เขารั้งร่างบางให้เดินตามจัดการทำแผลให้อย่างดี หญิงสาวกัดฟันแน่นทนกล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ ลมอ่อนๆ ที่เป่าออกจากริมฝีปาก ท่าทางอ่อนโยนยามเขาสนใจกับบาดแผล ยิ่งทำให้ทรมานหัวใจนัก เจ็บที่รักเขาแต่ไม่อาจให้เขารู้ได้ เจ็บที่โดนหมางเมิน
“เสร็จแล้ว” รณวิทย์บอกขณะเก็บอุปกรณ์เข้าที่
“ขอบคุณค่ะ พีขอตัวไปล้างจานต่อก่อนนะคะ”หญิงสาวบอกก่อนจะลุกยืนหมายจะเดินไปทำหน้าที่ตนเองต่อ
“เดี๋ยวทำให้เอง”เขาบอกเสียงห้วน
“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่วิทย์ มันเป็นหน้าที่ของพีนะคะ”
พีรยารีบเดินไปขวางเขาไว้พร้อมบอกเหตุผล ชายหนุ่มชะงักเท้าเมื่อเขากำลังเห็นดวงตากลมโตจ้องมองเขาอยู่ เมื่อมองเลยไปถึงริมฝีปากอิ่มเย้ายวนยิ่งทำให้เลือดในกายพลันสูบฉีด เขาเมินหน้าหนีเพราะหัวใจกำลังเต้นตุบๆ ราวกับจะออกมานอกร่าง
เธอมองเห็นเขาเมินหนีราวกับไม่อยากพูดคุยหญิงสาวก้มหน้าน้ำตาซึม เดินเลี่ยงหนีเข้าไปที่ครัว ไม่อยากให้เขาลำบากใจกลัวว่าเขาจะโกรธเกลียดเธอไปมากกว่านี้
ชายหนุ่มขบกรามแน่น เขาพยายามห้ามไม่ให้ร่างกายทำตามหัวใจแต่มันจะห้ามได้นานสักแค่ไหน เมื่อเขาอยากรั้งร่างบางมากอดเสียเหลือเกิน รณวิทย์ถอนใจยาวแล้วสาวเท้าเดินไปที่ห้องของตนเองเขายังมีหน้าที่ในการตามหาน้องสาวแท้ๆ อยู่
เป็นเวลาเก้าโมงกว่าที่ไซน์ได้เห็นหนุ่มร่างเล็กเดินลงมาจากชั้นบน เอลี่สบตาเขาก่อนเมินหนีเมื่อเห็นดวงตาคมมองมาด้วยท่าทางแปลกๆ จนกระทั่งมาถึงโต๊ะอาหาร ร่างเล็กนั่งลงตรงข้ามในขณะที่สาวใช้ทำหน้าที่ตักอาหารให้
“ชุดเหมาะกับคุณดีนะ”ไซน์เอ่ยทัก แล้วหยิบแซนวิสใส่ปาก
“ครับ”
แม้จะรู้สึกแปลกที่ต้องใส่เสื้อเชิ้ตผู้ชาย แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อนี่คือการหลบเลี่ยงจากอันตราย ถ้าไม่ทำเช่นนี้เธออาจต้องรับศึกหลายด้าน
“วันนี้เดี๋ยวผมจะพาคุณไปทำงานด้วย ตกลงไหม?”
คิ้วบางเลิ่กขึ้นด้วยความแปลกใจ เขาจะพาเธอไปทำงานด้วยทำไมกัน
“ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะครับ”
“พี่ชายผมอยากให้คุณไปเรียนรู้งานที่บริษัท จะได้รู้ว่าบริษัทเราทำงานกันยังไง” ชายหนุ่มอธิบาย
“แล้วทำไมผมต้องรู้ด้วยล่ะครับ” เธอย้อน
ไซน์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่เอสย้อนถามเช่นนั้น น่าแปลก ปกติลูกชายของตระกูลน่าจะทำงานช่วยบิดาไม่ใช่หรือไง แต่ดูเหมือนว่าเอสไม่ได้มีความสนใจกับงานบริษัทเอาเสียเลย
“คุณไม่คิดจะทำงานช่วยพ่อคุณหรือไงครับ” สีหน้าไซน์สงสัยในตัวหนุ่มน้อยคนนี้มากขึ้น
“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าพี่วิทย์น่าจะดูแลเรื่องนี้ได้ดีกว่าผม” เอลี่รีบแก้
“แล้วคุณจะเอายังไงล่ะครับ จะไปหรือไม่ไป”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้สิ่งที่อยากทำคือการหาข่าวคราวของครอบครัว ไม่รู้ป่านนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ตัวเองดันมาติดกับไซน์ราวกับเงา
“ไปก็ได้ครับ”
รถเคลื่อนจากคฤหาสน์ สู่บริษัทยักษ์ใหญ่ ร่างบางเดินตามเข้าตัวตึก พนักงานที่เดินผ่านมาต่างก้มศีรษะทักทายอย่างมีมารยาท ไซน์ยิ้มแย้มตอบกลับเช่นกัน ไม่นานร่างบางหยุดยืนหน้าประตูห้อง ไซน์เป็นคนเปิดแล้วหันมามอง
“เข้ามาได้เลยครับคุณเอส” ชายหนุ่มบอกแล้วเดินนำ
หญิงสาวเดินตามเขาเข้าไปด้านใน ก่อนเบ้ปากใส่แผ่นหลังด้วยความหมั่นไส้ นับวันเขาจะยิ่งตีเนียนทำสนิทชิดเชื้อกับเธอมากขึ้น ไม่รู้ว่าหมอนี่หวังอะไรกันแน่ ทำละลาบละล้วงหมายจะเอาข้อมูล กำลังคิดไม่ดีอยู่ล่ะสิ เชอะ! ฝันไปเถอะ คคนอย่างเธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น
“เชิญนั่งบนโซฟา เดี๋ยวสิบเอ็ดโมงผมจะพาคุณเข้าไปร่วมประชุม” เขาบอกก่อนเดินเลี่ยงไปนั่งประจำโต๊ะทำงาน
“อะไรนะครับ!” เอลี่ร้องออกมาด้วยความตกใจ
ไซน์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหวานเล็ก เขาจ้องเขม็งด้วยความสงสัย ทำไมเอสถึงได้มีเสียงแหลมเล็กราวกับผู้หญิง หรือว่าเขาจะหูฟาดไปเพราะคิดถึงเอลี่มากเกินไป
“ทำไมคุณต้องตกใจด้วยล่ะครับ มันก็แค่การประชุมระหว่างพี่น้องของผมเท่านั้นเอง”
“ขอโทษนะครับ พอดีผมนึกว่าคุณจะให้ผมเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของบริษัท”
เวลาผ่านจนเกือบสิบเอ็ดโมง ไซน์พาเอสเข้าร่วมประชุม เอลี่จำได้ว่านี่คือห้องของซาฟ พอประตูเปิดเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลายืนสนทนากันอยู่
“พี่ไซน์สบายดีหรือเปล่า?” เซย์เอ่ยทักพี่ชายทันที
“สบายดี แล้วแกล่ะงานเป็นไง”
“ก็ดีพี่ พอดีพึ่งกลับมาจากมิลานพี่ซาฟก็เรียกตัวมานี่แหละ” เซย์บ่นให้พี่ชายคนรองฟัง
เซ็นเหลือบมองชายแปลกหน้าที่เดินตามพี่ชายเขามาด้วยท่าทีแปลกใจ เมื่อเห็นหนุ่มร่างเล็กยืนอยู่มุมห้องไม่กล้าเข้ามาร่วมวงสนทนา ไซน์หันไปมองแล้วรีบสาวเท้าเดินไปฉุดรั้งให้ร่างเล็กตามมา
หญิงสาวพยายามขืนตัวไม่อยากเดินตามเขาไป แต่เห็นสายตาหลายคู่จับจ้องมาจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ไซน์พาร่างเล็กมาหยุดยืนต่อหน้าพี่น้อง
“ขอแนะนำเลย นี่เอสเพื่อนสนิทผมเอง”ไซน์แนะนำทันที ก่อนยกมือขึ้นกอดคอร่างเล็กอย่างสนิทสนม
เอลี่กัดฟันแน่นฝืนยิ้มออกมาเพื่อทักทายเทพบุตรแห่งตระกูลอัลเล็นโซ่ ซาฟพี่ใหญ่เดินมาที่วงสนทนา
“ไปประชุมกันเถอะพี่มีเรื่องอยากให้พวกแกช่วยเยอะเลย”ซาฟเอ่ย
เขายอมปล่อยมือจากคอเล็ก แล้วก้าวตามเพื่อร่วมประชุม เอลี่สบโอกาสเดินหนีไปนั่งที่โซฟาสีขาวในห้องแทน เธอเหลือบมองทุกคนที่กำลังสนทนาเกี่ยวกับบริษัทกันอย่างเคร่งเครียด ไม่เว้นแม้กระทั่งเขาที่ดูเป็นคนสนุกสนานแต่พอถึงเวลา กลับจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อ
เธอเคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ถึงความหล่อเหลาและเก่งกาจของทายาทตระกูลอัลเล็นโซ่ วันนี้เพิ่งได้มาพบตัวจริง ยิ่งเชื่อว่าเรื่องที่ได้ยินมาไม่ใช่ข่าวลือ พี่น้องสี่คนต่างมีใบหน้าคมเข้มสมคำร่ำลือ ดวงตาสีต่างกันออกไป หากสาวใดได้ยลต่างต้องเฝ้าหลงละเมอแน่นอน