ผมลุกออกมาทันทีหลังพูดสิ่งที่อยากพูดออกไปจบ ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าน้ำตามันไหลออกมา ปกติผมไม่ใช่คนแสดงความรู้สึกเก่ง แต่วันนี้ผมได้รวบรวมความกล้ามาพูดสิ่งที่อยากพูดและอัดอั้นมาตลอดออกไปจนหมด มันก็รู้สึกเหมือนจะดีอยู่หรอกที่ได้เคลียร์กับกรตรงๆ แต่นั่นก็เท่ากับว่าหลังจากนี้ผมคงไม่ได้เห็นหน้ามันอีกแล้ว
ก็แค่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมล่ะนะ
ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะต้องกลับไปเข้าเวร ผมกะว่าจะไปว่ายน้ำให้หัวโล่งๆ เสียหน่อย จึงตรงดิ่งไปยังลานจอดรถ ไม่แวะเดินเล่นที่ไหน แต่กลับไปสะดุดสายตาเข้ากับรถตู้คันหนึ่งมันดูคล้ายกับรถตู้ที่มาดักยิงกรในคืนนั้นยังไงไม่รู้
ไม่ๆ มึงอ่ะคิดมาก รถคันไหนๆ เขาก็ติดสติกเกอร์วัดท่าไม้ข้างหลังกันทั้งนั้นแหละ แต่ด้วยความอยากพิสูจน์ให้หายข้องใจผมเลยเข้าไปสำรวจใกล้ๆ เผื่อจะนึกอะไรออก แต่ก็คว้าน้ำเหลว ก็นอกจากสติกเกอร์นั่นผมก็จำอะไรเกี่ยวรถคันนั้นไม่ได้สักอย่าง ขนาดเห็นทะเบียนโต้งๆ แบบนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าใช่คันเดียวกันหรือเปล่า
ผมส่ายหน้าให้กับความขี้เสือกของตัวเองก่อนขับรถกลับคอนโด ฝนที่ตกปรอยๆ ด้านนอกทำเอาอารมณ์ผมดาวน์ไปใหญ่ ทั้งๆ ที่คิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้ผมต้องมาเสียใจทีหลัง แต่ทำไมผมไม่มีความสุขเลยวะ เฮ้อ
“อ้าวคุณ” ลูกน้องของกรที่ผมพอจะคุ้นหน้าทักขึ้นระหว่างเรากำลังจะเดินสวนกัน
“สวัสดีครับ” ผมเห็นว่าเขาดูน่าจะอายุเยอะกว่าเลยยกมือไหว้อัตโนมัติ
“ไม่ต้องไหว้หรอกครับ แล้วนี่นายไม่ได้กลับมาด้วยเหรอครับ”
“เปล่าครับ ผมขับรถมา” ผมเลี่ยงที่จะตอบว่าเราทะเลาะกัน
“ถ้างั้นเดี๋ยวนายคงกลับมา ผมไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่าครับ”
“เดี๋ยวครับ...” ผมรั้งไว้ อยู่ๆ เรื่องรถตู้ปริศนาคันนั้นก็แวบขึ้นมาในหัวเลยคิดว่าบอกไว้หน่อยคงจะดี “วันนี้คุณไม่ตามเขาไปเหรอครับ ปกติเห็นอยู่ด้วยตลอด”
“วันนี้นายต้องการทานข้าวกับคุณแบบส่วนตัวน่ะครับ เลยสั่งไม่ให้ใครตามไป”
“คุณจำทะเบียนรถของพวกที่มาดักยิงกรเมื่อคืนก่อนได้มั้ยครับ”
“คุณถามทำไม”
“คือวันนี้ผมเห็นรถคล้ายๆ คันนั้นที่ลานจอดรถห้าง แต่ผมไม่ชัวร์ว่า...”
“เลขทะเบียนอะไรครับ”
“อส 2485”
“เวรแล้ว!” เขารีบออกตัววิ่งไป แต่ก็ชะงักก่อนหันมาสั่งผม “คุณโทรบอกนายเรื่องนี้ ผมจะไปเตรียมลูกน้อง”
ผมไม่ทันได้รั้งเขาไว้เป็นครั้งที่สองร่างนั้นก็วิ่งเข้าลิฟต์ไปเสียแล้ว ต่อให้ผมยังไม่พร้อมที่จะพูดกับมันแค่ไหน แต่ดูจากอาการของลูกน้องมันแล้ว นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องทำ
ผมต่อสายหามันแต่ไม่มีคนรับตลอดจนผมเริ่มร้อนใจ ขออย่าให้ความคิดของผมเป็นจริงเลย...
ไม่ได้ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง
สองขาออกวิ่งกลับไปที่ลานจอดรถอย่างว่องไว ในเมื่อผมโทรหามันไม่ได้ ผมก็จะกลับไปเตือนมันที่ห้างด้วยตัวเองนี่แหละ
“คุณพีทครับ! นั่นคุณจะไปไหน!” เสียงลูกน้องคนเดิมเรียกทำเอาผมชะงัก ผมหันกลับก็เห็นพรรคพวกของเขากำลังเตรียมออกรถอยู่
“ผมติดต่อมันไม่ได้เลย ผมจะกลับไปที่ห้าง”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับ มันอาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงก็ได้”
“ถ้าไม่ร้ายแรงพวกคุณจะไปกันทำไมตั้งหลายคน!”
“มันอันตราย คุณควรรออยู่ที่นี่”
“ผมจะไปด้วย”
“แต่…”
“ไม่มีเวลาแล้วพี่จิตติน” ลูกน้องอีกคนเปิดประตูรถลงมาบอก ผมจึงได้จังหวะพาตัวเองกระโดดขึ้นรถนั่งแทนที่เขาไปเสียเลย ถ้ายังจะลากกันลงไปอีกก็ให้มันรู้ไป!
คนชื่อจิตตินส่ายหัวยอมแพ้ เขาเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วสั่งออกรถทันที
“เป็นไงบ้างเมฆ” จิตตินหันไปพูดกับคนขับ
“ผมให้คนของเราขับวนดูอยู่แถวห้างพี่ แต่ยังไม่มีใครรายงานว่าเห็นรถคันนั้น” เมฆเหลือบตามองผมผ่านกระจกมองหลัง “คุณแน่ใจใช่มั้ยว่าดูรถไม่ผิด”
“ทะเบียนรถมันตรงกัน” เป็นจิตตินที่ตอบคำถามแทน
“แต่ถ้าพวกมันแค่เอารถคันนั้นมาสับขาหลอก...” สิ้นคำนั้นทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ก่อนเมฆจะสั่งการกับหูฟังของเขา “จับตาดูรถทุกคนที่น่าสงสัยด้วย รถตู้คนนั้นอาจเป็นแค่ตัวหลอก”
“คุณลองโทรหานายอีกที” จิตตินบอก และผมทำตามทันทีแต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
“ไม่ติดเลยครับ”
เม็ดฝนที่เริ่มตกลงมาแรงขึ้นทำให้การจราจรชะลอตัวมากขึ้นไปอีก ผมก็อยากจะคิดในแง่ดีหรอกนะว่าถ้ารถเราไม่ขยับ รถคนร้ายก็คงไปไหนไม่ได้เช่นกัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้มันก็ทำใจให้คิดแบบนั้นยากเหลือเกิน
ผมก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ยังไม่หนึ่งทุ่มดี ผมกับกรเพิ่งแยกกันราวหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าคนร้ายไม่ได้มาลากตัวมันไปทันที แปลว่าตอนนี้ก็ยังพอมีหวังหรือเปล่านะ
ผมกัดปากตัวเองอย่างใช้ความคิด มือก็กดโทรศัพท์ยิกๆ หาคนที่กำลังเป็นห่วง พยายามคิดหาวิธีอื่นที่จะช่วยพาเราไปถึงตัวมันหรือตัวคนร้ายได้อย่างเร็วที่สุด
“อ๊ะ มันออกมาแล้ว” เสียงเมฆเรียกความสนใจจากผมไปได้ในทันที เขาสั่งการกับลูกน้องต่อ จับใจความได้ว่าให้ตามไปห่างๆ อย่าให้พวกนั้นรู้ตัวและคอยรายงานสถานการณ์
“ผมว่าถ้าเลยแยกนี้ไปได้รถน่าจะติดน้อยลง” เขาหันมาพูดเหมือนรู้ความในใจของผม
ไม่นานเราก็หลุดจากวงจรรถติดของกรุงเทพทหานครออกมาได้ เมฆเร่งความเร็วจนสุดเท่าที่เขาจะสามารถขับไปตามทางที่ได้รับรายงานผ่านหูฟังไร้สาย รถราเริ่มบางตาเมื่อออกมานอกเขตเมือง โชคดีที่เม็ดฝนก็เริ่มซาไปด้วย
“นี่มันทางไปโกดังเก็บของของโรงแรม”
“ไม่ผิดแน่ นายอ้อมไปเข้าทางด้านหลังนะ อย่าให้พวกมันรู้ตัว” จิตตินสั่ง
ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัว เหงื่อเย็นๆ ไหลมาตามลำคอทั้งๆ ที่แอร์ในรถก็ไม่ได้ร้อน ความรู้สึกยิ่งกว่าตอนเจอเคสฉุกเฉินไหนๆ เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องความเป็นความตายของคนไข้ แต่มันคือความเป็นความตายของคนที่ผมรัก
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นตอนที่รถของเรายังไม่ทันจอดสนิทดี จังหวะนั้นทุกคนยกเว้นผมก็กระโดดลงจากรถพร้อมปืนในมือทันที จิตตินหันมาสั่งให้รออยู่ในรถเงียบๆ ซึ่งผมเห็นด้วย ขืนลงไปก็เป็นตัวถ่วงเปล่าๆ แต่ก็ยังคอยชะเง้อมองผ่านกระจกอยู่ตลอด
เหล่าบอดี้การ์ดกรูกันลงไปเปิดฉากต่อสู้ที่ลานโล่งหน้าโกดังเหมือนในหนังบู๊ที่ผมเคยผ่านตา ทว่าไม่มีร่างของกรอยู่แถวนั้น ผมปีนไปเบาะหน้าเพื่อจะมองได้ชัดขึ้นแต่ก็ยังไม่เห็นมัน ความร้อนใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนกำลังขยับเข้ามาที่รถ
ปัง! ปัง!
“เชี่ย!” ผมสะดุ้งตัวโยนก่อนรีบตะครุบปากตัวเองไว้แล้วย่อตัวลงได้เบาะเพื่อซ่อนตัว เสียงปืนมันดังมากเหมือนกับว่ามายิงอยู่ใกล้ๆ นี่เอง แต่เมื่อเหลือบสายตามองออกไปกลับไม่พบใครอื่นนอกจากความมืด
เสียงปืนยังคงดังอยู่เรื่อยๆ มาจากที่ไกลๆ ผมยืดตัวขึ้นมานั่งดีๆ และเลื่อนม่านมาปิดหน้าต่างด้านข้างเอาไว้เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่นอกรถอีก
เสียงลั่นไกสองครั้งเมื่อครู่ทำเอาผมจินตนาการไปไกล ถ้าไม่ใช่ว่ามันมายิงยางรถให้แบนเพื่อกันพวกเราหนี ก็คงยิงถังน้ำมันให้รั่วเตรียมใช้รถเป็นชนวนระเบิด ซึ่งไม่ว่าแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น แต่ตอนนี้หัวสมองไม่สามารถจินตนาการอะไรออกมาในแง่ดีได้เลย
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบรับทันทีด้วยความตกใจแม้จะเป็นเบอร์แปลก โชคดีที่เป็นจิตติน
“คุณขับรถได้ใช่มั้ย กุญแจสำรองอยู่ในเก๊ะข้างคนขับ ขับออกมาด้านหน้าเลยนะ”
“คุณอย่าเพิ่งวางนะ” ผมสตาร์ทรถทันทีที่คลำเจอกุญแจ เมื่อออกตัวก็รู้สึกได้ถึงอาการส่ายไปมาของรถ แต่ผมก็ยังฝืนขับต่อไป “ล้อหลังถูกยิงครับ”
“ประคองมาก่อน ผมอยู่ไม่ไกล”
ผมแตะเบรคสลับกับคันเร่งอย่างระมัดระวัง ไม่นานก็มาถึงบริเวณที่จิตตินรออยู่ ผมลงจากรถวิ่งไปหาเขาทันที
“กรล่ะ!”
“อยู่ในรถแล้วครับ” เขาผายมือไปที่รถเก๋งธรรมดาคันหนึ่ง คงเป็นรถที่เมฆสั่งให้ลูกน้องตามมาล่วงหน้า “คุณฟังผมนะ ผมจะให้คุณนั่งรถคันนี้พานายไปโรงพยาบาล ส่วนทางนี้ผมจะจัดการเอง ไปได้” เขารุนหลังผมให้ขึ้นรถและปิดประตูให้ คนขับรถออกตัวไปอย่างรวดเร็วจนผมต้องรีบเอามือไปบังตัวกรไว้ไม้ให้ล้มลงมา เขาหมดสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยแผล ทั้งรอยช้ำ รอยเลือด ตามโหนกแก้มและคิ้ว มีแผลถูกยิงทั้งที่ไหล่ หลังและขาจนผมไม่รู้จะห้ามเลือดที่ส่วนไหนก่อน
ผมถอดเสื้อตัวเองมามัดไว้ตรงแผลที่ขา ถอดเสื้อกล้ามมาม้วนๆ ทบไว้ตรงแผลที่หลังและปล่อยให้น้ำหนักตัวที่พิงเบาะเป็นแรงกด ส่วนแผลที่ไหล่ก็ใช้มือตัวเองกดเอาไว้เพื่อห้ามเลือด
“เมื่อไรจะถึงโรงพยาบาลครับ” ผมถามคนขับอย่างร้อนรน กรเริ่มหน้าซีดแล้ว
“พี่จิตตินสั่งให้ไปโรงพยาบาลไกลๆ ครับ ถ้าเป็นแถวนี้พวกมันอาจจะเดาทางถูกและตามมาซ้ำอีก”
“แต่นี่ก็ไม่มีรถคันไหนตามมานี่”
“เพราะพี่จิตตินสกัดไว้ครับ แล้วก็ให้คนขับรถตู้คันใหญ่ที่นายใช้ประจำล่อไปอีกทางด้วย แต่ถ้าพวกมันรู้ตัวแล้วย้อนกลับมานายจะไม่ปลอดภัย” เขามองผมผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง “เชื่อแผนพี่จิตตินเถอะครับคุณ”
“งั้นไปโรงพยาบาลที่ผมทำงานเลย”
ร่างของกรถูกพาขึ้นเตียงโดยบุรุษพยาบาลก่อนพาไปห้องฉุกเฉิน ผมเองก็วิ่งตามเข้าไปถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลาเข้าเวรแต่ก็ไม่มีใครห้าม ทั้งอาจารย์ทั้งพี่พยาบาลต่างตกใจกับสภาพเปลือยท่อนบนเลือดเต็มมือกันใหญ่ แต่เพราะทุกคนเข้าใจสถานการณ์ของคนไข้ดีจึงไม่ใครซักไซ้
“คนไข้เลือดกรุปโอครับ” ผมบอกพยาบาลแถวนั้นให้ไปเตรียมเลือดขณะกำลังล้างมือและใส่ชุดคลุมผ่าตัด ได้ยินเสียงพยาบาลข้างในขานเลขชีพจรและความดันแล้วใจผมร่วงไปที่ตาตุ่ม รีบจัดการตัวเองแล้วตามเข้าไปทันที
ผมไม่เคยกลัวการเข้าห้องผ่าตัดแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเคสปวดไส้ติ่งตอนตีสามหรือถูกแทงมาตอนตีสี่ผมก็ผ่านมันมาได้ ผ่านมาได้ด้วยดีด้วย ถึงจะไม่มีประสบการณ์มากพอแต่ผมก็คลุกคลีกับเรื่องแบบนี้ผ่านเรื่องเล่าจากพ่อมาตั้งแต่เด็ก ทำงานใช้ทุนมาสองปี ก็ยังไม่เคยมีคนไข้คนไหนตายในความดูแลของผม แต่ตอนนี้ผมกลับกลัวเหลือเกิน
กลัวว่ามันจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีก
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่ชวนมันทะเลาะที่ร้านอาหารแบบนั้น จะไม่ทิ้งมันไว้คนเดียว หรืออย่างน้อยก็จะไม่ชะล่าใจเมื่อเห็นรถต้องสงสัยคันนั้น
ตลอดการผ่าตัด ผมพยายามควบคุมมือไม่ให้สั่น จะหยิบจับจะลงมืดอะไรก็คิดแล้วคิดอีกจนหมอเวรเจ้าของไข้ต้องไล่ให้พัก แต่ผมก็ดื้อไม่ไป ไม่รู้สิ ผมรู้แค่ว่าผมจะทิ้งมันไปตอนนี้ไม่ได้
ผมไม่รู้ว่าการผ่าตัดผ่านไปกี่ชั่วโมง รู้แค่ว่าตอนที่ทุกคนถอนหายใจออกมาพร้อมกันผมก็เข่าอ่อนจนยืนไม่อยู่ และหมดแรงหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน