CHAPTER 7 #Korn

2625 Words
ความเย็นจากแอร์และอาการครั่นเนื้อครั่นตัวทำให้ผมลืมตาขึ้น แสงไฟสลัวจากด้านนอกพอช่วยส่องให้เห็นบรรยากาศภายในห้อง ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาล บนเตียงคนไข้ ผมคิดได้นั้นก็โล่งออก ความทรงจำสุดท้ายในหัวผมไม่ค่อยดีเท่าไร ก่อนสลบไปผมจำได้ว่าโดนอัดแถมโดนกระสุนไปหลายที่อยู่ แอบคิดว่าต้องจบชีวิตแล้วเสียอีก “กร!” เสียงคุ้นหูทำให้ผมต้องหันไปมองที่ต้นเสียง แต่ก็ยังช้ากว่าพีท เจ้าตัวพุ่งเข้ามาทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดนั่นคือโผเข้าซุกกอดตัวผมไว้ กลายเป็นผมที่ต้องลูบหัวปลอบมันแทน “กูไม่เป็นไร” จิตตินเดินเข้ามาจากหน้าประตู แต่ผมส่งสัญญาณให้ออกไปก่อน ขอจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน “ไม่เป็นไรก็แย่แล้ว” มันพูดเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังซ่อนใบหน้าเอาไว้ ใจหนึ่งก็อยากจะแซวว่านี่น่ะเหรอ คนที่เพิ่งไล่ผมไปจากชีวิตน่ะ ดูตอนนี้สิกอดไม่ปล่อยเลย แต่คิดอีกทีผมสงบปากสงบคำไว้ดีกว่า “กูขอโทษนะที่พูดไม่ดี ที่ปล่อยมึงไว้คนเดียว” มันละล่ำละลักทั้งน้ำตา “กูไม่น่างี่เง่าเลย กูตกใจมากเลยตอนโทรหามึงไม่ติด” “พวกนั้นมันโยนไอโฟนกูทิ้งไปตั้งแต่ที่ห้างแล้ว” “กูแอบคิดว่ามึงจะไม่รอดด้วย” “กูก็คิด” “ไอ้บ้า พ่อมึงสิ ทีหลังอย่าคิดอย่างนั้นรู้มั้ย” พีทผละออกจากตัวผมไปนั่งดีๆ บนเก้าอี้ข้างเตียง พลางยกหลังมือเช็ดน้ำตา “มึงเพิ่งบอกกูไปเองว่ามึงก็คิด” มึงย้อนแย้งนะเนี่ย “ไม่รู้ล่ะ ยังไงตอนนี้มึงก็รอดแล้ว กูไปช่วยผ่าช่วยเย็บแผลให้มึงด้วยนะ ถึงจะไม่ค่อยมีสติก็เหอะ” “นี่คือถ้ากูมีแผลเป็นต้องโทษมึงใช่มั้ย” “มึงโทษตัวเองเหอะ แผลเก่ายังไม่ทันตัดไหม ได้แผลใหม่มาอีกและ” “กูถึงบอกไง ว่ากูต้องการหมอ” ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมใสที่รื้นน้ำตาของมันในความมืด “อืม รู้แล้ว จะเป็นให้” มันพยักหน้าอย่างว่าง่าย นั่นทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง” “กูยอมแล้ว จะจีบกูแล้วค่อยทิ้ง หรือจะทำอะไรก็ทำ ขอแค่อยู่ให้กูเห็นหน้าไปนานๆ ก็พอ” “กูขอโทษที่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับมึงไม่ได้” มันส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร “กูชอบที่มึงไม่เคยโกหก ถึงบางครั้งจะชอบให้สัญญาส่งๆ ก็เหอะ” “แต่กูมั่นใจว่าครั้งนี้มันจะไม่จบแบบเดิมแน่ กูจะทำมันให้ดีกว่าเดิม” “และจะดีมากด้วยถ้ามันจะไม่จบ” มันยิ้มให้ผม “ว่าแต่ อะไรทำให้มึงเปลี่ยนใจ เพราะกูเกือบตายเหรอ” “ใช่ กูโคตรกลัวเลยตอนเห็นเลือดมึงไหลขนาดนั้น หน้าซีดปากซีด มือเย็นไปหมด พอคิดว่าโลกของมึงนี่ความตายอยู่ใกล้นิดเดียว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ กูเลยคิดว่าเราควรทำอะไรที่มีความสุขดีกว่า ปัญหาที่ยังไม่เกิด ขอไม่นึกถึงก็แล้วกัน” “กูควรดีใจกับความเกือบตายครั้งนี้ใช่มั้ย มึงไม่เคยพูดกับกูยาวๆ แบบนี้เลยนะ” “กวนตีน” มันยกมือเตรียมฟาดผม แต่เมื่อเห็นว่าหาที่ลงไม่ได้ก็เปลี่ยนมาเป็นทุบเตียงแทน “กูตามหมอมาตรวจมึงดีกว่า” พีทเอื้อมมากดกริ่งเรียกพยาบาลที่หัวเตียง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปไหน” ผมรั้งข้อมือมันไว้ “จะไปเปิดไฟ” “เออแล้วนี่กี่โมงแล้ว” “สี่ทุ่มของอีกวัน มึงนอนไปเกือบ 24 ชั่วโมงอ่ะ” ไม่นานจิตตินก็เข้ามาพร้อมกับหมอและพยาบาล เข้าใช้เครื่องมือตรวจร่างกายผมพร้อมถามความรู้สึกคร่าวๆ หลังทั้งคู่เดินออกไปเหล่าลูกน้องของผมก็กรูกันเข้ามาแสดงความยินดีกันยกใหญ่ “ขอบคุณทุกคนมากนะที่มาช่วยฉัน นี่มีใครเป็นอะไรมากหรือเปล่า” “กันกับอ๋องพักอยู่ห้องข้างล่างครับ ที่เหลือแค่มีแผลภายนอก” “แล้วนั่น ยุทธต้องเข้าเฝือกเลยเหรอ” “ข้อมือซ้นนิดหน่อยครับนาย” หลังกวาดสายตาดูว่าทุกคนไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนักจนน่าเป็นห่วงผมก็ยิ้มออกมา “ไว้ฉันหายแล้วเราไปกินเลี้ยงกันดีกว่าเนอะ” “ครับ!” “หิวมั้ย” พีทถามขึ้นหลังลูกน้องผมออกไปกันหมด “ไม่อ่ะ อิ่มน้ำเกลือ” “งั้นนอนพักเถอะ” “กูเพิ่งจะตื่นนะ” “แต่กูง่วง รู้มั้ยว่าผ่ามึงเสร็จกูต้องอยู่เวรต่อถึงเช้า แล้วทำงานถึงสี่โมงอีก เพิ่งได้หลับไปตอนสองทุ่มเนี่ย” “อย่าหัวร้อนสิ มึงปิดไฟนอนก็ได้ ไม่สิ มึงกลับห้องไปนอนก็ได้” “กูขนเสื้อผ้ามาเฝ้ามึงแล้ว ไม่กลับหรอก” มันเสมองกระเป๋าเสื้อผ้าที่ปลายด้านหนึ่งของโซฟา “กูเตรียมมาตั้งสามชุด มึงตื่นเร็วกว่าที่กูคิดอีกนะเนี่ย” “แช่งให้กูเป็นเจ้าชายนิทราหรือไง” “เดี๋ยวกูจูบมึงก็ตื่น” มันชะงักเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมาก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “มึงหิวข้าว อยากกินอะไรมั้ย” “มึงเพิ่งถามกูไปนะ” “ง… งั้นหนาวมั้ย กูเบาแอร์ให้” “ไม่ต้องหรอก มึงดูร้อนนะ” “อะไร กูเฉยๆ” “แล้วทำไมหน้าแดงอ่ะ” ผมกระเซ้า “ทำไมมึงดูไม่เหมือนคนป่วยเลยวะ!” สุดท้ายก็เป็นมันที่ยอมแพ้ เดินปึงปังไปปิดไฟแล้วเหลือไว้เพียงไฟในห้องน้ำ “ไม่มา good night kiss กูหน่อยเหรอ” ผมพูดตอนเห็นมันล้มตัวลงนอนบนโซฟา “กูให้ได้แค่ dying kiss เท่านั้นแหละ” ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงสาย บนโซฟาที่พีทเคยนอนอยู่ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยร่างเขื่องๆ ของจิตตินนั่งเฝ้าอยู่แทนแทน “ตื่นแล้วเหรอครับ” “อื้ม” “นายครับ คุณผู้หญิงรู้เรื่องแล้วนะครับ ท่าทางจะโทรไปฟ้องนายใหญ่แล้วด้วย” “เฮ้อ ให้มันได้อย่านี้สิ” ผมถอนหายใจ “แต่เรื่องหนักข้อขนาดนี้ก็คงปิดแม่ไม่ได้อยู่แล้วล่ะ แล้วเรื่องไปถึงหูนักข่าวหรือยัง” “ผมฝากเลขาคุณผู้หญิงให้จัดการเรื่องนี้แล้วครับ” “ขอบใจมาก” “นายจะทานข้าวเช้าเลยมั้ยครับ” ผมเบนสายตาไปที่ถาดอาหารเช้าของโรงพยาบาล ดูๆ แล้วไม่น่าจะทำให้ผมอิ่มได้เลย “ฉันไม่อยากกินอาหารคนป่วย นายไปซื้ออะไรให้หน่อยสิ” “ครับ” ผมฟังจิตตินสั่งการใส่หูฟังบอกให้ลูกน้องที่เฝ้าด้านนอกไปซื้อข้าวแล้วนึกขำ ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะมาไกลขนาดที่ต้องสั่งข่าวผ่านหูฟังลายลับ จริงๆ เมื่อคืนก็เฉียดเข้าปรโลกไปแล้ว ไม่มีอะไรไปไกลกว่านั้นแล้วล่ะ “เพิ่มบอดี้การ์ดมาอีกกี่คนกันล่ะ” ผมถามยิ้มๆ “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะครับ” “ฉันรู้น่าว่านายเป็นห่วง แล้วเรื่องที่ตามสืบไปถึงไหนแล้ว” “ยังหาตัวนกต่อที่ไปเช่ารถไม่เจอเลยครับ ถ้าไม่หนีไปกบดาน ก็คงโดนเก็บไปแล้ว” “แต่ฝีมือพวกมันดูไม่เหมือนนักฆ่า เหมือนนักเลงมากกว่า ดูจากรอยแผลที่ยิงฉันสิ ต่อให้ไม่ใช่เป้านิ่งแต่ถ้าถูกฝึกมาให้ฆ่าคนจริงเล็งหัวทีเดียวให้จอดคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่นี่เหมือนยิงสะเปะสะปะมากกว่า” “นายสงสัยใครเป็นพิเศษมั้ยครับ” “ยังไม่มี แต่คิดว่าคงไม่ใช่ศัตรูของพ่อ แก๊งคู่แข่งมีฝีมือกันทั้งนั้น ไม่น่าพลาดตั้งสองครั้งหรอก แล้วนี่ได้เบาะแสอะไรจากเรื่องเมื่อคืนมั้ย” “เมฆไปจัดการพวกที่รอดให้สารภาพอยู่ครับ อยู่ที่โกดังร้างของเรา” “ดี คอยรายงานฉันด้วยถ้ามีอะไรคืบหน้า” จากนั้นลูกน้องที่จิตตินสั่งให้ไปซื้อข้าวให้ผมก็กลับเข้ามาพร้อมผัดซีอิ๊วสองกล่อง ผมไม่ใช่คนกินยากอะไร แค่อาหารโรง’บาลมันไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากอาหารเลย หลังจิตตินเข็นถาดอาหารเช้าออกไปไม่นาน พยาบาลก็นำชุดอาหารกลางวันเข้ามาพร้อมยาอีกหลายเม็ด เธอกำชับว่าหลังทานข้าวเสร็จให้บอก จะมาเช็ดตัวและทำแผลให้ แต่เรื่องไรผมจะบอก ผมรอ ‘หมอประจำตัว’ มาทำให้ดีกว่า “กรลูก!” ไม่รู้ว่าผมเผลองีบหลับไปตอนไหน แต่เสียงสิบแปดหลอดของแม่ก็ปลุกให้ผมตื่น “แม่มาได้ไงเนี่ย” “ยังจะมาถามแบบนี้อีก แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ไหนบอกว่าไม่มีอะไร จัดการเองได้ไง แล้วทำไมถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้ฮึ อย่าให้รู้เชียวนะว่าเป็นฝีมือใคร นี่ถ้าตาเรายังอยู่นะ...” “พอแล้วแม่ ห้องข้างๆ รู้หมดแล้วเนี่ย” แม่ผมบ่นกระปอดกระแปดอีกนิดหน่อย เพราะงี้แหละผมถึงไม่อยากให้แม่รู้ ตาผมเป็นนักการเมืองเก่า เส้นสายและอำนาจก็พอมีอยู่บ้าง ซึ่งแค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว ทำไมในตัวผมนี่มันมีเลือดผู้มีอิทธิพลอยู่เยอะจังวะ “แล้วนี่เจ็บมั้ย” “ไม่เจ็บ หมอวางยาสลบ” จริงๆ ไม่อยากจะบอกว่าผมโดนซัดจนสลบไม่รู้ตัวมากกว่า “ยังจะเล่นมุกอีก!” “ก็ไม่อยากให้เครียดดด” แม่ผมก็ขี้บ่นบวกทำเป็นดุไปแบบนี้แหละครับ ที่จริงก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนักหรอก ออกจะโอ๋ผมด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่คนสนิทมองมาคงคิดว่าผมเป็นเด็กดื้อกวนประสาทบุพการีไม่รู้จักบุญคุณแน่ๆ คุยสัพเพเหระกันไปสักพักแม่ก็ขอตัวกลับเพื่อให้ผมพักผ่อน ผมก็แกล้งปิดไฟนอนตามที่คุณเธอสั่ง แต่พอคล้อยหลัง ผมก็สั่งจิตตินให้เปิดไฟเหมือนเดิม จะสองทุ่มแล้ว หมอของผมก็ยังไม่โผล่มา อยากจะโทรหาอยู่หรอกแต่มือถือโดนโยนทิ้งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ พวกเวรเอ๊ย! นั่นไอโฟน Red ด้วยนะ ผมซื้อมาไม่ใช่ถูกๆ แถมตอนนี้ก็คงไม่มีขายแล้วด้วย “ตอนนายหลับ คุณพีทซื้อข้าวเย็นมาฝากด้วยครับ” จิตตินบอก “แล้วทำไมเพิ่งมาบอก ไหน มีไรกิน แล้วนี่เจ้าตัวไปไหน” “เห็นว่าเพื่อนขอแลกเวรน่ะครับ” “อย่างงี้ก็ได้เหรอวะ” แล้วที่ผมอุตส่าห์ทนนอนตัวเหม็นมาทั้งวันนี่ล่ะ โอ๊ย เสียแผนหมด ข้าวผัดปูกับแกงจืดที่เคยร้อนถูกจัดใส่จานและวางตรงหน้าผม รสชาติดีไม่เหมือนผัดซีอิ๊วตอนกลางวัน ทำให้ผมฟาดเรียบภายในเวลาไปมาก “หมอบอกหรือเปล่าว่าจะให้กลับได้เมื่อไร” “หมอให้อยู่รอดูอีก 2-3 วันครับ ถ้าแผลไม่ติดเชื้อก็กลับบ้านได้ แต่ยังต้องระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ แล้วก็อย่าขยับตัวมาก” “เฮ้อ นอนเฉยๆ น่าเบื่อจะตายชัก” จิตตินเหมือนรู้งาน หยิบเอาไอแพดมาส่งให้ผม ปกติเครื่องนี้ผมเอาไว้ทำงานกับเช็คข่าวหุ้น ไม่มีเกมอะไร สิ่งที่พอจะช่วยให้ความบันเทิงได้ก็มีแต่ยูทูบ “ทำไมยังไม่นอนอีก” เสียงคุ้นหูของคนที่รอมาทั้งวันทำเอาหัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาชั่วครู่ พีทวางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟาก่อนเดินมาหาที่ข้างเตียง “แล้วนี่กินยาเย็นยัง” “แหะๆ” ยาวางอยู่ในแก้วใสข้างหัวเตียง จิตตินไม่อยู่ในห้องแล้ว เขาคงลืมบอก ไม่ใช่ความผิดผมเสียหน่อย “กินซะ” พีทยื่นยามาให้พร้อมแก้วน้ำ ผมกลืนทั้งหมดลงคออย่างว่าง่าย “แล้วนี่เสร็จงานแล้วเหรอ” “อืม เพื่อติดธุระเลยฝากให้กูอยู่สแตนด์บายแทน นี่มันกลับมาละ” “วันนี้ค้างนี่ป่ะ” “ดูก่อน มึงก็ดูไม่ได้เป็นไรแล้ว” “ใครว่าไม่เป็น” “แล้วเป็นไร” หมอหนุ่มหรี่ตาอย่างรู้ทัน โธ่ ไม่เป็นห่วงกูแล้วเหรอ “เหนียวตัว เช็ดตัวให้หน่อย” “แล้วไม่มีพยาบาลมาทำให้เหรอ” “ก็กูอาย ก็เลยบอกเขาว่าจะทำเอง” ผมแถไปเรื่อย “กับกูนี่ไม่มีเลยสินะ ยางอายน่ะ” “ช่วยกันแค่นี้ไม่ได้รึไง” “เอ้า ก็ได้ รอแป๊บ” พีทว่าแล้วเตรียมเดินไปหยิบของแต่ถูกผมรั้งไว้ “เอาไรอีก” “กูอยากสระผมด้วยอ่ะ หัวเน่าแล้ว” มันกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แต่สุดท้ายก็ยอมจำนน “ก็ได้ๆ กูเลี่ยนชุดแป๊บ” พีทเดินหยิบชุดเข้าห้องน้ำไป ไม่นานก็กลับออกมากวักมือเรียกผม “ช่วยถอดชุดหน่อยดิ” “มึงเป็นง่อยเหรอ” “มันติดสายน้ำเกลือเนี่ย” ไม่ได้สำออยนะ สาบาน “จ่ะๆ” พีทเดินเข้ามาแก้เชือกอย่างชำนาญ ไม่นานก็จัดการเอายูนิฟอร์มคนป่ายออกไปจากตัวผมได้ ทีนี้ก็เหลือแต่กางเกงแล้วสินะ ผมมองดูอยู่เงียบๆ ว่ามันจะทำยังไงต่อไป “เอ่อ... มึง ลูกน้องมึงเอาเสื้อผ้ามาให้มึงเปลี่ยนป่ะ” “ไม่อ่ะ” “งั้นมึงไปเอากางเกงบอลกูมาใส่ก่อนก็ได้” “หยิบให้หน่อย” “พอเลย ไม่ใช่คนใช้นะ” สุดท้ายผมก็ต้องไปหยิบเอง ก็ไม่ได้อยากจะใช้มันหรอกนะครับ แต่มือที่ติดเข็มน้ำเกลือเนี่ย มีก็เหมือนไม่มี ทำอะไรลำบากฉิบ “มาละ” “เออ นั่งๆ ละแหงนคอมา” ผมนั่งขัดสมาธิและเอนคอไปด้านหลังอย่างที่มันบอก แต่เพราะมันก็นั่งพื้นเหมือนกัน ความสูงจึงไม่ได้ต่างกันมาก การเอาฝักบัวล้างหัวให้ผมจึงเป็นไปอย่างเก้ๆ กังๆ ไหนจะต้องคอยเลี่ยงไม่ให้น้ำไหลมาโดนแผลอีก “วันหลังกูเอาเสื้อกันฝนมาให้มึงใส่ดีกว่า” “แปลว่าวันหลังก็จะมาสระผมให้กูอีกใช่มะ” “อยู่นิ่งๆ ดิสัด กูเปียกหมดแล้ว” พีทเทแชมพูลงบนหัวผมแล้วขยี้เร็วๆ อยู่สองสามทีก็ล้างออก “ยังไม่สะอาดเลย ทำไมรีบล้างแล้ว” “ฟอกเยอะกว่านี้ก็ล้างยาก มึงจะอะไรนักหนา ไม่ต้องไปโชว์หล่อที่ไหนซะหน่อย” “ก็ได้ๆ” หัวกูจะหายเหม็นมั้ยเนี่ย “เสร็จละ หันมาซิ แผลเปียกตรงไหนเปล่า” ผมพลิกตัวกลับไปตามคำบอก เจอกับร่างของพีทที่เปียกอย่างกับคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ไม่ต้องพูดถึงพื้นห้องน้ำเลยว่าเจิ่งนองขนาดไหน ผิวขาวๆ ใต้เสื้อกล้ามเปียกปอนทำเอาผมลอบกลืนน้ำลาย คงไม่ผิดใช่มั้ยที่จะคิดว่ามันเซ็กซี่น่ะ หน้าท้องแบนๆ กับแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามการหายใจของเจ้าตัวทำเอาผมเผลอจ้อง ก็แหม เปียกขนาดนี้มีเสื้อก็เหมือนไม่มี แต่เสียงกระแอมไอของมันก็เรียกสติผมให้กลับคืนมา “จะจ้องให้ท้องเลยมั้ย” “ไม่อ่ะ ว่าจะจ้องให้รัก” “ภากร” “โทษทีๆ” “เดี๋ยวเช็ดตัวต่อ อยู่นิ่งๆ จะได้เสร็จไวๆ” “มึงชอบคนเสร็จไวอ่อ” “ไอ้สัดกร! อย่าลีลา กูหนาว อยากอาบน้ำแล้วโว้ย” “ครับๆ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD