านแล้ว มีลูกค้าสั่งทำเค้กเอาไว้ เดี๋ยวไม่ทัน” “รีบไปเถอะ” “ไปแล้วนะคะ คุณแม่ก็อย่าโมโหให้มันมาก เดี๋ยวความดันขึ้น” ก่อนจะไป เจ้าลูกตัวดียังแหย่แม่ของตนอีกหนึ่งที ก่อนจะมีเสียงบ่นตามมา อคิราห์เลยย้ายร่างของตัวเองออกจากบ้านด้วยความเร็ว แต่ดันไปสะดุดตากับรถยนต์คันใหญ่ ซึ่งจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าหล่อนกำลังเดินออกมา เมื่อเห็นคนที่รอเดินออกมาแล้ว รามสูรจึงลดกระจกรถยนต์ของตัวเองทันที “ขึ้นมาสิเอม เดี๋ยวพี่ไปส่ง” “พี่รามเหรอ?” หญิงสาวเดินตามเสียง ก่อนจะไปเกาะขอบประตูรั้วซึ่งสูงแค่อกมองคนในรถอย่างสงสัย “พี่รามจะไปไหนคะ?” “พี่จะไปเจอคนรู้จักหน่อย ขึ้นมาเร็ว เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ร้าน” รามสูรยังคงยิ้มให้เด็กสาวของตน ส่วนเธอก็ตอบรับน้ำใจแต่โดยดี มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้อคิราห์ไม่อยากขับรถยนต์ เวลาเธอจะไปไหน หากไม่ไกลมาก จักรยานเท่านั้นคือคำตอบ แต่เมื่อไหร่ต้องไปที่ไกล ๆ ไม่แม่ก็เพื่อนสนิทของเธอจะเป็นคนขับเสมอ แต่ดูเหมือนว่าตั้งแต่นี้ต่อไป... จะมีคนขับคนใหม่เสียแล้ว ประตูรถปิดลง หญิงสาวยังคงจ้องมองคนขับคนใหม่ของตัวเองไม่เลิก “พี่รามมารอเอมหรือคะ?” “ประมาณนั้น เห็นว่าเอมยังไม่ออกไป เลยรอหน่อยดีกว่า เผื่อจะไปส่งเอมที่ร้าน และแวะซื้อขนมและเครื่องดื่มติดไปด้วย” รามสูรเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง “ถ้าเอมไม่อยากขับรถ เดี๋ยวพี่ไปส่งทุกวันเลยก็ได้” “รู้เรื่องนั้นด้วยหรือคะ?” อคิราห์ถามด้วยเสียงในลำคอ เธอไม่อยากนึกถึงมันอีก “ก็... พอรู้มาบ้าง แต่ถ้าเอมไม่อยากพูดถึง ไม่ต้องพูดก็ได้” เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าของหญิงสาว รามสูรจึงเปลี่ยนเรื่องทันที “จริงสิเอม เกี๊ยวเป็นยังไงบ้าง พี่ไม่ได้เจอนานมากแล้ว” “เดี๋ยวไปก็รู้ค่ะ เกี๊ยวกลายเป็นพวกคลั่งกาแฟแบบเต็มตัว ทำเองทุกขั้นตอน ระวังอย่างเดียวคือ... จะไปกินร้านอื่นไม่ได้!” ได้ทีอคิราห์โพรโมตกาแฟของร้านเสียเลย และทุกครั้งที่พูดถึง เจ้าหล่อนมักจะยิ้มกว้างเสมอ ‘ใช่เอม... เอมเหมาะกับรอยยิ้มที่สุดแล้ว เรื่องที่ทำให้เอมรู้สึกไม่ดี พี่จะจัดการทั้งหมดเอง’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD