CHAPTER 8 #Pete

1964 Words
ผมอยากจะบ้าตายที่หลวมตัวไปสระผมให้มัน ดูสิ เปียกไปหมดทั้งตัวเลยเนี่ย แล้วใส่แค่เสื้อกล้ามกับบ๊อกเซอร์ หนาวจะตายอยู่แล้ววว “ไอ้สัดกร! อย่าลีลา กูหนาว อยากอาบน้ำแล้วโว้ย” “ครับๆ” ผมลุกหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กในห้องมารองน้ำจากก๊อกอย่างลวกๆ ถูๆ ขัดๆ ตามแขนขามันกะให้สะอาดไปทุกซอกทุกมุม จะได้ไม่ต้องมาเช็ดตัวให้อีกบ่อยๆ “หยุดจ้องกูได้แล้ว” ใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย! กรเหลือบตาขึ้นมามองผมแวบหนึ่งก่อนยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำ ผมเพิ่งสังเกตหนวดเขียวๆ ที่เริ่มยาว แต่ไม่ทักหรอก เดี๋ยวมันก็ใช้ผมโกนให้อีก ร่างผมสั่นน้อยๆ ด้วยความหนาว เดิมทีผมเป็นคนขี้หนาวอยู่แล้ว ประตูห้องน้ำที่เปิดไว้ก็เป็นทางผ่านให้แอร์เข้ามาได้เป็นอย่างดี ให้ตายเถอะ ขนลุกไปหมดแล้วโว้ย “มึงหนาวขนาดนั้นเลย?” “เออ” “งั้นพอแค่นี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวจะแข็งตายซะก่อน” ผมละมือที่กำลังลากผ้าขนหนูผ่านผิวมัน แล้วปล่อยให้มันยืนขึ้นจัดการแต่งตัวด้วยตัวเอง “เชี่ยมึง!” ผมอุทานเมื่อมันถอดกางเกงบอลออกหน้าตาเฉย ดีนะที่หันหลังให้ ไม่งั้น... “อายเหรอหมอ มึงไม่เคยเห็นของคนไข้มาก่อนเลยไง?” “รีบๆ ใส่กางเกงดีๆ เลย!” “โอเคครับๆ” หลังจากนั้นผมก็ช่วยมันใส่เสื้อพร้อมผูกเชือกให้เสร็จสรรพ โยนผ้าขนหนูไปให้เช็ดตัวผืนหนึ่งด้วย เมื่อมันคล้อยหลังออกจากห้องน้ำไปแล้วผมถึงได้อาบน้ำสระผมอย่างเพลิดเพลินใต้สายน้ำอุ่นอยู่นาน ก่อนจะค้นพบว่า... ผมลืมหยิบชุดสำหรับเปลี่ยนเข้ามา “กร” ผมตะโกนออกไป …เงียบ... “หรือหลับแล้ววะ” ผมบ่นกับตัวเอง เดินไปเอาเองก็ได้วะ ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันเอวอย่างลวกๆ เพราะกะว่ายังไงก็ออกไปไม่นาน เดินออกมาเห็นกรนอนหันหลังให้โซฟาทั้งที่ผมยังเปียกก็อยากจะด่า แต่รอให้ผมแต่งตัวเสร็จก่อนเถอะ หมับ “เฮ้ย!” ผมอุทานอย่างตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกสวมกอดโดยคนที่ควรจะหลับไปแล้ว “ทำไรเนี่ย” “เห็นว่าขี้หนาว” มันสูดลมหายใจข้างแก้มผมหนึ่งทีจึงพูดต่อ “เลยมากอด” จากอาการหนาวเย็นบนผิวกายก็กลายเป็นความร้อนบนผิวแก้มแทน ให้ตายสิ มันรู้ตัวมั้ยเนี่ยว่ากำลังทำอะไรอยู่ “ปล่อยได้แล้ว แค่มาเอาเสื้อ” “แล้วเมื่อไรจะมาเอากู” “ฮะ!” “โทษที” “เล่นไรไม่รู้เรื่อง” “ต้องบอกว่า ‘เมื่อไรจะมาให้กูเอา’ ถึงจะถูกสินะ” ผมจะกระแทกศอกใส่อยู่แล้ว แต่เหมือนไอ้ตัวการทำผมใจสั่นจะไหวตัวทันเลยชิงปล่อยมือแล้วกลับไปนอนที่เตียงดีๆ ก่อน เดี๋ยวเหอะมึง เดี๋ยวกูเอายาสลบช้างมาใส่ให้แทนน้ำเกลือเลย ผมกลับออกมาอีกครั้งโดยมีผ้าเช็ดตัวผืนเดิมคลุมบนหัว ก็ผ้าขนหนูผืนเล็กที่มีเอาไปใช้เช็ดตัวกับเช็ดหัวมันไปแล้ว ก็เหลือผืนนี้ผืนเดียวนี่แหละ “กร หลับยัง” “อือ ยัง” “ลุกมาเช็ดผมให้แห้งก่อน เดี๋ยวเป็นหวัด” “มึงหนาวอ่อ เบาแอร์มั้ย” มันยังคงนอนหลับตานิ่ง “ไม่เช็ดก็เรื่องของมึง” “มึงไม่เช็ดให้กูแล้วอ่อ” “อย่ามาเยอะ กูเหนื่อย” “ก็ได้ๆ” มันยอมลุกขึ้นมาแล้วหยิบผ้าขนหนูที่โยนไว้ปลายเตียงขึ้นมาเช็ดผมสองสามทีแล้วนอนต่อ ผมขี้เกียจจะบ่นแล้วก็เลยปล่อยเลยตามเลย กว่าจะจัดการหัวตัวเองเสร็จก็ง่วงจะแย่แล้ว ปล่อยมันนอนเป็นหวัดตายไปเลยแล้วกัน ไม่กี่วันถัดมากรก็ได้ออกจากโรงพยาบาลสมใจ ส่วนผมก็ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติสุขเมื่อไม่มีคนคอยมากวน (ถึงแม้มันจะส่งไลน์มากวนบ้างก็เถอะ ผมก็อ่านไม่ตอบตามเคยนั่นแหละ) กรเองก็ต้องเคลียร์งานที่ค้างคาไว้ช่วงที่มันพักรักษาตัว เอาจริงๆ ผมก็เหงาๆ หูนิดหน่อย แต่มันก็ดีกว่าตอนที่ต้องคอยวิ่งหลบกระสุนปืนล่ะนะ ไม่ๆ วันนี้วันดี ผมจะไม่คิดถึงเรื่องคอขาดบาดตายแบบนั้นเด็ดขาด ผมขยับมือจัดปกเสื้อให้เข้าที่เข้าทางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหยิบช่อดอกไม้ที่เตรียมมาออกจากห้องน้ำไป ใช่แล้ว วันนี้ผมมางานแต่งพี่เนย พี่รหัสคนดีของผมเอง งานตอนเย็นจัดขึ้นที่ห้องบอลรูมโรงแรมหรูใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ผมตรงดิ่งมาที่นี่ทันทีหลังเสร็จงานที่โรงพยาบาล มาถึงก่อนเวลาบนการ์ดเชิญนิดหน่อย แต่ก็มีคนมารอที่โต๊ะลงทะเบียนแล้ว ผมหย่อนซองลงกล่องพร้อมลงชื่อในสมุดอย่างประหม่าเล็กน้อย ก็แหม นี่เป็นงานแต่งงานงานแรกที่ผมเคยมาเลยนะ ทั้งยินดีทั้งทำตัวไม่ถูกเลยล่ะ ไม่เห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาว สงสัยจะยังเตรียมตัวกันอยู่ กวาดสายตาไปรอบๆ ก็พบพ่อแม่พี่เนยนั่งอยู่กันสองคน กำลังดูรูปในกล้อง เลยเดินเข้าไปทัก “สวัสดีครับ คุณลงคุณป้า ผมรุ่นน้องพี่เนยนะครับ” ผมแนะนำตัวสั้นๆ เคยเจอกันแค่ครั้งเดียวตอนรับปริญญา ท่านทั้งสองคงจำผมไม่ได้หรอก “เอ้า เชิญๆ ขอบใจมากนะที่มา” คุณลุงยิ้มรับ “รุ่นไหนเนี่ยลูก แล้วเพื่อนๆ ล่ะ” เป็นคุณป้าที่ถามบ้าง “รุ่น 58 ครับ” “เอ… เหมือนเนยเขาจะเตรียมโต๊ะไว้ตรงไหนนะพ่อ สำหรับพวกนักเรียนหมอน่ะ” “น้องพีท!” ยังไม่ทันที่คุณลุงจะได้ตอบเสียงหวานก็เรียกชื่อผมมาจากด้านหลัง หันไปก็พบพี่เนยในชุดเกาะอกกระโปรงฟูฟ่องสีขาว ยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวของเธอ “ผอมลงไปเยอะเลยนะพี่” ประโยคแรกของผมเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี พี่เนยยกมือที่สวมแหวนเพชรวงงานตีไหล่ผมเบาๆ “เจ็ดโลในสองเดือนแน่ะแก แทบตาย” “ฮ่าๆ นี่ครับ ดอกไม้ ยินดีด้วยนะพี่” “จ้าขอบใจมาก แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” “ไอ้อิ่มลางานไม่ได้ แต่มันฝากบอกว่าให้หยิบของชำร่วยมาด้วยนะ” “โอ๊ย เด็กบ้า” พี่เนยด่าอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะนำผมไปนั่งที่โต๊ะที่จัดไว้ ไม่นานเพื่อนร่วมรุ่นที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาก็โผล่มาทีละคน ผมเองเป็นคนเข้ากับคนได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้สนิทกับใครจริงจัง การสนทนาส่วนใหญ่ในค่ำคืนนั้นจึงทำแค่ยิ้มและหัวเราะไปตามน้ำมากกว่า วีรกรรมต่างๆ สมัยเรียนถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพูด ไม่ค่อยมีเรื่องของผมหรอก ส่วนใหญ่ทุกคนถามถึงอิ่มกันมากกว่าเพราะมันน่ะหนึ่งในตัวแสบของรุ่นเชียวล่ะ งานแต่งวันนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษจากที่เคยเห็นตามละคร ไฮไลท์ของงานก็เป็นวิดิโอเลิฟสตอรี่ระหว่างบ่าวสาว จากนั้นก็ตัดเค้ก กินบุฟเฟ่ต์โรงแรมกันจนอิ่มหนำ แน่นวนว่าพวกเพื่อนๆ ก็ชวนไปต่อแต่ผมปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าต้องขับรถกลับแถมทำงานเช้า พวกมันก็เข้าใจดี แน่ล่ะ ก็จบมาทำงานแบบเดียวกันทั้งนั้น แต่ก็ยังมีพวกสายแข็งตกเย็นซดเหล้ารุ่งเช้าซัดกาแฟไปทำงานได้ชิวๆ อยู่ นั่นแหละไทป์อิ่มมันเลย พูดไปแล้วก็คิดถึงมันเหมือนกันนะเนี่ย ถึงจะคุยไลน์กันบ้างแต่มานึกดูก็ไม่ได้เจอหน้ามาเป็นปีๆ แล้ว ราวสี่ทุ่มผมก็ขอตัวออกมา แวะเข้าห้องน้ำล้างหน้าให้สดชื่นเสียหน่อยก่อนกลับ เมื่อกี้ก็ว่ากินไปไม่กี่แก้วแต่ทำไมเริ่มมึนๆ แล้ววะ “มึงมาทำไรที่นี่ แล้วนี่เมาเหรอ” ผมเงยหน้าจากอ่างล้างมือก็พบกับเงาสะท้อนของคนคุ้นตาที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้ กูเมาจนเห็นภาพหลอนเหรอ แล้วทำไมถึงหลอนเห็นกรวะนั่น “กรเหรอ” “เออก็กูไง” “ใช่เหรอ” ผมหันไปเผชิญหน้ากับมัน สงสัยจะหันเร็วไปหน่อยเลยปวดจี๊ดๆ ตรงขมับแต่ไม่ถึงกับเซ “ตอบกูมาก่อน มาทำไรที่นี่” “มึงนั่นแหละมาทำไร” “พีท” “ทำไม” “สรุปมึงมาทำไร จะตอบดีๆ มั้ยครับ” กรยื่นหน้าเข้ามาใกล้ พลางทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น เอาเป็นว่านี่ตัวจริง ไม่ใช่ภาพหลอนแล้วเนอะ “งานแต่งพี่รหัส มึงอ่ะ?” “งานเลี้ยงบริษัท” “อ้อ” เรายืนเงียบๆ กันไปพักหนึ่งก่อนผมจะนึกขึ้นได้ว่านี่เรากำลังยืนคุยกันในห้องน้ำ “กูจะกลับละ” “ขับรถไหวหรอ” “เออน่า ได้อยู่” “หน้ามึงแดงๆ นะ เดี๋ยวตำรวจเรียกหรอก” “สี่ทุ่มเขายังไม่ตั้งด่านกันเลยมั้ง” “ไม่เอา เดี๋ยวกูให้คนขับรถไปส่ง รอแป๊บ” กรไม่รอคำตอบ มันลากแขนผมออกมานั่งรอหน้าห้องน้ำแล้วเดินหายไป ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำตาม รู้ตัวอีกทีมันก็กลับมาพร้อมลูกน้องชื่อเมฆที่ผมเคยเจอ “ให้เมฆขับไปส่งนะ” ผมขี้เกียจจะเถียงเลยยอมยกกุญแจรถให้เมฆไปง่ายๆ แล้วเดินนำไปที่ลานจอดรถ เห็นมั้ยผมยังจำที่จอดรถได้ ไม่ได้เมาขนาดนั้นเสียหน่อย “คุณจะหลับก็ได้นะครับ” เมฆว่าขณะสตาร์ทรถ เขาดูเป็นบอดี้การ์ดที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มแล้ว น่าจะเด็กกว่าผมอีกมั้ง แต่คงฝีมือดีน่าดูไม่งั้นคงไม่ได้มาอยู่ให้คุ้นหน้าพอๆ กับจิตตินแน่ “ไม่เป็นไรครับ” “ไม่ต้องพูดครับกับผมก็ได้ครับ ยังไงคุณก็เหมือนเจ้านายผมคนหนึ่ง” “ไม่ต้องคิดมาขนาดนั้นก็ได้” ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้ผ่อนคลายลงนิดหน่อย การได้รับความเคารพขนาดนี้ให้ความรู้สึกเดียวกับถูกคนไข้อายุเยอะกว่าไหว้เลยล่ะ เหอะๆ “แฟนเจ้านายก็เหมือนเจ้านายแหละครับ” “เฮ้ย!” คำพูดนั้นทำเอาผมตาสว่าง แม้จะไม่ได้ง่วง “ผมไม่ใช่แฟนมันนะครับ” “เหรอครับ ผมเห็นวันนั้นนายสั่งไม่ให้ตามไปเฝ้าตอนทานข้าว เลยคิดว่าพวกคุณสองคน... ขอโทษด้วยครับ” “เป็นเพื่อนกันน่ะครับ ตั้งแต่สมัยม. ปลาย” “ครับ” ผมเสมองนอกกระจกรถและหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกจนถึงคอนโด หลังอาบน้ำจนสบายตัว อาการมึนๆ นั่นก็หายเป็นปลิดทิ้ง หน้าจอโทรศัพท์มือถือมีสายที่ไม่ได้รับโชว์อยู่ เฮ้อ จากกรนั่นแหละ ไม่รู้จะอะไรกับชีวิตผมนักหนา “ว่าไง” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่ฝั่งนู้นรับสาย “ทำไมไม่รับสาย กูตกใจหมดเลย” “อาบน้ำอยู่ มึงซีเรียสไปป่ะเนี่ย” “เขาเรียกเป็นห่วง” “ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ผมเฉไฉไป พยายามบังคับปากไม่ให้ยิ้ม ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่ว่าตั้งแต่ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลผมว่ากรมันขยันหยอดผมจังเลย “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แค่นี้ก่อนนะกูขับรถอยู่” แล้วมันก็วางสายไปแบบไม่รอคำตอบ แต่ก็เอาเถอะ ผมเองก็ง่วงเต็มทนแล้ว ไว้คราวหน้าค่อยชิงวางสายตัดหน้าคืนแล้วกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD