ตอนที่ 4 ดีลลับของฝีพายมือหนึ่ง 2/2

2991 Words
สามสาววัยเกษียณเดินออกมาจากอาสมชั่วคราวของแม่หมอตาเพชร เรื่องที่หญิงผู้นั้นพูดออกมา ทำให้ทั้งคนเป็นแม่และคนเป็นย่ากลุ้มไม่ใช่น้อย “ลองไปคุยกับเด็ก ๆ ก่อนดีหรือเปล่า?” ราตรีถามขึ้น หลังจากบรรยากาศรอบข้างเงียบอยู่นาน “ราตรี เธอจะเชื่อหมอดูคนนั้นพูดจริงหรือ ไอ้เรื่องเคราะห์ใหญ่อะไรนั่นมันก็น่ากลัวนะ แต่ฉันไม่อยากบังคับไอ้เอมมัน” อาภาดูจะคิดหนักกว่าใคร ก็อย่างว่า ลูกสาวทั้งคน ยิ่งเหลือกันแค่นี้ จึงไม่อยากบังคับลูกสาวให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ “แต่ฉันอยากให้เด็ก ๆ ลงเอยกันนะ” ผู้อาวุโสที่สุดพูดขึ้น หลังจากเงียบมานาน “อาภา เธอลองคิดดู รามหลานฉันมันไม่ดีตรงไหน ไม่เหมาะจะเป็นลูกเขยเธอรึ?” “ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ฉันแค่ไม่อยากบังคับลูกสาวเท่านั้นเองค่ะ เรื่องแต่งงานมันเรื่องใหญ่ เอมมันเป็นผู้หญิง มีแต่เสียกับเสีย” อาภาพูดขึ้น ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความกังวลไม่ต่างจากเพื่อนอย่างราตรีเลย “หนูเห็นด้วยนะคะคุณแม่ เราเห็นเอมมาตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ว่าเป็นคนน่ารักมากแค่ไหน แต่ถ้าเด็ก ๆ ทั้งสองใจไม่ตรงกัน เราก็ไม่ควรฝืน” ลูกสะใภ้อย่างราตรีกล่อมแม่สามี แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยฟังสักเท่าไหร่ “แต่แม่ว่ารามไม่ใช่นะ...” รจิตสังเกตมาตลอด หลายวันมานี้หลานชายมีเรื่องให้ออกนอกบ้านได้ทุกวี่ทุกวัน ทั้ง ๆ ที่บอกกับพ่อตนว่าอยากพัก แต่ดูเหมือนอยากทำอย่างอื่นมากกว่า “... เช้าถึงเย็นถึงเลยไม่ใช่รึ? เธอก็เห็นใช่หรือเปล่า... อาภา” คู่แม่สามีลูกสะใภ้มองไปยังหญิงซึ่งครุ่นคิดหนัก เธอไม่ใช่ไม่ชอบรามสูร แต่ประเด็นหลักคือลูกสาวตัวเองต่างหาก เจ้าหล่อนเพิ่งช้ำรักมาแผลยังไม่ทันหายดี จะให้มาปลูกต้นรักใหม่เสียแล้ว คนเป็นแม่ก็อยากให้ลูกสาวได้พักบ้าง แต่ดูเหมือนอีกสองคนจะคิดไม่เหมือนเธอนี่สิ “ฉันรู้เรื่องของเอมมันนะอาภา เจ้ารามอาจจะทำให้เอมดีขึ้นก็ได้ ลองคุยกับลูกสาวดูดีไหม ฉันว่า... เอมกับราม น่าจะไปกันได้นะ” ความอยากได้ลูกสะใภ้คนนี้ รจิตจึงหว่านล้อมคนเป็นแม่ของว่าที่ลูกสะใภ้เต็มที่ “ฉันไม่ค่อยแน่ใจเลยค่ะ แต่... ฉันจะลองคุยกับเอมมันดูนะคะ แต่ถ้าลูกไม่แต่ง ฉันก็จะไม่บังคับ” เท่านี้ก็พอ... อาภาเดินกลับไปที่รถยนต์ของตัวเอง เจ้าหล่อนมีเรื่องให้คิดเยอะเกินไปจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าอีกสองคนจะคิดไม่ตกไม่แพ้กัน “คุณแม่! กดดันอาภาเกินไปแล้วนะคะ” ราตรีตำหนิแม่สามีตัวเองทันที ยิ่งอาภาคนนี้เป็นเพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ของเจ้าหล่อนด้วยแล้ว เลยไม่อยากมาผิดใจกันเพราะเรื่องแบบนี้ “หรือจะให้นังดาราคนนั้นมาเกาะแกะตารามอีก แม่ไม่ชอบหรอกนะ!” รจิตตวาดลูกสะใภ้ทันที ยิ่งนึกถึงใบหน้าเชิดรั้นในวันที่เจ้าหล่อนมาตามหารามสูรที่บ้าน คนเป็นย่ายังรู้สึกคันไม้คันมือไม่หาย! ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงคือเรื่องนี้ต่างหาก ต่อให้เกิดอะไรขึ้น รจิตยังคงต้องการให้หลานชายลงเอยกับอคิราห์คนนี้เท่านั้น อย่างน้อยเพื่อกันผู้หญิงที่ตนไม่ชอบไปในตัว แต่ถ้าความรักมันผลิบานจนให้กำเนิดเหลนตัวเล็ก ๆ สักคน คนเป็นย่าเองก็ดีใจ และตายตาหลับสักที “โอ๊ย~” หลังจากปิดร้านเรียบร้อย งามรัมภาจึงมาส่งเพื่อนสนิทถึงที่บ้าน หลังจากตะลุยแดนขนมมาทั้งวัน หากหลับได้ อคิราห์คงหลับทั้ง ๆ ที่เดินอยู่ไปแล้ว ตอนแรกเจ้าหล่อนตัดสินใจจะเปิดร้านเล็ก ๆ เพื่อได้อยู่กับสิ่งที่ชอบ แต่พอเป็นงานขึ้นมา และมีความรับผิดชอบมากมายที่ต้องแบกรับ ...มันไม่สนุกอย่างที่คิด!! ไหนจะมีเรื่องกำไรขาดทุนเข้ามาอีก ทั้งเรื่องลูกจ้าง ทั้งคู่แข่ง ไอ้ความต้องการอยากทำขนม และนั่งอ่านหนังสือสบายใจของเธอ มันมลายหายไปจนสิ้น… อยากปิดร้านเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย “ลงไปได้แล้ว” งามรัมภารีบไล่เพื่อนเธอลงจากรถยนต์ของตัวเองทันที “ฉันมีที่ที่ต้องไปต่อนะเอม” “รู้แล้วน่า~” อคิราห์หอบร่างซึ่งกลิ่นขนมอบคละคลุ้งไปทั้งตัวลงจากรถยนต์ของเพื่อนตนด้วยความเหนื่อยล้า แต่ยังไม่ทันจะหันมาบอกลา เจ้าเพื่อนของหล่อนก็รีบออกรถไปทันที ไม่รู้ว่ารีบอะไรนักหนา “นัดสาวไว้หรือยังไง?” รสนิยมของเพื่อนสนิทคนนี้อคิราห์รู้ดี ว่างามรัมภาไม่ชอบผู้ชาย แต่ชอบผู้หญิงน่ารักเป็นพิเศษ เป็นห่วงก็แค่เรื่องเดียว กลัวไปติดโรคขึ้นมาสักวัน เพราะเจ้าหล่อนนั้น… กินไม่เลือก!! แค่ถูกใจเจ๊เกี๊ยวคนนี้พร้อมเปย์!! และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเจ้าหล่อนจึงเป็นห่วงรายรับและกำไรของร้านเป็นพิเศษ ถ้าขาดทุนขึ้นมา จะเอาเงินที่ไหนไปเปย์สาว ๆ ของเธอกันล่ะ!! วันนี้ข้างบ้านเงียบเป็นพิเศษ แต่ก็ช่างเถอะ อคิราห์เหนื่อยจนไม่อยากสนใจอะไรแล้ว เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน กลับเจอเจ้าบ้านอย่างแม่ตนนั่งหน้าเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ห้องโถงกว้าง เป็นจุดนั่งเล่นและรับแขกของบ้าน นอกจากชุดโซฟาแบรนด์หรูที่ได้มาเป็นของขวัญตอนทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ก็ยังมีใบประกาศและถ้วยรางวัลต่าง ๆ ติดเรียงรายจนเต็มผนัง ยืนยันเลยว่าลูกสาวของบ้านนี้เก่งกล้าสามารถในเรื่องขนมอบเป็นพิเศษ คนเป็นแม่ถึงกับยอมตัดใจขายที่ซึ่งซื้อเอาไว้เกร็งกำไรเพราะต้องการให้ลูกสาวเรียนหลักสูตรชื่อดังเลยทีเดียว อคิราห์ทิ้งตัวลงนั่งข้างแม่ของตน เมื่อรู้สึกถึงการกลับมาของลูกสาว อาภาจึงยอมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าหล่อนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “กลับมาแล้วเหรอ?” “เป็นอะไรไปคะคุณแม่ นั่งหน้าเครียดเชียว ไฟก็ไม่เปิด” คนเป็นลูกคว้ารีโมตบนโต๊ะขนาดเล็ก เป็นกระจกใสสีดำเข้ากับโซฟาสีน้ำเงินเข้ม เพื่อกดปุ่มเปิดไฟในบ้านให้สว่างทันที “แม่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ ว่าแต่… วันนี้กลับเร็วจัง” คนเป็นแม่ถามขึ้น เพราะปกติลูกสาวจะกลับดึกจนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ว่าขยันอะไรหรอก แต่เธอมักติดลมอ่านหนังสือจนเพลิน เลยลืมเวลาบ่อยครั้ง “เกี๊ยวมันเร่งเอมค่ะ สงสัยนัดสาวเอาไว้” เมื่อนึกถึงเพื่อนตน ก็ถอนหายใจออกมายาว “เอมชักกลัวแล้วสิ ถ้าเกี๊ยวมันติดโรคขึ้นมาจริง ๆ เราต้องหาบาริสต้าใหม่หรือเปล่า?” “เอม อย่าพูดเป็นลางร้ายสิ แค่เอมก็พอแล้ว” เสียงของอาภาเบาลงอยู่แค่ในลำคอ “เอมเกี่ยวอะไรคะ?” แต่ลูกสาวหูดีดันได้ยินเสียได้ “ว่าแต่คุณแม่เถอะค่ะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?” จะบอกว่าไม่มีก็เหมือนโกหก อาภาไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวง หรือคำทำนายอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนเพื่อนของเธออย่างราตรี รายนั้น ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เจ้าหล่อนพร้อมจะเชื่อทุกอย่างหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์!! “คืออย่างนี้นะเอม…” อาภายังคงลังเลเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่จะพูดออกไปตอนนี้ มันเป็นผลดีต่อลูกของตัวเองหรือไม่ “… คือแม่คิดว่า” อคิราห์ตั้งใจฟังจนตอนนี้เกร็งไปทั้งตัว เธอรู้ดีว่าแม่ของตนเป็นคนอย่างไร เวลาจะพูดหรือทำอะไรมักจะชัดเจนเสมอ และการที่คนเป็นแม่มีอาการแบบนี้ เธอเลยอดคิดไม่ได้ว่า… “คุณแม่ อย่าบอกนะคะ…” “เอม…” รู้เรื่องแล้วเหรอ? “หรือว่าคุณแม่… โอนเงินให้แก๊งคอลเซนเตอร์หรือคะ?” “เออ…” “โธ่!! ข่าวก็ออกโครม ๆ ว่าอย่าโอนเงินง่าย ๆ นี่โดนไปเท่าไหร่คะ? ถึงคุณแม่จะมีเงินเก็บก็จริง แต่ถ้าเสียในเรื่องไม่ควรเสียแบบนี้ก็น่าเสียดาย ไปแจ้งความกันค่ะ” ลูกสาวลุกพรวด แถมยังทำหน้าเครียดกว่าแม่ตนเองเสียอีก แม้เมื่อก่อนเจ้าหล่อนจะใช้จ่ายแบบสบายใจก็เถอะ เพราะนอกจากมรดกของฝั่งพ่อแล้ว ยังมีเงินปันผล และรายได้จากค่าเช่าที่ดินต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ากระเป๋าแม่ตนทุกเดือน จนกระทั่งได้ลองมาหาเงินเอง… มันเลยกลายเป็นว่าตอนนี้... อคิราห์ขี้เหนียวโดยไม่รู้ตัว “มะ… ไม่ใช่แบบนั้น” อาภารีบดึงลูกสาวลงมานั่งที่เดิมทันที “แล้วมันเรื่องอะไรล่ะคะ? นอกจากเรื่องเงิน คุณแม่จะเครียดเรื่องอะไรได้อีก” “นี่แกว่าแม่หรือเอม?” “ขะ… ขอโทษค่ะ” อคิราห์ยิ้มแหย ความตระหนี่ของแม่ตน เป็นที่รู้กันไปทั่ว “แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน คุณแม่มีเรื่องอะไรให้คิดมากล่ะคะ?” “ก็เรื่องแกไงเอม” เป็นเรื่องปกติที่แม่จะห่วงลูกของตน เมื่อลองคิดตามเหตุและผลของเพื่อนบ้านซึ่งตนเคารพมาหลายปี บวกกับเรื่องที่ลูกสาวเพิ่งเจอมา ใจของอาภาจึงอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับรามสูรไปเสีย จะได้ไม่มีเรื่องอะไรให้ห่วงอีก แต่อีกใจ… ก็ไม่อยากฝืนใจลูกของตนด้วยเช่นกัน “คุณแม่… เอมไม่เป็นอะไรแล้ว เรื่องนั้นมันผ่านไปนานแล้ว… เอมสบายดี ไม่ต้องห่วงเอมนะ” อคิราห์ยิ้มให้คนเป็นแม่มั่นใจ เรื่องที่ตนโดนทิ้งจนต้องหอบใจและร่างช้ำ ๆ กลับบ้าน มันเป็นเรื่องที่หลายคนรู้ แถมยังโดนเอาไปพูดเล่นสนุกปาก บอกว่าเจ้าหล่อนโดนหลอกกินฟรีบ้าง เป็นเมียน้อยเขาบ้าง ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว มีเพียงเธอที่รู้ดีที่สุด … ว่ามันไม่จริง!! “แม่รู้ดีว่าเอมของแม่เป็นอย่างไร แต่… เอมไม่อยากเริ่มใหม่เลยหรือ?” อคิราห์มองหน้าของแม่ตน และจ้องลึกลงไปในดวงตากลมหวาน มันสืบทอดให้เธอแบบถอดพิมพ์เดียวกันเลยก็ว่าได้ “แม่กำลังจะหาแฟนให้เอมเหรอ?” “ก็… ประมาณนั้น” “ไม่เอาค่ะ ถึงเอมจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เอมยังไม่พร้อมจะเริ่มใหม่กับใครทั้งนั้น” อคิราห์ลุกพรวด และทำท่าจะตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปห้องนอนของตัวเองบนชั้นสอง แต่กลับถูกแม่ของตนคว้าข้อมือเอาไว้แน่น “กับราม… ก็ไม่พร้อมเหรอ?” “คะ?” เจ้าหล่อนหันมองแม่ของตน พร้อมเบิกดวงตากลมกว้าง “มะ… มันเกี่ยวอะไรกับพี่รามคะ?” “แม่อยากให้เอมแต่งงานกับราม เรื่องนี้คุณย่าจิตเขาอยากให้แม่มาคุยกับเอม” “ตะ… แต่งงาน หรือคะ?” เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเองที่เคยมี เจ้าหล่อนได้ลืมไปจนหมด เพราะตอนนี้เธอไม่อยากนึกจะฝากใจไว้กับใคร รามสูรก็เหมือนพี่ข้างบ้านที่สนิทกันเท่านั้น หากจะต้องแต่งงานกับเขาเข้าสักวัน… จะต้องตอบปฏิเสธไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมกลับพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร… และไม่รู้เลยว่าต้องตอบคำถามนี้อย่างไรดี? “เอม… ขึ้นห้องก่อนนะคะ” อคิราห์ตอบอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันหลังให้คนเป็นแม่และเดินขึ้นบันไดไป อาภายังคงมองตามหลังลูกสาวจนเธอลับสายตา สีหน้าเรียบนิ่งแบบนั้นมันคืออะไร เธอเลี้ยงลูกของตัวเองมากับมือ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่ “โธ่~ เอม” ส่วนฝั่งคนอยากเป็นเจ้าบ่าวเต็มที่… กว่าจะเลี้ยงมื้อหนักให้แม่หมอ เออ… ไม่ใช่ เพื่อนของตนเสร็จ และไปส่งพวกเธอถึงที่ รามสูรเลยกลับบ้านดึกกว่าที่ควรไปมาก แต่สิ่งที่แปลกใจก็คือ ทั้งคุณย่าและคุณแม่ของชายหนุ่ม ยังคงรอคอยการกลับมาของตนอย่างใจจดใจจ่อ “ทำไมยังไม่นอนกันอีกครับ นี่ก็ดึกมากแล้วนะ” รามสูรถามขึ้น แถมทั้งสองคนยังตรงดิ่งมาที่ตัวเอง พร้อมคว้าข้อมือชายหนุ่มไปนั่งตรงโถงกลางบ้าน ดั่งจะสอบสวนเขาให้รู้ความ!! “อะ… ไรครับ?” “ไปไหนมา!?!” คนเป็นย่าถาม แม้หลานชายจะโตมากแล้ว แต่มันอดห่วงไม่ได้ กลัวเหลือเกิน กลัวว่าเจ้าหลานคนนี้ยังตัดแม่ดาราดาวยั่วนั่นไม่ขาด “นั่นสิราม แม่กับคุณย่ารอรามตั้งนานรู้หรือเปล่า!?!” คนเป็นแม่ก็ห่วงไม่แพ้กัน “ผมไปหาเพื่อนสมัยเรียนมาครับ ว่าแต่ทั้งสองคน มีอะไรหรือเปล่าครับ หน้าเครียดเชียว” รามสูรย่นคิ้วถามทั้งสอง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องที่พวกเธอกลัดกลุ้มจนนอนไม่หลับ… มันเรื่องอะไรกันแน่ ก็รามสูรคนนี้ สร้างเรื่องกับมือเลยน่ะสิ! “เอาเถอะ ไม่ไปหาแม่ดาราคนนั้นก็ดีแล้ว ย่าล่ะไม่ชอบเลยจริง ๆ ดูก็รู้ว่าอยากได้แกมากแค่ไหน” คนเป็นย่าตัดบทเรื่องสงสัยเสร็จสรรพ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งตรงข้ามกับหลานชาย พร้อมลูกสะใภ้ของตน “ย่ามีเรื่องจะต้องบอกแก… ราม” “เรื่องอะไรกันครับคุณย่า ผมเพิ่งกลับมาไม่กี่วันเองนะครับ อย่าเอาเรื่องหนัก ๆ มาให้ผมสิ” รามสูรยิ้มเจื่อนแบบจงใจ “อีกอย่าง เรื่องที่คุณย่าห่วงนั่น ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ผมไม่มีวันกลับไปหาจีอีกแน่นอน” ใช่… เพราะผมพยายามหนีเธออยู่ จะให้ผมไปหาเธอได้อย่างไรกัน!?! “ก็ดีแล้ว” พอได้ยินคำตอบของหลานชาย คนเป็นย่าก็เบาใจ ก่อนจะหันไปถามลูกสะใภ้ของตัวเอง “เธอบอกก็แล้วกันราตรี” “คุณแม่ หนูไม่ค่อยอยากพูดเท่าไหร่” “จิ๊!!” ไอ้เรื่องโอ๋ลูกชายราตรีคนนี้ไม่เป็นสองรองใครเลยจริง ๆ จนโตมาขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ยังไม่เลิกตามใจ โชคดีที่คนเป็นย่าสอนมาด้วยมือคู่นี้ ไม่อย่างนั้นคงเป็นคนนิสัยเสียคนหนึ่งแน่ ๆ (หรือคะคุณย่า แต่หลานคุณย่าแสบมากนะคะ) “เรื่องอะไรกันครับ ดึกแล้วนะ ผมง่วงแล้ว” ว่าแล้วก็หาวโชว์หนึ่งที พร้อมขยี้ตาเบา ๆ เพื่อยืนยันว่าตัวเองง่วงจริง ๆ “ราตรี!” อีกครั้งที่รจิตตวาดลูกสะใภ้ของเธอ “โธ่!! ก็ได้ค่ะ” เพราะไม่อยากขัดใจลูกชาย คนเป็นแม่จึงไม่ค่อยอยากพูดเท่าไหร่ หากเทียบความน่ากลัวระหว่างทั้งสองคน ราตรีขอยอมขัดใจลูกชายดีกว่า “คืออย่างนี้นะราม วันนี้แม่กับคุณย่า และอาภาด้วย ไปดูหมอดูมา เขาว่าแม่นเชียวนะ” “ครับ” รามสูรตั้งใจฟัง แม้รู้อยู่แล้วว่าแม่ตนจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ “ก็…” ราตรีหันมองหน้าแม่สามีอีกครั้ง แต่โดนสายตาดุของเธอส่งมาจนต้องพูดต่อ “… เขาว่ารามจะมีเคราะห์ใหญ่” “เคราะห์ใหญ่หรือครับ น่ากลัวจัง” เปิดมาแบบนี้ รามสูรจึงเล่นไปตามน้ำ “ใช่มั้ย!! แม่ก็ว่ามันน่ากลัว แต่แม่หมอคนนั้นเขาบอกทางแก้มาด้วยนะ มันจะผ่อนหนักเป็นเบา คือ… ถ้ารามไม่เชื่อ แม่…” “แต่งงานกับหนูเอมซะ! ย่าสั่ง” รำคาญความพิรี้พิไรของลูกสะใภ้เต็มทน คนเป็นย่าเลยออกโรงเสียเอง แต่คำตอบกลับเหนือความคาดหมาย “ครับ” “เห็นไหมล่ะคะคุณแม่ รามไม่… ฮะ? มะ… เมื่อกี้รามว่าอย่างไรนะ? มะ… แม่รู้สึกได้ยินไม่ค่อยถนัด” คนเป็นแม่อยากได้ยินให้มันถนัดหูมากกว่านี้ “ครับ ตกลงครับ” รามสูรตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมลุกขึ้นยืนเพื่อจะขึ้นไปบนชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องนอนของตัวเอง “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขึ้นห้องก่อนนะครับ คุณแม่… และคุณย่าด้วย” รามสูรเดินไปพร้อมรอยยิ้ม แต่ทิ้งความสงสัยให้อีกสองคนที่เหลือแทน “มะ… มันอะไรกันคะคุณแม่ หนูงงไปหมดแล้วค่ะ” “แม่ก็ไม่รู้ แต่… ก็ดีไม่ใช่รึ? คนของเราไม่ได้ดื้อขนาดนั้น” ไม่มีท่าทีว่าดื้อเลยสักนิด ยอมแต่งตั้งแต่จองตั๋วเพื่อบินกลับมาแล้ว มือถือเครื่องเท่าฝ่ามือถูกควักออกมา พร้อมดูยอดเงินที่เพิ่งถูกถอนออกไป ถือว่าเป็นอลาคาสที่แพงเอาเรื่อง แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้… ถือว่าคุ้มค่า “เอาล่ะ ด่านแรกผ่านไป คราวนี้ก็เหลืออีกด่าน…” ฝีเท้าหยุดลง ก่อนจะหันมองออกไปยังหน้าตาบานเล็ก สามารถมองเห็นบ้านข้างเคียง แถมยังตรงกับห้องนอนของว่าที่เจ้าสาวอีกต่างหาก ห้องของเธอเปิดไฟสว่างจ้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธอ… คงนอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องของเขานั่นแหละ “… เหลือแค่ด่านสำคัญอีกด่าน… เอม” รอยยิ้มค่อย ๆ จุดลงบนริมฝีปากหยักลึกได้รูป และยังจ้องมองหน้าต่างห้องอคิราห์อยู่แบบนั้น ความหวังที่จะได้เจ้าหล่อนมาอยู่เคียงข้าง... กำลังใกล้เข้ามาทุกที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD