KS ON
แม่งเอ้ย! น่าหงุดหงิดชิบหาย เดินหาซะทั่วบ้านนึกว่านั่งร้องไห้อยู่ แต่ที่ไหนได้กลับมานั่งอี๋อ๋อกลับผู้ชาย แล้วไอ้เชี่ยนี่มันเป็นใครวะเนี่ย!!
“ทำอะไร? ก็เปล่านี่ นายมีอะไรงั้นเหรอ” ถามตาใสได้น่าหมั่นไส้มากเลยว่ะ ซีหันมามองหน้าผมแวบนึงก่อนจะหันไป่คุยกับไอ้ห่านี่ต่อ
“เลิกคุยแล้วกลับบ้านเดี๋ยวนี้” ผมกระชากแขนของซีให้ลุกขึ้นแต่กลับโดนไอ้ห่านั่นปัดมือออก อีกทั้งเธอก็ยื้อตัวเหมือนไม่อยากไปนั่นยิ่งทำให้หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมซะอีก
“นายไปส่งฉันหน่อยสิ” มันยิ้มมุมปากอย่างสะใจก่อนจะพยักหน้าแล้วส่งสายตากวนตีนกลับมาหาผม
“ไปดิ”
“อยากจะลองดีกับฉันใช่มั้ย” เธอหันมามองผมด้วยหางตาแล้วเดินไปขึ้นรถมัน ผมก็อยากจะตามไปกระชากซีให้กลับมายืนข้างๆแต่ทำไม่ได้เพราะมาเรียตามมาเจอพอดี
“หายไปไหนมาคะ มาเรียหาตั้งนาน ...แล้วคุณซีออกไปกับแดเนียลทำไมคะนั่น”
“ไม่รู้! ทำไมต้องถามเยอะ!” มาเรียสะดุ้งตอนที่ผมตะคอกสวนกลับไป ตอนนี้ไม่แคร์อะไรทั้งนั้นแล้วผมเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความหงุดหงิด ใจแม่งก็เอาแต่คิดว่ายัยนั่นจะไปไหน ไปทำอะไรกับไอ้แดเนียลอะไรนั่น
...ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดโว๊ย!!!!
“หายไปไหนมา อาตามหาซะทั่วบ้านเลย ...แล้วเรื่องแต่งงานสรุปว่ายังไง เมื่อไหร่ดี?” แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพื่อนแม่คนนี้หวังอะไรจากตัวผม แต่ที่ไม่ได้พูดตัดสัมพันธ์ก็เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนแม่ไม่งั้นเหรอ หึ จะถอนหงอกให้ไม่เหลือสักเส้นเลย
“ผมยังไม่รีบและคิดว่ามาเรียก็คงรอได้ ...แต่ถ้าคุณอารีบก็สามารถเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวได้เสมอนะครับ ผมเข้าใจ” พ่อของมาเรียหลุดขำออกมานิดนึง ผิดกับหน้าเมียตัวเองที่ตอนนี้โกรธจนหน้าแดงไปแล้ว
“ศึก! พูดแบบนี้ออกมาหมายความว่ายังไง! จะยกเลิกสัญญาของบ้านอางั้นเหรอ! ...ไม่ใช่ว่าไปหลงอีเลขาหน้าลอยนั่นเหรอ” ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่ผู้หญิงคนนี้สามารถหยาบคายกับคนที่ตัวเองไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยมาก่อนได้
...แล้วยังนิสัยเหยียดหยามนั่นอีก
“แม่คะ พอเถอะค่ะ ...มาเรียขอโทษแทนแม่ด้วยนะคะ” ผมเดินออกจากบ้านนั้นโดยที่ไม่ได้เอ่ยลาแม้แต่คำเดียว ยิ่งคิดยิ่งโมโห
Rrrrrrrr(MOM)
“ว่าไงครับ” ออกจากบ้านนั้นไม่ถึงสิบนาทีสายเรียกเข้าจากแม่ก็เด้งเข้าโทรศัพท์เลย ...คงไม่ใช่มีคนโทรไปฟ้องหรอกนะ
(ตาศึก! ไปก่อเรื่องอะไรไว้ที่บ้านอารสรินลูก)
“เหอะ มีคนโทรไปฟ้องแม่อ่ะดิ”
(แล้วเราทำตัวอย่างที่เขาว่าจริงหรือเปล่า ...ทำไมเอาเลขาไปว่าอาเขาแบบนั้น) ว้อท? ยัยป้านี่เล่าอะไรให้แม่ผมฟังบ้างวะเนี่ย
“ไหนแม่เล่ามาให้ศึกฟังหน่อยว่าเพื่อนแม่ฟ้องอะไรมาบ้าง”
(ก็ว่าศึกเอาเลขาไปด่าเขาถึงบ้านทั้งๆที่เขาเองก็พูดดีใส่แถมยังขู่ว่าจะยกเลิกงานแต่งอีกถ้าเอาเรื่องนี้มาบอกแม่)
“อย่าให้ศึกต้องด่าเลยแม่ ...ซีไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลยเพื่อนแม่นั่นแหละที่เอาแต่หาเรื่อง แถมยังจะให้เลขาผมไปกินข้าวกับคนใช้ในครัวอีกนะ” ผมเล่าให้แม่ฟังเป็นฉากๆ ทั้งตอนที่ซีโดนไล่ไปกินข้าวกับคนใช้และยังตอนที่ซีโดนด่าตอนที่ไม่อยู่อีก
(เอายังไงดีล่ะ ทางนั้นไม่พอใจเรามากด้วย แถมยังให้รับผิดชอบด้วยการเร่งวันแต่งงานให้เร็วขึ้นอีกนะ)
“ถ้ารีบมากก็ไปหาเจ้าบ่าวคนอื่นเถอะครับ ...ศึกยอมพ่อกับแม่มาตลอดทั้งเรื่องเรียนและเรื่องการมาทำงานที่นี่ อย่าบังคับให้ศึกต้องทำอะไรที่มันมากไปกว่านี้เลยครับ สวัสดีครับแม่” ผมปิดเครื่องแล้วโยนโทรศัพท์ไปไว้เบาะหลังก่อนจะรีบขับตรงไปที่บ้านของยัยตัวแสบเพื่อชำระความ
ปึง!
“ไปไหนวะ?” ไฟที่ห้องก็มืดหมดไม่มีวี่แววของคนตัวเล็กเลย อย่าบอกนะว่ายังไม่กลับ!
แกร๊ก!
“นายเข้ามาทำไมในห้องฉันอีกเนี่ย?” ผมกระชากซีเข้ามาในห้องแล้วมองสำรวจไปที่เนื้อตัวอย่างละเอียดว่ามีหมาที่ไหนมาซ้ำรอยของผมหรือเปล่าแต่ก็ไม่เจอ
“นายทำเหมือนฉันง่ายกับผู้ชายทุกคนเลยนะ ...ฉันไม่ได้ไปนอนกับเขามาหรอก ฉันไปทำงาน!” ซีตะคอกใส่หน้าแล้วสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของผมแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟาอย่างอ่อนแรง
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
“เหอะ! แล้วเป็นไงบ้างคุยเรื่องสัญญาได้เรื่องมั้ย” ผมมองหน้าเธอด้วยความงงๆอยู่เหมือนกันนะเพราะเมื่อกี้เพิ่งจะเหมือนทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่หรือไงวะ ทำไมดึงเข้าเรื่องงานได้เฉยเลย
“ไม่ถึงไหนอ่ะ ...ฉันทะเลาะกับเพื่อนแม่มาด้วย”
“ทำไม? ทะเลาะเรื่องอะไร”
“ก็เขามาด่าเธอและฉันไม่ชอบเลยว่ากลับไปก็แค่นั้นเอง”
KS OFF
ตึก ตัก ตึก ตัก
...หัวใจบ้ามาเต้นแรงกับคำพูดแบบนี้ได้ยังไงกันเนี่ย
“ประสาทหรือเปล่า ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาทะเลาะกับผู้ใหญ่เพราะฉันเลย” ฉันหันหน้าหนีไปอีกทางแล้วรีบเดินหนีเข้าห้องไปเพราะกลัวว่าถ้าร่างสูงได้เห็นหน้าฉันตอนนี้เขาจะรู้ว่า
...ฉันใจเต้นกับสีหน้าและคำพูดของเขาเมื่อกี้นี้
“ไม่ใจเต้นหน่อยเหรอ” ฉันเลือกที่จะไม่พูดอะไรแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่มุมในสุดของห้องน้ำ มือก็เลื่อนมาจับที่หน้าอกข้างซ้ายไปเพราะกลัวว่าถ้าใจยังเต้นเร็วอยู่แบบนี้ มันอาจจะทะลุอกออกมาข้างนอกก็เป็นได้
“บ้าสิ ...อย่าไปใจเต้นให้กับคนแบบนั้นสิซี” ปากอาจจะพูดแบบนั้นออกไปได้แต่ใจมันกลับคิดได้แค่ว่า
...คืนนี้จะนอนหลับยังไงดี คงจะไม่ได้หลับทั้งคืนแน่เลย
“วันนี้มีประชุมอะไรบ้าง ...ซี!”
“ขอโทษพอดีว่าเมื่อคืนฉันนอนไม่พอ” เขาพยักหน้าแล้วก้มลงเซ็นเอกสารต่ออีกแปปนึงแล้วเดินมาลากฉันให้เข้าไปนอนในห้องพักส่วนตัวของเขา
“นอนไม่พอก็นอนไปเดี๋ยวเอกสารประชุมฉันเตรียมเอง ...อย่าดื้อให้นอนก็นอน” ฉันยอมทิ้งตัวลงนอนแต่ก็ยังข่มตาให้หลับไม่ได้จนรู้สึกถึงแรงยวบข้างเตียงและแรงกอดจากทางด้านหลัง
“นอนเฉยๆ ฉันก็ง่วงเหมือนกัน” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิดแล้วก็ผล็อยหลับไปในที่สุด ฉันค่อยๆหันหน้าไปมองและสังเกตเวลาเขานอนหลับ
...นายมันบ้า ทำไมต้องมาทำให้ฉันชอบมากขนาดนี้
...แล้วแบบนี้ฉันจะทำยังไงกับหัวใจตัวเองได้ล่ะ
...เพราะในเมื่อมันอยู่กับนายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
Rrrrrrrrr (MR)
“เอ็มอาร์? งั้นเหรอ” สายเรียกเข้าดังหลายครั้งจนฉันต้องลุกขึ้นไปดูแต่ก็ยังไม่กล้ากดรับสายซะทีจนสุดท้ายฉันตัดสินใจที่จะรับสายแทนขุนศึกเพราะคิดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมากแน่ๆไม่งั้นคงไม่โทรมาถี่ขนาดนี้
(ฮัลโหล ...พี่ศึก นี่มารีนะข่าวงานแต่งของพี่กับนังมาเรียมันเกิดขึ้นได้ยังไง! ในเมื่อมารีเป็นเมียพี่ พี่จะไปแต่งกับมันได้ยังไง)
“...... ” ฉันนิ่งช็อคจนพูดอะไรไม่ออกเลย ความรู้สึกหลายๆอย่างมันวิ่งขึ้นมาจุกที่อกอีกครั้ง
(ถ้าพี่ไม่พูดก็ไม่เป็นไร! แต่ถ้างานแต่งเกิดขึ้นเมื่อไหร่บอกให้รู้ไว้เลยว่ามารีไม่ยอมแน่ๆ)
“......”
(ไม่คิดจะพูดอะไรเลยหรือไง ...ได้! งั้นเงียบให้ได้ตลอดนะเพราะมารีจะบอกว่ารอบเดือนมารีขาดไปสองเดือนแล้ว คงจะรู้นะว่าหมายถึงอะไร หึ!)
“....” สายถูกตัดไปแล้วและฉันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมน้ำตาเม็ดโตไหลอาบสองแก้มอย่างไม่ขาดสายฉันต้องกัดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นให้มากที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้เขาได้ยิน
“ภาวนาขอแค่มันไม่จริงก็พอ ...ฉันจะได้ไม่ต้องมารู้สึกแย่แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้”