‘โฮมสเตย์’ เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการศึกษาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ระหว่างนักท่องเที่ยวซึ่งเปรียบเสมือนกับแขกที่มาพักกับเจ้าของบ้าน หรือผู้ประกอบการโฮมสเตย์ โดยส่วนใหญ่ผู้ประกอบการโฮมสเตย์มีอาชีพหลักของตนเองอยู่แล้ว
โฮมสเตย์นั้นเป็นเพียงอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวหรือชุมชนนั้นๆ รวมทั้งเป็นการช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในรูปแบบต่างๆออกสู่สายตาชาวต่างชาติ การจัดการโฮมสเตย์ให้ได้มาตรฐานสามารถสร้างความพึงพอใจ และสร้างความประทับใจให้กับแขกผู้ที่มาพัก ดังนั้นการได้รับตรารับรองมาตรฐานและประกาศนียบัตรจากสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่นักท่องเที่ยวจะใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกพักโฮมสเตย์
การบริหารจัดการโฮมสเตย์ ให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่ทางสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวได้สร้างขึ้นมานั้น ต้องสามารถติดตามและประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นจึงต้องมีการแต่งตั้งกรรมการตรวจประเมินขึ้น เพื่อดำเนินการตรวจประเมินตามเกณฑ์ของคู่มือคัดสรรโฮมสเตย์มาตรฐานไทย โฮมสเตย์ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานระดับต่างๆ จะได้ตราสัญลักษณ์และประกาศนียบัตรจากทางสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวต่อไป’
เปรมวดีเงยหน้าจากเอกสารการเข้าอบรมในมือพลางยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม หลายคนออกจากห้องอบรมไปเกือบหมดห้องสัมมนาแล้ว หญิงสาวนั่งอย่างเกียจคร้านที่จะลุกขึ้นไปไหนมาไหน ในชั่วโมงเร่งด่วนที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มุ่งหน้าจะกลับบ้านในช่วงนี้นัก
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าผ้าสั่นจนเจ้าของสะดุ้งต้องรีบคว้ามันมารับสายทันที ยิ่งเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาด้วยนั้นยิ่งต้องรีบคูณสอง
“ค่ะคุณแม่”
“สัมมนาเสร็จแล้วเหรอลูก”
“เรียบร้อยค่ะแม่”
“แล้วเป็นไงบ้าง”
“อาหารอร่อยดีนี่ค่ะคุ้มค่าสมัครเข้าฟังสัมมนา”
“ไม่ใช่! ไอ้ที่ให้ลูกไปสัมมนาเนี่ยเค้าพูดเรื่องอะไรบ้าง”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ แป๋มจัดการได้”
“แล้วแป๋มจะกลับบ้านเมื่อไหร่ แม่อยากคุยเรื่องทำโฮมสเตย์เร็วๆ คนในหมู่บ้านก็ใจร้อนอยากทำเร็วๆ”
“วันจันทร์ได้ไหมคะแม่ วันอาทิตย์ลูกค้าในสปาเราเยอะ หนูไม่อยากให้พี่น้อยทำงานคนเดียว”
“ฮืม...ได้ๆ แม่จะเตรียมของกินอร่อยๆ ไว้รอนะ”
“หนูเหมือนพวกเห็นแก่กินเหรอแม่”
“อ้าว!แม่พูดผิดเหรอ ตั้งแต่เลี้ยงลูกมาเนี่ย เรื่องกินเรื่องใหญ่นะ อ้อ!แล้วก็เรื่องแต่งตัวแปลกๆ ด้วยไง”
เปรมวดีหัวเราะเสียงใสพูดคุยกับแม่อีกสองสามประโยคก่อนวางสาย จำได้ว่าสมัยเรียนเธอกับอารยาจะเป็นคู่ซี้ที่สนิทกันมาก เพื่อนรักชอบเข้าครัวทำอาหารในขณะที่เธอมีหน้าที่ชิมอาหารที่เพื่อนปรุงขึ้น และการแต่งตัวที่ชอบผิดระเบียบมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอมักจะโต้เถียงกับอาจารย์ฝ่ายปกครองเสมอว่า ‘งานสร้างสรรค์’ ชนิดหนึ่ง แต่เธอไม่เห็นว่ามันแปลกตรงไหน? ผู้หญิงชอบใส่ผ้าถุงนุ่งโสร่งมันแปลกหรือไงนะ! เธอว่าผ้าพวกนี้สวยจะตายไป แค่เอามาตัดเย็บให้แบบทันสมัยก็สวมใส่ไปงานต่างๆได้แล้ว นี่ถ้าไม่มีพี่น้อยค่อยตัดเสื้อผ้าให้เธอใส่ในแบบที่เธอต้องการแล้วละก็...เธอคงไม่ได้แต่งตัวสวยๆ แบบนี้แน่ๆ
หญิงสาวยิ้มอารมณ์ดีแล้วเดินกอดแฟ้มเอกสารไว้แนบอกเดินออกมาจากห้องสัมมนาเพื่อจะกลับบ้าน แต่ร่างของเธอก็ต้องชนกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งเหมือนรอใครบางคนเข้าอย่างจังจนร่างบางเกือบจะหงายหลัง โชคดีที่มือใหญ่แข็งแกร่งโอบหลังประคองเธอไว้แนบอกอุ่นของเขาได้ทันเวลา
“อุ๊ย!”
ปลายจมูกของเปรมวดี แทบจะบี้แบนอยู่บนอกกว้างใหญ่เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรเอ่ยปากขอบคุณที่ถูกช่วยเหลือหรือจะตะโกนด่าที่มาขวางทางเดินเธอแบบนี้ แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของกลิ่นหอมละมุนแบบผู้ชายมาดขรึม ดวงตาสีเทาพราวระยับจ้องมองพร้อมมุมปากที่ยิ้มน้อยๆ
“คุณคานัน!”
“เรียกเหมือนจำกันไม่ได้เราเพิ่งเจอกันเมื่อสองวันก่อนไม่ใช่เหรอ” เขาหัวเราะน้อยๆ ออกมา มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตาดลใจให้เขาเจอหญิงสาวตาโตคนนี้อีกครั้งนะ
“คุณมาทำอะไรแถวนี้” เปรมวดีเพิ่งรู้สึกตัวว่าถูกเขากอดจึงใช้สองมือยันอกเขาออกอย่างเสียดายนิดๆ
“ผมน่าจะถามคุณมากกว่า” เขานึกเสียดายที่ต้องปล่อยร่างเนียนนุ่มออกจากอก อกกว้างของเขาซึ่งไม่เคยมีผู้หญิงที่ไหนปฏิเสธนักหรอก เอ๊ะ! หรือว่าเธอคนนี้ไม่ชอบผู้ชายถึงได้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับเขาสักนิด
‘เฮ้!อย่าบอกนะว่า คุณเปรมวดีเป็นเลสเบี้ยน!!!’
“ตกลงว่าคุณมาทำอะไรที่นี่คะ”
“คุณจำไม่ได้เหรอว่าผมพักที่นี่” คานันเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างฉงน
“ห๋า!” ‘ก็ฉันไม่ได้อยากจำเรื่องคืนนั้นนี่’ หญิงสาวอึกอักแล้วใบหน้าหวานก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที “เหรอ..เหรอคะ”
“ครับ” คานันพยักหน้ารับ เขารู้สึกว่าทันทีคู่ยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว “คุณแป๋มจะรีบไปไหนหรือเปล่า ผมอยากคุยคุยด้วย”
“คุย?เรื่องงานหรือคะ” ‘ถ้าคุยเรื่องคืนนั้นฉันจะฆ่านายจริงๆ!’
“ครับ ถ้าคุณแป๋มพอมีเวลา” เขายิ้มบางๆ ไม่คิดว่าผู้ชายอย่างเขาต้องหาเรื่องมาชวนหญิงสาวคุยด้วยเลยเนี่ย “ทานมื้อเย็นด้วยกันได้ไหมครับ”
เปรมวดีมองผ่านประตูกระจกของโรงแรม ด้านนอกยังเห็นรถลาแน่นขนัดจนเผลอถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัว ต่อให้อยากออกไปจากจุดนี้เร็วแค่ไหนก็คงไปไม่พ้นหน้าโรงแรมนี่แน่ๆ ‘เอาเถอะ! ถ้าคุยกันในห้องอาหารคงไม่เป็นไร’
“ได้...” ยังไม่ทันจบประโยคร่างของหญิงสาวก็ถูกเด็กชายตัวเล็กที่วิ่งเข้ามาทางประตูชนโครม!เข้าให้อย่างแรงจนเด็กน้อยหงายหลัง เธอรีบเข้าไปพยุงทันที
“เจ็บหรือเปล่าคะหนุ่มน้อย”
“ไม่ฮะ แต่ไอติมผม...ไอติมของผม”
“คุณแป๋มครับ” คานันชี้นิ้วไปที่กระโปรงตัวสวยที่ขณะนี้มีไอศกรีมเลอะติดเป็นก้อนๆ
“ว้าย!ทำไมเป็นแบบนี้ละลูก” ผู้เป็นแม่ที่ถือถุงชอปปิงเข้ามาพะรุงพะรังอ้าปากค้างอย่างตกใจ แต่หล่อนก็ไม่ยอมปล่อยมือจากถุงเหล่านั้นเพื่อประคองลูกชายวัยเจ็ดขวบ
“เดี๋ยวพี่ซื้อไอติมให้ใหม่เอาไหมจ๊ะ” เปรมวดีไม่สนใจรอยเลอะเทอะที่ประโปรง เธอจับไหล่เด็กชายแล้วยิ้มกว้าง “ไอติมนี่น่ากินจังหนุ่มน้อยซื้อมาจากไหนจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรก็รีบไปเถอะ แม่ต้องเอาของไปเก็บแล้วไปที่อื่นต่อนะลูก...ขอตัวนะคะ” หล่อนใช้สายตาดุๆ เรียกลูกชายให้เดินตามไปโดยที่เด็กชายไม่กล้าพูดอะไร ทั้งคู่เดินเข้าไปในลิฟต์โดยไม่สนใจสายตาของเปรมวดีที่จ้องมองด้วยความไม่พอใจ
“เป็นแม่ที่แย่จริงๆ แทนที่จะห่วงลูกกลับห่วงอะไรไม่รู้”
“แล้วคุณก็เป็นคนแปลกจริงๆ” คานันหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนยื่นให้หญิงสาวเพื่อเช็ดกระโปรงตัวสวยของเธอ “คุณก็ไม่ห่วงตัวเองเลย”
“ก็แค่เลอะเทอะนิดหน่อยเองนี่...แล้วก็เหนอะๆ หน่อย” มือเรียวรับผ้าเช็ดหน้าของเขามาแต่ไม่กล้าเช็ดทั้งกลัวว่าผ้าเช็ดหน้าจะเลอะเทอะและกลัวว่ายิ่งเช็ดจะยิ่งเลอะไปกว่าเก่า
“ผมว่าต้องใช้น้ำช่วยแล้วละ ไปที่ห้องผมเถอะ” เขาโอบไหล่บางแล้วดันให้เดินเข้าไปในลิฟต์
“ห้องคุณ!” เปรมวดีขืนตัวทันที
“หรือคุณจะยืนเป็นเป้าสายตาอย่างนี้
“เอ่อ...” จริงแหะ! เธอเพิ่งรู้ว่าตัวว่ามีสายตาหลายคู่มองมาทางเธอ
‘เอาเถอะ! เค้าเป็นเกย์นี่ คงไม่เป็นไรหรอก’ เปรมวดีพยักหน้าแทนคำตอบแล้วเดินตามร่างใหญ่เข้าไปในลิฟต์จนกระทั่งเขาพาเธอมาที่ห้องพักของเขาอีกครั้ง
หญิงสาวจำไมได้ด้วยซ้ำว่าเธอพักอยู่ห้องไหนชั้นที่เท่าไหร่ นอกจากจะเมาหนักจนจำอะไรไม่ได้ขากลับเธอยังแทบจะหลับหูหลับตาออกจากโรงแรมไม่สนใจจะจำแม้กระทั่งชื่อโรงแรม เธอทำราวกับว่าไม่เคยมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อตัวเองยืนอยู่ในห้องเดิมอีกครั้งมันก็กลับจดจำได้ทันที
“คุณเข้าไปจัดการกระโปรงของคุณในห้องน้ำเถอะครับ เดี๋ยวผมสั่งอาหารมาคอย”
“ขอบคุณค่ะ”
‘ยังมีกะจิตกะใจจะกินอีกแหะ’ เปรมวดีว่าเขาในใจก่อนจะเดินเข้าไปทำความสะอาดกระโปรงตัวสวยซึ่งดูว่ารอยเลอะเทอะมันไม่หายไปง่ายๆ แต่ถ้าจะให้ออกคงต้องถอดออกมาซักซึ่งเธอก็เห็นว่า การถอดเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเล็กก็เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
ในเมื่อเจ้าของห้องทำให้เธอรู้สึกปั่นป่วนใจได้ขนาดนี้
คานันถอนหายใจหนักๆ อยากยกบรั่นดีขึ้นจิบแต่ก็ต้องข่มใจเปลี่ยนเป็นยกหูโทรศัพท์สั่งอาหารจากโรงแรมขึ้นมาเสิร์ฟในห้องพัก หญิงสาวทำตัวสบายๆ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาว่ามีใครหวั่นไหวเพียงเพราะได้กลิ่นหอมละมุนจากเรือนกายเธอ ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทพาดที่พนักเก้าอี้ก่อนปลดเนกไทออกแล้วทรุดตัวนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ การที่รู้ว่ามีหญิงสาว และสวยมากอยู่ในห้องเดียวกันทำให้เขาต้องใช้ความพยายามที่จะควบคุมตัวเองอย่างหนัก ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงไม่ต้องข่มใจอย่างนี้ แต่ที่สำคัญเธอไม่มีได้มีท่าทีพิเศษกับเขาเลยสักนิด
เปรมวดีเดินกลับมาในห้องก็เห็นร่างสูงใหญ่เอนหลังอยู่บนโซฟาตัวยาวใหญ่ในห้อง เขาเหลือบตามองมาทางเธอก่อนตบเบาะเหมือนจะเรียกเธอ หญิงสาวขมวดคิ้วนิดหนึ่งที่เขาทำท่าราวกับเธอเป็นลูกแมวที่จะเรียกมายังไงเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ร่างอิ่มสมส่วนก็เดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น เคยเห็นผู้ชายเปลือยอกมาก็ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ผู้ชายตรงหน้าแค่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามกับขนอ่อนร่ำไรก็ทำให้เธอเกือบลืมหายใจและรู้สึกลำคอแห้งผากจนต้องแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
“เรื่องงานอะไรอีกหรือคะ”
“เอ่อ...” เขาอึกอักรู้สึกหายใจติดขัดทั้งที่ก็ปลดกระดุมเสื้อออกแล้ว “พระชายาทรงเล่าว่าคุณแป๋มทำโฮสเตย์”
“อ้อ! ใช่ค่ะ แค่กิจการเล็กๆ คุณแม่ดัดแปลงบ้านมาทำโฮมสเตย์มีแค่สามห้องเท่านั้นแหละคะ” ‘ดีมากที่คุยเรื่องงาน ไม่งั้น...แย่แน่ๆ’
“พระชายากับองค์หญิงจัสมินมีดำริอยากทำโฮมสเตย์ที่บาฮาเนียเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเป็นการส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมดั่งเดิมของบาฮาเนียด้วย”
“เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมค่ะ การทำโฮมสเตย์เนี่ยมันเท่ากับกรองนักท่องเที่ยวด้วย เพราะอย่างน้อยเราก็รู้ว่านักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่มไหน เออ! ความจริงวันนี้ฉันก็มาสัมมนาเรื่องนี้เหมือนกัน เดี๋ยวดูเอกสารของฉันก็ได้”
คานันรับเอกสารที่เปรมวดียื่นมาให้แต่พอเปิดอ่านมีแต่ภาษาไทยล้วนๆ เขาก็ทำหน้าแหย ทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมา
“ฉันนึกว่าคุณอ่านภาษาไทยออก เห็นพูดไทยคล่องปรือ”
“พูดได้ครับแต่อ่านไม่คล่องนัก เอกสารที่ลงนามทุกอย่างจึงต้องเป็นภาษาอังกฤษไงครับ”
“ฮืม! จริงด้วย” หญิงสาวเห็นด้วย “ภาษาไหนๆ ก็เหมือนกันเวลาที่เราเรียนพูดเพื่อสื่อสารมันง่ายนิดเดียวแต่ถ้าจะเรียนให้ถึงแก่นมันต้องใช้เวลา เอาละ! คุณเคยพักโฮมสเตย์ที่ไหนหรือเปล่าคะ”
“ไม่ครับ เคยอ่านแต่ข้อมูลในอินเตอร์เนท” เขาตอบแล้วชี้นิ้วไปที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
“ถึงบ้านฉันจะเป็นโฮมสเตย์เล็กๆ แต่ก็ทำเว็บไซต์เหมือนกันนะคะ” เธอยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นไปที่โน้ตบุ๊กที่เปิดไว้ “ขอใช้หน่อยนะคะ”
“เชิญครับ” เขาพูดแล้วลุกขึ้นเดินตามเรือนร่างแสนเย้ายวนนั่นที่นั่งหน้าคอมพ์เพียงครู่หนึ่งเธอก็ควักมือเรียกให้เขามาดูที่หน้าจอสี่เหลี่ยม
“นี่ไงคะบ้านฉัน” เธอพูดเหมือนอวด “จุดเด่นที่ตรงเป็นโฮมสเตย์ริมคลอง มีเรือพาไปชมหิ่งห้อยด้วยนะคะ ตอนเช้าเรามีใส่บาตรทำบุญสายหน่อยก็ชมวิถีชีวิตชาวบ้านแล้วตอนเย็นก็มีตลาดน้ำด้วย”
“น่าสนใจมากครับ”
“ตอนที่ฉันบาฮาเนียฉันยังคิดเลยว่าถ้าที่นั่นมีโฮมสเตย์ก็คงดีไม่น้อยเลย ฉันก็อยากรู้วิถีชีวิตแบบชาวบาฮาเนียน”
“ประเทศเราค่อนข้างเป็นปิด-เราไม่คุ้นกับการเปิดบ้านให้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติมาพักนักหรอกครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ แต่ถ้ามีมันก็ดีไม่ใช่เหรอคะ” เธอยิ้มดวงตาเป็นประกายน่าหลงใหล
ขณะที่เขากำลังจะเหมือนถูกดวงตากลมโตคู่นั้นดูดกลืนเข้าไปเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นจนคนทั้งคู่สะดุ้ง ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังโน้มหน้าลงหาริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้น
“ผมสั่งอาหารไว้ เราทานอาหารไปคุยกันไปนะครับ”
“ได้...ได้ค่ะ”
เปรมวดีมองแผ่นหลังของเขาที่เดินไปเปิดประตูให้บริการนำอาหารมาตั้งบนโต๊ะ อาหารแบบฟลูคอร์สเหมือนไม่ต้องคิดมากเวลาสั่ง แต่มันมากเสียจนเธอคิดว่า...ถ้าจะต้องกินให้หมดนี่อาจจะต้องนอนค้างที่นี่ก็เป็นได้
‘ค้างเหรอ? บ้าไปแล้ว!!!’
“คุณแป๋มว่าผมควรไปพักโฮมสเตย์ดูสักครั้งไหมครับ”
“ถ้าเป็นไปได้ก็ดีค่ะ ถ้าคุณมีเวลาไปพักที่บ้านของแป๋มก็ได้คุณแม่แป๋มใจดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนคุณแป๋มอีกครั้งนะครับ”
“ได้ค่ะ”
พูดไปแล้วก็อยากตบปากตัวเองนัก! ยัยแป๋มเอ๋ย! ไปชวนผู้ชายเข้าบ้านทำไมนะ
รู้ก็รู้อยู่แล้วว่าตอนี้สถานการณ์ชีวิตเธอไม่ค่อยปกติอยู่ แล้วแม่จะคิดยังไงที่จู่ๆ ก็พาผู้ชายเข้าบ้านเนี่ย!.