CHAPTER 1 #Korn
CHAPTER 1 #Korn
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นทันทีที่ผมพาตัวเองลงจากรถ แถมลูกกระสุนยังเฉียดสีข้างผมไปนิดเดียว แม้จะใส่ที่เก็บเสียง แต่การลั่นไกในเวลาดึกสงัดของกรุงเทพมหานครก็สร้างเสียงดังพอที่จะทำให้รปภ. ของคอนโดวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา และแน่นอนว่าเขากลายเป็นเป้านิ่งให้ผู้ไม่หวังดีไปในทันที
ผมหยิบปืนจากเก๊ะในรถยิงกลับไปที่ต้นตอของเสียง และนั่นเหมือนเป็นสัญญาณเริ่มรบ ลูกน้องของผมอีกสองคนถึงได้เริ่มสาดกระสุนใส่พวกลอบกัดอย่างไม่กลัวลูกบ้านในคอนโดจะแตกตื่นจนผมต้องคอยปราม
“สกัดไว้แค่ให้ฉันไปถึงลิฟต์ก็พอ” ถึงปากจะสั่งอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงผมเล็งจุดตายหมดแหละ น่ารำคาญชะมัด คนเพิ่งลงจากเครื่องบินมาเหนื่อยๆ
“ครับ” หลังจิตตินลูกน้องคนสนิทรับคำ ผมก็ค่อยๆ ขยับจากตัวรถเบนท์ลีย์กันกระสุนของตัวเองไปยังทางเข้าตัวอาคาร ผมไม่รู้ว่าพวกมันมากันกี่คน แต่ที่แน่ๆ ผมสอยร่วงไปสามเป็นอย่างต่ำ ที่เหลือคงไปคณามือฝีมืออย่างจิตตินกับเมฆหรอก
“โอ๊ย!” ผมร้องหลังพลาดถูกยิงเข้าที่ไหล่ซ้าย เชี่ยเอ๊ย! เหนืออกไปนิดเดียว เกือบตายแล้วมั้ยล่ะไอ้กร
“นาย!” ไม่ต้องรอให้สั่งจิตตินก็จัดการยิงไอ้โม่งที่ทำผมเจ็บล้มลงคาที่ไปทันที ก่อนวิ่งเข้ามาดูอาการ
“ไม่เป็นไร” ผมกัดฟันพูดพลางกดหน้าอกห้ามเลือด เจ็ทแล็กมายังล้าไม่พอใช่มั้ย พระเจ้าถึงได้ทำกับผมแบบนี้
เมฆเข้ามาช่วยพยุงตัวผมอีกแรงหลังพวกมันที่ยังพอมีแรงเหลือขับรถหนีออกไป
เป็นการเดินจากที่จอดรถเข้าบ้านที่ผมรู้สึกว่ายาวนานเหลือเกินทั้งๆ ที่ความจริงมันคงกินเวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แถมยิ่งหัวใจเต้นแรงเพราะความโกรธเท่าไร เลือดก็เหมือนจะยิ่งทะลักออกมาเท่านั้น
“ไม่ไปโรงพยาบาลหรือครับ” เมฆดึงผมกลับไปที่รถ
“ไม่ ถ้าพวกมันคอยดักระหว่างทางอีกฉันเลือดหมดตัวตายแน่ ไปห้ามเลือดที่ห้องก็พอ” เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเกลียดการพักอยู่ชั้นบนสุดของคอนโด กว่าลิฟต์จะเคลื่อนตัวมาถึงที่จอดรถชั้นหก แล้วกว่ามันจะเคลื่อนกลับขึ้นไปชั้นสามสิบห้าซึ่งเป็นห้องของผม หรือจะเรียกว่าอาณาจักรของผมก็ได้ หงุดหงิด ไม่คิดแล้วแม่ง!
“ร… รอด้วยครับ” และก่อนลิฟต์จะปิดลงเพียงเสี้ยววินาที มือขาวๆ ก็ยื่นเข้ามากั้นระหว่างประตู โอยยย พ่อมึงแม่มึง กูต้องกลับห้องด่วนๆ แล้วโว้ย! จะอะไรกันนักกันหนาวะ!
เจ้าของมือขาวก้าวเข้ามาด้วยขาสั้นๆ ที่สั่นๆ เขาเป็นผู้ชายสูงราวจมูกผมได้ เราสบตากันแวบหนึ่งก่อนหมอนั่นจะเบิกตาโพลงเพื่อมองผมอย่างเต็มตาอีกครั้ง
“กร… เหรอ” อีกฝ่ายพึมพำกับตัวเองเหมือนไม่อยากเชื่อสายตา ผมเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน กลับไทยคราวนี้มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ไปหมดจริงๆ ทั้งโดนลอบฆ่าทั้งๆ ที่อยู่ในถิ่นตัวเอง หรือแม้กระทั่งเจอแฟนเก่าที่เลิกกันไปตั้งแต่ม.6 ในลิฟต์คอนโดที่ตัวเองเป็นเจ้าของ
แถมในสภาพที่ผมเพิ่งถูกยิงมาหมาดๆ
แต่มันกลับตกใจที่เห็นหน้าผมมากกว่าความจริงที่ว่าผมกำลังจะเลือดหมดตัวตาย
ไอ้พีทนี่มันไอ้พีทจริงๆ เลย
“ไง” ผมตอบกลับเรียบๆ “มึงไม่กดเลขชั้นอ่ะ เลยแล้วมั้ง” พีทหันกลับไปมองหน้าจอที่ตอนนี้แสดงตัวเลขชั้นสิบผมไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ชั้นไหน เดาส่งๆ ไปงั้น
“เลยแล้วจริงๆ ด้วย” พีทยิ้มแห้งมาให้ ก่อนจะลากสายตามาที่แผลฉกรรจ์ของผม “มึงควรจะไปโรงพยาบาลนะ”
“ไม่เอา”
“ทำไม” พีทเสียงแข็งขึ้นนิดหน่อย จะว่ามันเปลี่ยนไป ก็ใช่ แต่จะว่าเหมือนเดิมก็ได้อีกนั่นแหละ
“อันตราย” ผมตอบแค่นั้น และไม่คิดจะขยายความต่อ บรรยายความรู้สึกตอนนี้ไม่ถูกแฮะ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้นึกถึงเท่าไรหรอกนะ แต่พอได้เจอกันจังๆ แบบนี้ อยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้แล้วมันเหมือนจะคิดถึงเลยว่ะ แต่ก็ไม่กล้าทำตัวสนิทเหมือนเก่า
“งั้นกูทำแผลให้ กู... เป็นหมอแล้วนะ” มันเบาเสียงลงหน่อยในประโยคหลังพร้อมละสายตาไปทางอื่น คงยังโกรธผมอยู่สินะที่ตอนนั้นบอกเลิกมันไปเพราะมันมัวแต่อ่านหนังสือจนไม่สนใจผม เหตุผลโคตรงี่เง่าเลยให้ตาย ตัวผมเมื่อแปดปีก่อนมันไร้สาระได้ขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“เอางั้นก็ได้”
เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟต์เดินทางมาถึงชั้นสามสิบห้า จิตตินเดินนำลิ่วออกไปก่อนเพื่อเตรียมอุปกรณ์ทำแผลและสั่งลูกน้องให้ไปเก็บกวาดซากมนุษย์ที่ลานจอดรถ ส่วนเมฆก็เดินตามมาเงียบๆ ผมถอดสูทและเชิ้ตออกลงกองกับพื้นทันทีที่ถึงห้อง ช่างมัน เปื้อนขนาดนี้ยังไงก็ต้องทิ้งอยู่ดี
ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังลูกวัวราคาเรือนแสนอย่างไม่กลัวเปรอะเลือด ก็ผมบอกแม่แล้วว่าไม่ต้องๆ อยู่กันเองจะซื้อของแพงไปอวดใครคุณเธอก็ไม่ยอม ที่ห้ามก็เพราะผมรู้ไงว่าผมใช้ชีวิตมักง่ายแอนด์สกปรกแค่ไหน มีเงินเยอะไม่ได้แปลว่าต้องใช้ให้หมดเสียหน่อย
“ถ้าเจ็บก็ร้องเลยนะ” หมอพีทว่ายิ้มๆ ขณะบิดผ้าขนหนูชุบน้ำที่จิตตินเตรียมไว้ให้ แต่มันคงลืมไปว่าไม่ได้อยู่กันสองคน เมฆยังคงยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง นี่ผมลูกเจ้าพ่อติงฉีอี้แห่งเกาะฮ่องกงนะครับ ใครจะมาร้องให้ลูกน้องได้ยินวะ
พีทดูมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อล้างคราบเลือดออกและได้เห็นปากแผลผมชัดๆ ไม่ต้องเป็นหมอหรอก เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าโดนยิงแล้วต้องไปผ่ากระสุนออกที่โรงพยาบาล ไม่ใช่มาห้ามเลือดแล้วรอเช็ดด้วยแอลกอฮอล์กับเบตาดีน
“กูฉีดสเปรย์ห้ามเลือดให้ชาแล้ว มึงช่วยกดแผลต่อไปด้วยนะ” ผมมองตามมือเรียวๆ ที่เขย่ากระป๋องเหมือนใกล้จะหมดแรงอย่างขำๆ มืออย่างนี้น่ะหรอจะไปผ่าตัดได้
“มึงควรไปโรงพยาบาลจริงๆ อ่ะ ความเสี่ยงที่แผลจะติดเชื้อมีมากกว่าที่มึงจะรถคว่ำตายอีก”
“มึงให้กำลังใจคนไข้เป็นมั้ยหมอ”
“ก็คนไข้มันดื้อ” พีทที่คุกเข่ากับพื้นเงยหน้าขึ้นมามองผมยิ้มๆ ถ้าถามว่ามันมีอะไรเปลี่ยนไป ก็คงเป็นกวนตีนขึ้นล่ะมั้ง เมื่อก่อนนี่อ้อนเป็นลูกแมวเชียว
ตอนนี้มันย้ายมาทำแผลถากๆ ที่สีข้างให้ผมแทน ผมถึงทำแต่แค่มองหัวทุยๆ ขยับไปมา ผมสีดำธรรมชาติยังดูนุ่มน่าสัมผัสเหมือนเดิม มือขาวบรรจงใช่สำลีเช็ดรอบปากแผลอย่างเบามือ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมว่าผมได้กลิ่นหอมเบอร์รี่อ่อนๆ ที่คุ้นเคย ยังใช้แป้งเด็กเหมือนเดิมสินะ
“เมื่อยว่ะ” พีทลุกขึ้นจากพื้นเปลี่ยนมาเป็นนั่งข้างผมแทน แต่ก็ยังไม่วายเอามือผมไปเช็ดคราบเลือดให้อีก แม้ว่าหน้าตามันจะดูอ่อนล้าจะหลับแหล่มิหลับแหล่ก็ตาม
“ไปนอนได้แล้วมั้ง ตามึงจะปิดละ” มันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง ผมเลยทำบ้าง ชิท ยังไม่ได้ปรับเป็นเวลาไทย
“มึงจะเช็ดตัวก่อนนอนมั้ย” พีทเปลี่ยนเรื่อง ผมเห็นมันทำท่าเหมือนจะลุกเอาอ่างน้ำไปเปลี่ยนจึงรั้งไว้
“มึงกลับห้องไปนอนเหอะ หน้ามึงดูไม่ไหวจริงๆ”
“ก็ได้ พรุ่งนี้อย่าลืมไปหาหมอล่ะ”
“หมอก็อยู่นี่ไง” ผมกระเซ้า “พรุ่งนี้ก่อนไปทำงานก็มารับกูไปด้วยดิ”
“อีกสามชั่วโมงกูก็ต้องตื่นแล้ว มึงจะให้กูมาปลุกจริงๆ มั้ยล่ะ”
“เป็นหมอนี่ไม่มีแม้กระทั่งเวลานอนเลยเหรอวะ”
พีทไม่ตอบอะไร เพียงแต่แค่นยิ้มกลับมาก่อนเดินออกจากห้องไป
“นายครับ ผมตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว พรุ่งนี้น่าจะเอาเลขทะเบียนรถไปตามสืบได้ว่ามันเป็นพวกใคร” จิตตินมารายงานผมทันทีหลังพีทออกไป
“ดี แล้วก็อย่าเพิ่งให้แม่รู้ล่ะ เดี๋ยวจะกังวลเปล่าๆ”
“แล้วนายจะให้ผมรายงานเรื่องนี้กับนายท่านมั้ยครับ”
“ยังก่อน เรายังไม่รู้เลยว่ามันเป็นพวกศัตรูของพ่อ หรือว่าคู่แข่งทางธุรกิจของแม่กันแน่”
“ครับ ไว้ผมจะเพิ่มคนติดตามให้นะครับ” จิตตินโค้งลาให้ก่อนออกไปจากห้อง อย่างที่ผมบอกว่าชั้นนี้ทั้งชั้นเป็นของผม ห้องอื่นๆ ที่เหลือก็เป็นที่พักของเหล่าบอดี้การ์ดนั่นแหละ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จิตตินจะเพิ่มจำนวนผู้อารักขาให้ผมอีกกี่คน บางทีหมอนี่ก็ชอบเป็นห่วงผมเกินเหตุ อาจเพราะด้วยดูแลกันมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นล่ะมั้ง เขาถึงเป็นห่วงผมเหมือนลูกเหมือนหลาน พวกการยิงปืนหรือศิลปะการต่อสู้ต่างๆ ก็ได้เขานี่แหละมาฝึกให้ตั้งแต่สิบกว่าขวบ
ใช่ ตั้งแต่ช่วงประถมปลายเท่านั้น ในขณะที่ลูกคนรวยคนอื่นๆ เอาเวลาไปเพิ่มความสามารถพิเศษอย่างเปียโนหรือตีกอล์ฟ ผมก็กำลังฝึกเทควันโดและยิงธนู
อย่างที่เคยบอกไปว่าผมเป็นลูกเจ้าพ่อมาเฟียตระกูลติง พ่อค้าอาวุธ เจ้าของคาสิโนและสถานบันเทิงมีชื่อในฮ่องกง ถึงจะไม่ยุ่งกับการค้ายาหรือค้าประเวณี แต่ก็คงพูดไม่ได้เต็มปากว่าเราทำธุรกิจใสสะอาด
ส่วนฝั่งแม่ คุณนายกมลา โชคชัยเจริญทรัพย์ เจ้าของธุรกิจโรงแรม คอนโด และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่ทำเงินได้ บางทีก็มีการเขม่นกันในแวดวงธุรกิจเพราะไปเล็งที่ดินผืนเดียวกันบ้าง หรือพยายามสร้างข่าวเพื่อทุบราคาหุ้นก็มี ผมถึงได้บอกไงว่ายังปักใจไม่ได้หรอกว่าพวกมันเป็นคนของฝั่งไหน แม้จะมีแนวโน้มเอนเอียงมาทางฝั่งแม่มากกว่าก็ตาม
ถ้าถามว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น ก็เพราะว่าเรื่องมันเกิดขึ้นที่เมืองไทยยังไงล่ะ
คิดแล้วก็โมโหในความชะล่าใจของตนเอง จริงอยู่พ่อผมเป็นมาเฟีย แต่เวลาอยู่ที่ไทยผมก็แค่ลูกนักธุรกิจธรรมดา ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีคนติดตามมากมายเป็นพรวนเพื่อรักษาความปลอดภัย แถมการไปไหนมาไหนของตัวเองก็ไม่ได้ประกาศโจ่งแจ้ง เลยไม่คิดเลยสักนิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ยิ่งเป็นคอนโดของที่บ้านผมยิ่งไม่ระวัง ไม่เคยคิดเลยว่านั่นอาจเป็นจุดหละหลวมที่ศัตรูเล็งเห็นมาตลอด
หลังพ่อแม่แต่งงานกัน ผมก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ฮ่องกงกับพ่อเสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่แม่ก็ไปๆ มาๆ ระหว่างสองประเทศ คุณนายเธอทิ้งธุรกิจของบ้านไปไม่ได้เพราะเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว แน่นอนว่าในตอนต้นการแต่งงานถูกผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายคัดค้าน เพราะตายายผมไม่อยากให้ลูกสาวไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ส่วนอากงอาม่าก็ไม่อยากได้ลูกสะใภ้เป็นชาวต่างชาติ แต่พอมันมีผลประโยชน์ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยว พวกเขาก็เลยเหมือนจะยอมๆ ไป
ก็แค่เหมือนๆ เท่านั้นแหละ
อย่างกับในละครที่พอลูกสะใภ้ไม่อยู่ แม่ผัวก็พยายามหาเมียน้อยที่ถูกใจมายัดเยียดให้ลูกชาย หลังจากรู้เรื่องว่าพ่อมีชู้ แถมมีลูกด้วยกันอีกแม่ผมก็ขอหย่าทันที ตอนนั้นผมไม่กี่ขวบเอง แน่นอนเรื่องพวกนี้แม่เพิ่งมาเล่าเอาตอนโต
จากเด็กชายติงเผิงอี้ หรือชื่อฝรั่งเก๋ๆ ว่า Parker Ting ก็ย้ายสำมะโนครัวกลับไทย พร้อมกับชื่อใหม่คือเด็กชายภากร โชคชัยเจริญทรัพย์ แต่ถึงอย่างนั้น ความสัมพันธ์พ่อลูก ย่าหลานก็ตัดไม่ขาด อาจด้วยเพราะผมเป็นลูกชายคนแรก พ่อก็เลยส่งคนมาคอยดูแลที่ไทย และยังคงไปมาหาสู่กันตลอดเวลาฝ่ายนั้นแวะมาเมืองไทย หรือผมแวะไปฮ่องกง
รู้ตัวอีกที ผมก็โตมาพร้อมกับเสียงลั่นกระสุนและกลิ่นดินปืนเสียแล้ว
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างเมื่อยล้า ก่อนหลับตาลงเห็นนาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลา 03:45 เรี่ยวแรงที่เหลือในตอนนั้นจึงถูกใช้ไปกับการคำนวณเวลาตื่นนอนของแฟนเก่า
วันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะอาการปวดตุบๆ ทั้งที่หัวและที่แผล อา... ถึงเวลาไปโรงพยาบาลแล้วสินะ บ่ายโมงกว่าแล้ว นี่กูนอนกินบ้านกินเมืองอะไรขนาดนั้นวะ
การตื่นบ่ายโมงในวันหยุดสำหรับคนทั่วไปอาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ผมบอกเลยว่าสำหรับผม ตั้งแต่ถูกส่งไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกา ผมก็มีระเบียบขึ้นมาก ผมอยากเปลี่ยนเป็นคนใหม่ โอเคส่วนหนึ่งก็เพื่อประชดพีทด้วยแหละ มันปล่อยผมไปง่ายๆ โดยไม่รั้งอะไรไว้เลย ผมเลยอยากทำให้มันเห็นว่าผมโตขึ้น หล่อขึ้น นิสัยดีขึ้นจนน่าเสียดาย
แม่ง ความคิดแบบนี้นี่แหละของเด็กที่ยังไม่โต
โอเคผมรู้ตัว แต่อย่างน้อยผมก็ได้นิสัยตื่นเช้าและคิดก่อนพูดมากขึ้นกลับมาแล้วกัน
ผมเดินเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ด้วยวัตถุดิบที่จิตตินซื้อเตรียมไว้ในตู้เย็นแล้ว เขาเป็นเหมือนพ่อบ้านและพี่เลี้ยงไปในตัว แม้ว่าเขาจะตามผมไปดูงานที่อเมริกาและกลับมาพร้อมกัน แต่ทุกครั้ง ของทุกอย่างจะถูกตระเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยเสมอ
“อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะไปโรงพยาบาล เตรียมรถไว้ด้วย” ผมต่อสายหาห้องข้างๆ แล้วกลับมาจัดการอาหารเช้าตรงหน้าต่อ ชีวิตชายโสดล่ะน้า ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าไข่ดาว แฮมและขนมปังปิ้งอีกแล้ว
พูดแล้วก็นึกถึงพีทขึ้นมา สมัยคบกันผมเคยกินอาหารฝีมือมันสองสามครั้ง รสชาติใช้ได้ทีเดียว แถมยังมีศิลปะครีเอทเมนูได้หลากหลาย เมนูที่ผมจำได้ขึ้นใจเลยคือข้าวผัดกะเพราหน่อไม้ไข่เค็ม พูดตรงๆ ว่าตอนได้ยินชื่อนี่อคติในใจไปแล้วด้วยความรู้สึกว่ามันจะไปเข้ากันได้ยังไงวะ แต่พอได้กินมันกลับผิดคาด แน่นอนว่าไปในทางที่ดีนะ
ป่านนี้เจ้าตัวคงนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานอยู่ ผมรู้หรอกว่าอาชีพนี้มันงานหนัก ยิ่งทำโรง’บาลรัฐนี่ผมงงมากว่าค่าตอบแทนที่ได้มันคุ้มกับสุขภาพที่เสียไปจากการอดหลับอดนอนเหรอวะ อดมันตั้งแต่อ่านหนังสือสอบเข้า จนเรียน จนทำงาน แต่ก็ว่าไม่ได้ มันเป็นอุดมการณ์ของมันที่อยากจะเป็นหมอเหมือนกับพ่อ
ผมชักจะคิดถึงมันบ่อยไปและ ให้ตายสิ! คิดถึงเหรอ กับคนที่เลิกกันไปและไม่ได้เจอกันตั้งแปดปีเนี่ยนะ