CHAPTER 5 #Korn

2104 Words
เช้าวันนี้ผมตื่นราวๆ แปดโมง ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่กำลังดี ไม่เช้าไม่สายจนเกินไป ที่นอนข้างๆ ว่างเปล่าไม่เหลือไออุ่นแล้ว พีทคงออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ผมอาบน้ำแปรงฟันด้วยความรู้สึกสดชื่นบอกไม่ถูกขณะคิดว่าเช้านี้จะมีเมนูอะไรรออยู่ แต่พอออกมากลับพบโต๊ะที่ว่างเปล่า ยัง ผมยังคงเข้าข้างตัวเองด้วยการเดินไปเปิดตู้เย็นดูแล้วก็ต้องพบกับความผิดหวัง “ไอ้ลูกหมาขี้โกหกเอ๊ย!” เอาจริงไม่โกรธมันหรอก แต่ก็ยอมรับว่าแอบเฟล ก็แหม ผมกินแต่ไข่ แฮม ขนมปังตอนเช้ามาเป็นปีๆ ก็ต้องอยากกินอะไรใหม่ๆ มั่งสิ สาบานว่าไม่ได้อยากกินอาหารฝีมือมันเลย พูดไปก็เหมือนแก้ตัว เหอะๆ ผมนั่งละเลียดอาหารโง่ๆ จนกระทั่งจิตตินมากดกริ่งตามตอนเก้าโมงจึงหยิบสูทมาใส่ทับก่อนเดินออกไป ถึงจะเป็นวันเสาร์ก็เถอะ แต่ผมก็ต้องเข้าบริษัทไปเคลียร์งานหลังแอบบินไปดูงานบวกอู้งานมาถึงสองอาทิตย์ รถคันใหม่พร้อมคนอารักขาที่จิตตินเตรียมไว้คือรถตู้สิบเอ็ดที่นั่ง ผมเหวอไปพักหนึ่งแต่พอเปิดเข้าไปแล้วพบว่าไม่ได้มีบอดี้การ์ดยั้วเยี้ยเต็มคันรถผมก็เบาใจ ระหว่างทางไปออฟฟิศ เขาก็คอยเป็นคนรายงานเรื่องที่สืบมาได้ให้ผมฟัง ส่วนเมฆรับหน้าที่สารถีเช่นเดิม “รถคันนั้นเป็นรถเช่าครับ แต่เจ้าของร้านบอกว่าคนที่มาเช่าเป็นฝรั่งผู้ชายสองคนกับผู้หญิงคนไทยหนึ่งคน ขอเช่าหนึ่งสัปดาห์ตามกำหนดที่ต้องคืนคือวันมะรืนนี้ ส่วนเอกสารที่ใช้คือใบขับขี่กับบัตรเครดิตของผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นเอกสารปลอม ตอนนี้ผมกำลังให้คนไปตามสืบหน้าตาพวกมันจากกล้องวงจรปิดหน้าร้านอยู่ครับ” “แล้วตอนนี้รถคันนั้นอยู่ที่ไหน” “ยังไม่ทราบครับ คนร้ายน่าจะไปจอดทิ้งไว้แล้วหนีไปแล้ว” “แล้วพวกไอ้โม่งพวกนั้นล่ะ ได้ข้อมูลอะไรบ้างมั้ย” “คร่าวๆ ตอนนี้คือไม่มีรอยสักหรือสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นแก๊งไหนครับ” “ตามสืบเงียบๆ ไปก่อน ฉันยังไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่” “ครับ” หลังเสร็จประชุมตอนสี่โมงเย็น กะว่าจะได้กลับมานอนดูหนังชิวๆ ท่านแม่กลับมาบอกให้ออกไปคุยธุระแทนเธอหน่อย แถมร้านอาหารก็นัดซะไกล ให้ตายเถอะ โชคดีที่ลูกค้าคนนี้คุยไม่ยาก จริงๆ ก็คือเพื่อนในวงสังคมของแม่นั่นแหละ เธอได้ที่ดินผืนหนึ่งแถวนั้นมาจากลูกหนี้ แต่ไม่รู้ว่าควรรอปล่อยตอนราคากำลังขึ้น หรือลงทุนอะไรสักอย่างเพื่อเก็บดอกผลระยะยาวดี ผมเองก็ให้คำแนะนำไปเท่าที่รู้ ผมไม่ใช่เซียนที่ดิน แต่ถ้าให้ประเมินจากประสบการณ์อันน้อยนิดผมก็คงจะแนะนำให้ทำอพาร์ตเมนต์หรือห้องเช่าไปมากกว่า ที่ดินนั้นอยู่ประมานกลางซอย ไม่ได้ใหญ่มากขนาดที่จะมีใครซื้อไปทำโรงงานหรือโกดัง แต่ก็ใหญ่เกินไปที่จะซื้อไว้เปิดเซเว่น อีกอย่างผมว่าที่ดินแถวนั้นราคาไม่น่าจะดีดไปได้มากเท่าไร นอกจากนี้เธอยังชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ เอาตรงๆ นั่นทำให้ผมรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของการนัดคุยในครั้งนี้ ที่ดินนั่นเป็นเรื่องรองหรือบางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องบังหน้าเลยก็ได้ ก็ยัยคุณนายคนนี้น่ะสิ เอาแต่พูดถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวอยู่ได้ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังพยายามโปรโมตอยู่ และแน่นอนว่าต้องอาศัยความร่วมมือของแม่ผมเข้าไปด้วยแน่ๆ ทำไมวะ ผมเพิ่งจะ 26 เองนะ ทำไมรีบอยากให้แต่งงานจัง ในขณะที่กำลังอิหลักอิเหลื่อหาทางขอตัวแบบไม่ให้เสียมารยาทพระเจ้าก็เข้าข้างผม โดยส่งทูตสวรรค์หรือก็คือแม่อรของพีทมาช่วย ผมได้ทีอ้างไปว่ามีนัดคุยธุระต่อกับเธอแถมแม่ก็เออออเล่นตามน้ำไปด้วย ผมชอบแม่อรก็ตรงนี้ หัวสมัยใหม่ วัยรุ่น เข้าใจอะไรได้เร็วไปเสียทุกเรื่อง ยังเคยมารับเป็นผู้ปกครองพาพวกผมโดดเรียนไปงานโอเพ่นเฮาส์ต่างๆ อยู่บ่อยๆ ตอนม.ปลาย เวลาที่เจออาจารย์เรื่องมากๆ พีทดูตกใจมากที่เจอผม เอาจริงเจอเรื่องบังเอิญแบบนี้เป็นผมผมก็ตกใจแหละ แอบคิดด้วยว่ามันเป็นพรหมลิขิตหรือเปล่าน้า แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า แหวะ น้ำเน่าสัด ระหว่างทางกลับบ้านผมยังโทรไปแกล้งมันอีกด้วย ไม่รู้เป็นอะไร แค่รู้สึกว่าพอเจอมันชีวิตกลับมามีสีสันขึ้นเยอะ ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอได้ไม่กี่วัน ผมไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ายังชอบมันอยู่ เรื่องของเรามันจบไปนานมากแล้วในความรู้สึกผม แต่ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันมันก็ยังไม่หายไป อาจจะมีลืมเลือนไปบ้างตามกาลเวลา ทว่าการกลับมาเจอกันแบบไม่คาดฝันมันก็ทำให้ผมเริ่มคิดจริงจังถึงชีวิตที่ผ่านมา สมัยอยู่อเมริกา เพื่อนๆ ตั้งฉายาให้ผมว่า Parker Three Weeks ที่มาก็ตรงตัวนั่นแหละ ผมคบใครได้ไม่เคยเกินสามอาทิตย์ ไม่ใช่ว่าขี้เบื่อหรืออะไร แต่ไม่รู้ทำไมภายในสามวีค ผมจะต้องเจอข้อเสียของคู่ควงผมทุกคน จนเป็นเหตุให้เลิกกัน แต่กับพีทแฟนคนแรกของผม เรากลับคบกันมาได้เกือบปีก่อนจะเลิกรากันไป บางทีมันอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่สามารถมีใครใหม่ได้จริงๆ จังๆ สักทีก็ได้ ผมเคยปล่อยมันไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่วันนี้โชคชะตากลับพามันกลับเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ผมว่าจะลองดูอีกสักตั้ง ลองจีบแฟนเก่าตัวเองใหม่อีกครั้งเนี่ยแหละ ในที่สุดเย็นวันอาทิตย์ที่ผมรอคอยก็มาถึง ผมนัดมันมาที่ร้านอาหารไทยบนห้างดังแห่งหนึ่งกลางกรุงใกล้ที่ทำงานมัน ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากเอาใจกลัวเดินทางเหนื่อย อีกส่วนหนึ่งก็เพราะอยากกินร้านนี้เองนี่แหละ “ไง” ปล่อยให้ผมยืนรออยู่หน้าร้านไม่นาน ร่างโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีอ่อนสบายตาก็เดินเข้ามาทักด้วยสีหน้าอ่านยาก “ทำไมทำหน้างั้น” ผมถามทันทีแบบไม่อยากขอเดาไว้ก่อน ไอ้นี่ถ้าไม่ถามมันก็ไม่ปริปากพูดหรอกครับ บางครั้งขนาดถามยังไม่พูดเลย “กูมีเรื่องจะเคลียร์กับมึงนิดหน่อย” “หูว ยังไง ต่อยมั้ย แมนๆ” ผมแกล้วงกวนมัน “พ่อมึงสิ” “เปลี่ยนคำด่าได้ซะทีนะ ไปๆ หิวแล้ว” ผมรุนหลังมันให้เดินเข้าร้านไปที่โต๊ะที่จองไว้ ตอนนี้ลูกน้องถูกสั่งให้รออยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วครับ ได้ไงนี่เดทแรกผมนะ ไม่อยากมีตัวเกะกะ “อยากกินไรสั่งเลย” ผมบอกมันพร้อมส่งเมนูให้ “อืม งั้นเอาทอดมันกุ้ง ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ต้มยำเห็ดรวม ซี่โครงหมูอบแล้วก็กะหล่ำน้ำปลาครับ” พีทหันไปสั่งกับบริกร มีแต่ของชอบผมทั้งนั้นเลยนี่หว่า งั้นขอผมทำคะแนนมั่ง “ส่วนน้ำขอเป็นน้ำเปล่าเอาน้ำแข็งแค่แก้วเดียวนะ” “ร้านเราเสิร์ฟน้ำแข็งเป็นถังอยู่แล้วครับคุณลูกค้า” สัด หน้าแตก “หึ” ผมเห็นคนตรงหน้าแอบยิ้มมุมปากด้วย แต่... จะทำเป็นลืมๆ ไปแล้วกันนะ “ที่บอกมีเรื่องจะเคลียร์คือเรื่องไรอ่ะ” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งมันได้ผล “เอ่อ... ก็...” พีทกลอกตาไปมาเหมือนไม่มั่นใจว่าจะพูดดีมั้ย ผมเลยต้องช่วยกระตุ้น “เออน่า บอกมาเหอะ กูรับได้ทุกอย่างอ่ะ” “คือกูไม่รู้จะเริ่มยังไง” “…” “คือ… กูว่าเราเจอกันบ่อยไป” “ฮะ?” “แล้วมึงก็ทำตัวแปลกๆ” มันเงยหน้าสบตาผม “มึงว่ามันไม่แปลกเหรอ คนเลิกกันไปตั้งนานแล้วแต่อยู่ๆ ก็กลับมาทำตัวสนิทกัน ไปนู่นไปนี่ด้วยกัน นอนเตียงเดียวกันด้วย มัน...” “มันเหมือนคนเป็นแฟนกัน?” “ใช่ มึงก็รู้สึกใช่มะ แต่กูว่ามันไม่โอเคอ่ะ” “ไม่โอเคยังไง” “ก็เราไม่ได้คบกันแล้วอ่ะ จะมาทำอะไรๆ แบบนั้นเหมือนเดิมมันใช่เหรอ” “แล้วเลิกกันแล้วเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้เลยอ่อวะ” “กูว่านี่มันเกินเพื่อนอ่ะ” “เหรอ ยังไง” ผมซักไซ้ แกล้งมันต่อไป “กูไม่รู้ กูรู้แค่กูไม่โอเคกับแบบนี้อ่ะ!” “ใจเย็นนะ” ผมเอื้อมมือไปจับมือมันที่วางไว้แต่มันชักหนี “มึงไม่เข้าใจอ่ะ อยู่ๆ มึงก็ไป อยู่ๆ มึงก็กลับมาละมาทำดีกับกู หวงก้างอ่อ” “หวงก้างคือเชี่ยไรวะ พีท มึงใจเย็นๆ มึงอยากจะเคลียร์เรื่องอะไรเนี่ย” “ความรู้สึกของมึง” “…” “มึงคิดยังไงกับกูกันแน่กร” “มึงยังชอบกูอยู่เหรอ” “ตอบคำถามกูมาก่อน” “กู…” คราวนี้ถึงตาผมไปไม่เป็นบ้าง จะว่ายังไงดีวะ เอาจริงความรู้สึกของผมมันก็ไม่ได้แน่ชัดขนาดนั้น แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้ไม่อยากเห็นมันเสียใจเลยว่ะ แต่จะให้โกหกเพื่อความสบายใจชั่วคราวผมก็ไม่อยากทำ “หึ มึงลังเล?” “มึงหมายถึงอะไร” “ถ้าเปลี่ยนเป็นมึงที่ถามคำถามนี้กับกู คำตอบที่มึงจะได้จะมีอยู่สองทาง” “…” “นั่นคือการเปลี่ยนเรื่อง” “…” “กับคำตอบว่ายังรัก...” ปลายเสียงสั่นน้อยๆ และเบาจนแทบไม่ได้ยิน “…” ผมไม่ตอบอะไร ที่ถูกคือผมไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้เลยต่างหาก ผมไม่คิดเลยว่าเดทที่ตั้งใจมาเริ่มต้นกับมันใหม่ในวันนี้จะจบลงแบบนี้ “แต่กูไม่ได้อะไรหรอกนะ กูขอแค่อยากให้มึงรับรู้เอาไว้ ว่าถ้ามึงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน ก็ช่วยอย่ามาทำให้กูลำบากใจ ให้ space กูหน่อย หรือจะทำเป็นไม่เคยรู้จักกันก็ได้” จบประโยค อาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ เรากินข้าวกันไปแบบเงียบๆ ผมปล่อยให้ความคิดความรู้สึกตกตะกอนในหัวและในใจ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วรู้สึกยังไงกับมันกันแน่ “กูมั่นใจว่ากูเลิกชอบมึงไปนานแล้ว” ผมเปิดปากหลังจากกินอิ่ม “แต่พอกลับมาเจอกัน มันเหมือนกูจะกลับไปรู้สึกดีๆ กับมึงอีกครั้ง มันเหมือนตอนกูเริ่มชอบ เริ่มสนใจมึงใหม่ๆ กูเลยคิดว่าจะลองจีบมึงใหม่ดูอีกครั้ง” “มึงจะจีบกูทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเองเนี่ยนะ” “ถ้ากูไม่เอาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับมึง กูจะรู้ได้ไงว่าจริงๆ แล้วตัวเองรู้สึกยังไง” “มึงคิดอย่างงี้จริงๆ เหรอ มึงเห็นแก่ตัวมากรู้มั้ยกร กูต้องเอาความรู้สึก เอาหัวใจกูไปเสี่ยงให้มึงทำพังรอบสองหรือไง” “กูสัญญาว่าทุกอย่างมันจะไม่จบลงแย่ๆ แบบตอนนั้น” “มึงพูดคำว่าสัญญา มึงมั่นใจแค่ไหนว่าจะทำได้” พีทยิ้มหยันมุมปาก ผมแทบไม่เคยเห็นมุมนี้ของมันมาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะโกรธมากๆ ก็คงเพราะผิดหวังมากๆ “ต่อให้คำตอบของมึงคือคำว่ารัก มึงคิดว่าเราสองคนจะไปรอดเหรอ คิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าที่พ่อมึงส่งมึงไปเมืองนอกเพราะอยากให้เลิกกับกูอ่ะ” “ไม่ใช่นะ มึงใจเย็นก่อน” “กูว่ามึงก็รู้ดี อย่าหลอกตัวเองเลยกร” “…” “มึงเป็นลูกชายคนโตและคนเดียวของตระกูลเลยนะ มึงว่าพ่อกับแม่มึงรับได้จริงๆ เหรอ เรื่องของเราน่ะ” พูดจบพีทก็ลุกออกไปโดยที่ผมไม่มีแม้แต่คำพูดเหนี่ยวรั้ง ในหัวผมตื้อไปหมด ยังไม่เข้าใจดีด้วยซ้ำว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น โธ่เว้ย!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD