“แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าไม่เป็นอย่างที่ข้าคิด คนเล่าลือกันทั่วซาล หากมีข่าวลือ ก็ย่อมเกิดจากเรื่องที่มีที่มาที่ไปไม่ใช่รึ” หญิงสาวหยั่งถาม แม้ในอีกความคิดจะค้านว่าเพียงข่าวลือก็ตามที
ยะห์นายิ้มอีกครั้ง ก่อนตอบเสียงราบเรียบดังเดิม
“ท่านก็รู้ว่าข่าวลือเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ หากต้องการให้กระพือเพื่อสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายก็ง่ายนิดเดียวเพราะปากคนพูดกันได้ไม่หยุด แถมยังแต่งเติมเรื่องราวลงไปคนละเล็กละน้อย แค่มีความจริงเพียงนิดหรือแทบไม่มีอยู่จริงก็เกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมาได้ ดังนั้นข่าวลือก็คือข่าวลือ ข่าวลือนั้นอาจทำให้ศัตรูพินาศได้”
คำพูดล้ำลึกทำให้มาราตีนิ่งงัน จนต่อการโต้เถียง และเธอก็เชื่อเช่นนั้น แต่การถูกบังคับทำให้รู้สึกอยากต่อต้าน... ต่อต้านให้มากที่สุด
“บางครั้งคำเล่าลือก็อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เล่าลือ ข้าไม่ขอให้ท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านเป็นคนฉลาด คำพูดของข้าท่านเข้าใจดีคุณหนู” ยะห์นากุมมือนายสาวเอาไว้เพื่อปลอบโยน
มาราตีกุมมือคนสนิทเอาไว้แน่น เธอสั่นเล็กน้อยเมื่อคิดว่าต้องไปถวายตัวแล้วจริงๆ
แม่เฒ่าที่ผ่านน้ำร้อนมาก่อนยังแย้มยิ้มเช่นเดิม เหมือนไม่มีเรื่องอันใดต้องเป็นกังวลหรือน่าหวาดกลัว
ชีคอัฟฟานมองหญิงสาวที่เยื้องย่างเข้ามาในตำหนักแล้วหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความตะลึง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตคมหวานล้อมกรอบด้วยแพนขนตางดกหนางอนงาม วงหน้าห้อมล้อมด้วยเครื่องหน้างดงามเหมาะเจาะ คิ้วเรียวโก่ง จมูกโด่งเรียวติดจะรั้น แก้มระเรื่อ ริมฝีปากเต็มอิ่มสีกุหลาบ รูปร่างอรชรโปร่งบางซ่อนความงามเอาไว้ภายใต้ชุดที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งในเรือนร่างให้น่าค้นหา เขาสัมผัสถึงความอวบอิ่มภายใต้ชุดสีชมพูสดที่มีผ้าห่อหุ้มสีทองโปร่งบาง
มาราตีสูดลมหายใจเข้าปอดแรงลึกเรียกกำลังใจให้แก่ตัวเอง แม้จะตะลึงในความหล่อเหลาทรงเสน่ห์ของชีคหนุ่ม ผู้ที่จะได้เป็นเจ้าของเรือนร่างตน แต่ความคิดที่ฝังรากลึกจากคำเล่าลือ... ทำให้เธอแอบหวั่นใจไม่น้อย แล้วแรงต่อต้านที่เกิดขึ้นในใจก็ก่อตัวขึ้นเงียบๆ แต่กลับมหาศาลยิ่งนัก
“มาแล้วเรอะ นางบำเรอของข้า” น้ำเสียงเข้มห้าวเรียกขานของชีคหนุ่มทำให้มาราตีเงยหน้าประสานสายตาด้วยความไม่พอใจ
คำพูดของเขาทำให้เธอหน้าเข้มขึ้นจนร้อนผ่าว บอกตัวเองว่า
..ไม่เห็นกลัวเขาสักนิด เป็นไงก็เป็นกัน เพราะเตรียมตัวเตรียมใจมาเรียบร้อยแล้ว
...แต่ทันทีที่สบประกายตาแข็งกร้าวสีเทาเหล็กคู่คมนั้น เธอกลับสั่นสะท้านหวั่นไหว แข้งขาดูไร้เรี่ยวแรง นี่กระมังที่คนในซาลต่างเล่าลือกันว่าหากหญิงใดได้เข้าใกล้ชีคอัฟฟานก็แทบจะเปลืองอาภรณ์ให้เชยชม ยินยอมบำเรอรักให้อย่างไม่อิดออด แต่ไม่ใช่เธอ...
มาราตีสูดอากาศหายใจแรงลึกเข้าปอด เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง เธอจะไม่หลงใหลกับเสน่ห์ของเขาเด็ดขาด หากเป็นเช่นนั้นคงเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ต้องช้ำใจตาย ถูกพระองค์เขี่ยทิ้งอย่างไร้ความปรานี ไม่เหลียวแลอีกต่อไป
... และนั่นเป็นสิ่งที่คิดจากคำเล่าลือเพียงเท่านั้น
ร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจนมาราตีต้องเงยหน้ามองความสูงที่มากกว่าเธอมาก รวมถึงไหล่กว้างอกแกร่งบึกบึน ทำให้เธอถอยเท้าหนีโดยสัญชาตญาณ เรือนผมสีดำกับดวงตาสีเทาเหล็กกำลังเปล่งประกายบางอย่างเมื่อมองมายังเธอ
เขากวาดไล้มองเรือนร่างสาวด้วยความกระหายร้อนแรง ร่างกำยำสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เป็นเสื้อคลุมสีขาวสบายๆ ด้านในสวมใส่กางเกงสีเดียวกัน บนศีรษะปราศจากผ้าโพกหัวเหมือนเช่นในท้องพระโรง
มาราตีรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะไม่มั่นคงอีกต่อไป เขากำลังทลายความเข้มแข็งที่เธอสร้างขึ้น
อัฟฟานกำลังร้อนระอุในกาย ความต้องการไหลวนไปทั่วร่าง รวมถึงความพึงพอใจลึกๆ ในตัวหญิงสาวตรงหน้าที่กระชากหัวใจดวงแกร่งของเขาให้สั่นไหวตั้งแต่เห็นหน้าคราแรกเมื่อหลายวันก่อน แต่เขากลับเก็บซุกซ่อนความรู้สึกพิเศษนั้นเอาไว้ภายในอย่างลึกล้ำ ไม่เปิดเผยออกมาอย่างโจ่งแจ้งให้เธอได้รับรู้
ยังไม่ถึงเวลานั้น...
เขาบอกตัวเองในใจเงียบๆ
ร่างสูงที่ก้าวมาหยุดอยู่เบื้องหน้าทำให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ความคิดก่อนเปล่งเสียงออกมาด้วยความตระหนก
“ปล่อย!” มาราตีร้องด้วยความตกใจเมื่ออุ้งมือใหญ่คว้าแขนเรียวเอาไว้แน่น แล้วดึงร่างแน่งน้อยเข้าไปหา สาวน้อยสัมผัสถึงผิวเรียบตึงที่กระชับอ้อมแขนเธอแนบกาย ผิวสีแทนตัดกับผิวขาวผ่องยองไยชัดเจน กระแสไฟฟ้าร้อนแรงวิ่งเข้าชนทั้งคู่ให้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
สายตาสองคู่มองสบกันนิ่งงัน ชีคหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ชวนขบขันแต่หาได้ขบขันไม่
“พูดอะไรตลกเช่นนี้ มาราตี”
คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวได้สติอีกครั้ง หลังจากเผลอสำรวจใบหน้าคมเข้มจนถ้วนทั่ว ตะลึงในรูปลักษณ์ภายนอกแทนที่ด้วยความหวาดหวั่นเมื่อได้ยินคำเรียกขานชื่อของเธออย่างถูกต้องแม่นยำ
“ท่านรู้!!!” เธออ้าปากค้างมองเขาด้วยความตกตะลึง
..เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอไม่ใช่ซูไรดา แต่ก็ยังรับเธอมาจากผู้เป็นอาหน้าตาเฉย ไม่แสดงอันใดให้อีกฝ่ายระแคะระคายสักนิดว่าล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
“ทำไมข้าจะไม่รู้ มีอะไรบ้างในซาลที่จะรอดพ้นสายตาของข้าไปได้ แม้แต่ผู้หญิงสวยๆ อย่างเจ้า... มาราตี”
..เธอไม่คิดว่าเขาจะรู้จักเธอ เพราะเธอไปอยู่ซาลาลหลายปี เพิ่งกลับมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
อัฟฟานเชยคางมนให้แหงนขึ้นสบสายตาสีเหล็กกล้าที่เปล่งประกายด้วยอำนาจ สะกดให้เธอแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้ ดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ทำให้แข้งขาที่อ่อนแรงอยู่แล้วแทบทรุดกายลงต่อหน้า แค่สายตาคมกริบที่ไล้โลมเรือนร่างเธอก็มวนไปทั่วท้องน้อย หวิวไหวสะท้านเกินควบคุม
มาราตีได้เพียงแต่นิ่งงัน หัวใจสั่นไหวรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ดวงตากลมโตคมหวานไหววูบกะพริบติดกันหลายครั้ง น้ำลายเหนียวหนืดกำลังกระจุกอยู่ที่ลำคอแห้งผากเหมือนขาดน้ำรอนแรมอยู่ในทะเลทรายหลายปี เรี่ยวแรงกำลังเหือดหายด้วยความหวาดกลัวเขาจับใจ แต่ความกลัวนั้นกำลังทำให้เธอหวั่นใจ... ว่าที่แท้แล้ว เธอกลัวอะไรในตัวเขากันแน่ และยิ่งตกใจเมื่อคิดว่าความกลัวนั้น...คือกลัวที่จะเผลอมีใจให้เขานี่สิ
“คิดจะหลอกข้าเช่นนั้นเรอะ อาของเจ้าคิดว่าฉลาดนักนี่... ที่หลอกข้าได้ แม้จะเห็นแก่สัมพันธภาพที่ดีมาตั้งแต่ครั้งอดีต แต่ข้าไม่ชื่นชอบการถูกหลอกลวง กลายเป็นคนโง่ให้กัวลาหัวเราะเยาะ แม้จะจงรักภักดีเช่นไร แต่การหลอกลวงก็คือการริเริ่มที่จะก่อกบฏ ข้าอุตส่าห์ให้อาของเจ้าพูดความจริง แต่ก็ยังหลอกลวงหน้าตาเฉย เหตุอันใดที่ซูไรดาหนีไปข้าจะสืบสาวราวเรื่องอีกทีหนึ่ง แต่ตอนนี้ข้ามีตัวประกันแสนหวานอย่างเจ้าในอุ้งมือ จึงไม่จำเป็นต้องเดือดร้อน ในเมื่อเจ้าก็พอจะทดแทนพี่สาวของเจ้าได้” อัฟฟานบีบปลายคางเรียวสวยแน่นขึ้นให้เธอเผชิญหน้ากับเขา
หญิงสาวพยายามดิ้นรนด้วยความเจ็บพยายามจ้องตาเขาไม่หลบ
“ท่านรู้แต่แรกว่าพะ...พี่ซูไรดาหนีไปรึ” เธอถามเสียงเบา ไม่คิดว่าเรื่องราวที่ปิดบังจะทำให้เขาล่วงรู้ แล้วเขาก็ร้ายกาจมากที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยอมรับเธอเข้าวังมาหน้าตาเฉย
“รู้” น้ำเสียงห้าวต่ำลึกเหมือนสะกดกลั้นอารมณ์เดือดดาลเอาไว้อย่างยิ่งยวด ทำให้เธอยะเยือกในอก และหากมันระเบิดออกมาคงเหมือนพายุโหดร้ายที่พัดกระหน่ำให้มวลมนุษย์ชีวาวายไปในบัดดล
“รู้ แต่ท่านก็ยังให้ท่านอาส่งข้ามา เหตุใดไม่บอกท่านอาเล่า” หญิงสาวอดถามไม่ได้
..ก็ในเมื่อรู้ทำไมถึงแกล้งเป็นไม่รู้เช่นนี้
“แล้วเหตุใดข้าต้องบอกเล่า” เขาย้อนจนเธอนิ่งอึ้ง เขาแลบลิ้นสีแดงสดออกมาไล้เลียริมฝีปากแดงๆ หยักหนาของตัวเองด้วยความกระหายเพื่อกลั่นแกล้งให้เธอหวาดหวั่น
และมันก็ได้ผล แต่มาราตีก็แข็งใจโต้ตอบเขาไม่ลดละ
“ท่านอาไม่ได้มีเจตนาจะหลอกลวง แต่เพราะกลัวท่านจะโกรธกริ้วเช่นไรเล่า การหายไปของพี่ซูไรดาไม่เกี่ยวกับท่านอาและพี่อาหมัด” มาราตีกล่าวด้วยความเจ็บปวดจากแรงที่อุ้งมือใหญ่บีบปลายคางเอาไว้แน่น