ทับทิบโทรชวนไปดินเนอร์ด้วยกัน เขาปฏิเสธอ้างงานแท้ที่จริงเบื่อหน่ายอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่าก็เลยนัดเพื่อนออกมาดื่มด้วยกัน
‘ชวินทร์ ชนานนท์’
สองหนุ่มดื่มตามประสาหนุ่มโสดแต่ยังครอบครองสติได้ ชวินทร์ไม่อยากอยู่ดึกเพราะกลัวเด็กใต้ปกครองจะรอนานจึงขอกลับตอนห้าทุ่มส่วนธาวินก็ขับรถกลับคอนโดฯ คนเดียว ผิดวิสัย แต่ช่วงนี้ธาวินรู้สึกเบื่อ ไม่อยากมีใคร ไม่อยากนอนกับผู้หญิงคนไหน แค่เห็นหน้าผู้หญิงก็เบื่อ เมื่อมาถึงคอนโดเขานั่งดื่มต่อชมวิวกรุงเทพยามค่ำคืน ดื่มหนักยังไงก็ไม่ลืมหน้าของกษมาสักทีเพราะคอนโดแห่งนี้เขาเคยพาหล่อนมานอนด้วยสมัยยังคบกัน
“เธอจะตามหลอกหลอนฉันไปถึงเมื่อไหร่กั้ง เมื่อไหร่เธอจะตายไปจากใจฉันสักที!”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในเวลาเที่ยงคืนธาวินเพียงปรายสายตาไปมองไม่รับสายแต่ฝ่ายนั้นก็กระหน่ำโทรเข้ามาจนอ่อนใจ
“นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะมึงจะโทรมาทำห่าอะไรวะไอ้เพลิง” บ่นยาวน้ำเสียงอ้อแอ้
‘ไม่ทำห่าไรหรอกก็โทรหาคุณมึงเฉยๆ นี่แหละครับ! กูเพื่อนมึงนะเมาแล้วก็พูดจาดีๆ หน่อยเว้ย!’ ปลายสายคือ ‘เพลิงกัลป์ เตชะธรรมรงค์’
“เอะอะเหมือนมีใครตาย”
‘ไม่มีใครตายหรอก แต่มึงจำน้องกั้งได้ไหม กษมาอะ’
“ทำไม!”
นัยน์ตาที่หลับสนิทเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินชื่อของผู้หญิงคนนั้น หัวใจเขาเต้นแรงมากไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเพราะดีใจกันแน่
‘เสียงเข้มเชียวนะ ก็ไร่กูประกาศรับสมัครพนักงานแล้วทีนี้น้องเขาส่งเรซูเม่มาสมัครเว้ย เห็นชื่อคุ้นๆ เหมือนแฟนเก่ามึง พอเปิดดูรูปเท่านั้นแหละแม่งเอ๊ยยย ไม่ใช่แค่หน้าเหมือนนะแต่ใช่น้องเขาเลยว่ะ’ เพลิงกัลป์ใส่อารมณ์
“มึงมั่นใจใช่ไหมไอ้เพลิงว่าเป็นกั้งไม่ผิดแน่”
‘ก็เออสิวะไม่ผิดคนแน่’
“ดี! กูอยากเจอกั้งมานานแล้ว” เงียบครู่เดียวธาวินก็พูดต่อ “ไอ้เพลิง กูมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากมึง!!”
สัปดาห์ต่อมา กษมาได้รับข่าวดีจากสำนักงานไร่ทางเมืองเหนือตอบรับหล่อนเข้าทำงานโดยไม่ต้องสัมภาษณ์ให้เสียเวลา หล่อนดีใจมากแม้จะเสียใจที่มันไกลจากกรุงเทพฯ แต่ก็ต้องทำใจจากครอบครัวเพราะเห็นแก่ความเป็นอยู่ของทุกคน หากดึงดันอยู่กรุงเทพฯ ต่อก็จะพาทุกคนให้ลำบาก งานการไม่มีบริษัทไหนรับเข้าทำ รับจ้างรายวันได้เงินมาพอใช้เท่านั้น ลองออกไปสู้สักตั้งเผื่อจะตั้งตัวได้มีเงินเก็บก้อนเล็กสักก้อนจะได้พาครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองเหนือด้วยกัน
สองวันก่อนเดินทาง กษมาเจียดเงินเก็บซื้อโทรศัพท์ที่รองรับไลน์สองเครื่องให้แม่เก็บไว้ เจ้าสิ่งนี้จะทำให้หล่อนกับครอบครัวไม่รู้สึกห่างไกลจากกันมาก “แม่เก็บเงินนี้ไว้ใช้นะคะ แล้วกั้งจะส่งมาให้บ่อยๆ” หล่อนเอาเงินเก็บที่พอมีให้มารดา สงสารท่านที่ต้องดูแลทั้งบิดาทั้งน้องวิน
“แล้วกั้งจะมีติดตัวไว้ใช้เหรอลูก”
“กั้งพอมีค่ะ อีกอย่างเดี๋ยวไปอยู่นู้นก็ได้เงินเดือนยังไงกั้งก็มีใช้แน่นอนค่ะแม่ไม่ต้องห่วง” กษมายิ้มหวานทั้งที่ความจริงคือแทบไม่มีเหลือแต่หล่อนไม่มีวันแสดงออกให้มารดาเห็นเด็ดขาด การเดินทางครั้งนี้เหมือนไปวัดดวง ถ้างานไม่ดีเจอเจ้านายเจ้าชู้อีกหล่อนคงทำงานพอให้ได้ค่ารถแล้วจะรีบกลับบ้านทันที
“แม่อดทนหน่อยนะคะ ถ้างานไปได้สวยกั้งจะกลับมารับพ่อแม่กับน้องวินไปอยู่ด้วยกัน ภาคเหนืออากาศดีคงจะอยู่แล้วมีความสุขมากกว่าที่นี่” หล่อนกล่าวน้ำตารื่น แสร้งทำเป็นหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายหลังไม่ให้มารดาเห็นน้ำตา “กั้งฝากน้องวินด้วยนะคะ กั้งจะเป็นคนโทรหาเองแม่จะได้ไม่ต้องเปลืองเงิน แล้วกั้งจะกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ นะคะ”
“จ้ะ กั้ง... มีปัญหาอะไรต้องบอกแม่นะลูก งานไม่สบายก็กลับมาอยู่บ้านเรา ลำบากหน่อยแต่ก็ดีกว่าได้อยู่ไกลกัน ส่วนเรื่องทางบ้านไม่ต้องห่วงนะแม่จะดูแลทางนี้เอง”
“ค่ะ ถ้ามีอะไรไม่ดีกั้งจะรีบบอกแม่เป็นคนแรกเลย”
กษมาบอกลามารดาเข้าไปบอกลาบิดาอีกครั้ง ก่อนออกเดินทางวัดดวงเพียงลำพัง ชีวิตหล่อนจะไปได้ดีหรือจะดับยิ่งกว่าเดิมนี่แหละคือจุดพลิกผันโชคชะตา การเดินทางครั้งนี้กษมากลัวจะทนคิดถึงลูกไม่ไหวแต่ก็ต้องข่มความกลัวเอาไว้เพราะความจนมันน่ากลัวเหลือเกิน
ผ่านการเดินทางหลายชั่วโมงก่อนรถบัสคันใหญ่จะพาผู้โดยสารไปถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ กษมาแวะล้างหน้าล้างตาพอให้สดชื่นก็เริ่มถามทางไปที่ทำงานใหม่ทันที ผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางเป็นคนท้องถิ่นกำลังคุยกับคนขับวินมอเตอร์ไซด์ กษมาเดินเข้าไปถามทางก็ได้รับคำตอบ
“ไร่นั้นดังจะตายถามใครก็รู้จักทั้งนั้นแหละนังหนู เพียงแต่มันไกลวินมอไซด์ไม่ส่งไกลขนาดนั้นหรอกคงต้องเหมารถไปเอง”
“ไม่มีสองแถวผ่านเหรอคะ”
“ไม่มีหรอก มันไกล มากับพี่ไหมล่ะผัวพี่ขับรถรับจ้างจะให้มันไปส่ง คิดราคาไม่แพงหรอก”
“ไม่แพงนี่เท่าไหร่คะ” กษมาถามต่ออย่างหวาดหวั่นแต่พอได้ยินราคาแล้วก็โล่งใจที่ไม่แพงอย่างที่คิดพอรับจำนวนได้
“ตกลงค่ะ ฝากด้วยนะคะ”
“เออ ตามมาๆ”
ผู้หญิงท้องถิ่นโบกมือให้กษมาเดินตามหลังไป