ผมกำลังรู้สึกว่าตอนนี้ทุกอย่างมันผิดที่ผิดทางไปหมด...
ผิดตั้งแต่ผมเจอมัน ไม่สิ... อาจจะต้องนับกลับไปตั้งแต่ตอนนั้นที่ยอมกลับบ้านดึกเพื่อศึกษาเคสปอดฉีกอะไรนั่น จนทำให้ผมต้องกลับมาเจอมันอีกครั้ง แล้วดูสภาพผมตอนนี้สิ นอนซุกอกมันโดยมีมือหนาพาดไว้ที่เอวผมอีก
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
ผมฟึดฟัดในใจ แต่ไม่กล้าโวยวายออกมา เกิดกรตื่นมาเจอเราสองคนนอนกันในท่านี้ล่ะก็ ผมคงไม่รู้จะมองหน้ามันยังไงดี ตอนคบกันยังไม่เคยปล่อยให้ถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้เลยนะเว้ย! ไอ้กรแม่ง ทำอะไรไม่สงสารใจผมบ้างเลย
ส่วนผมก็ไม่น่าหลวมตัวตามมันมานอนที่ห้องเลยให้ตาย
ถ้าถามว่าทำไมผมซีเรียสขนาดนั้น พูดตามตรงนะครับว่าผมค่อนข้างไม่โอเคกับการที่คนเลิกกันไปแล้วจะมาทำอะไรๆ เหมือนตอนยังคบกันอยู่ สำหรับมันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับผม สำหรับคนที่ยังรู้สึกอยู่อย่างผม การกระทำแบบนี้มันทำร้ายกันชัดๆ
ผมไม่อยากกลับไปรักมันอีกแล้ว
อย่างที่บอก ผมรู้ทันความรู้สึกตัวเองเสมอ สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่ระหว่างเรามันต่างกันเกินไป จริงๆ ผมดีใจนะที่ได้เจอมันอีกครั้ง แต่พอมาคิดสะระตะดูแล้ว การหายไปจากชีวิตกันและกันอาจเป็นการดีกับตัวผมมากกว่า
เราต่างกันเกินไป เหตุผลโคตรคลาสสิกที่หลายๆ คนได้ยินแล้วคงเบ้ปาก แต่นั่นคือความจริง ผมใช้เหตุผลนี้ปลอบใจตัวเองมาตลอดตั้งแต่ตอนเลิกกัน ตอนนั้นผมก็รู้ว่าที่บ้านมันอยากส่งมันไปเรียนต่อบริหารที่อเมริกา ในขณะที่ผมเองก็ตั้งใจจะเป็นหมอให้ได้ แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าเส้นทางในอนาคตของเราไม่มีทางจะมาบรรจบกัน
ไหนจะสังคม ความฝัน หน้าที่อีกล่ะ ผมไม่สามารถเข้าไปอยู่ในโลกของมันได้ โลกของนักธุรกิจทายาทมาเฟียฮ่องกงแบบมัน กับโลกของหมอเจ้าอุดมการณ์แบบผม มันเข้ากันไม่ได้หรอก
ผมคงต้องพาตัวเองออกห่างมันก่อนที่จะรู้สึกมากไปกว่านี้
แค่ความคิดถึงก็ทำร้ายใจผมมากพอแล้ว อย่าให้มีความรู้สึกรักเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย
เช้าวันเสาร์รถไม่ติดนัก ด้วยความที่ผมออกจากคอนโดเวลาเดิมเลยมาถึงโรงพยาบาลเร็วกว่าปกติ สองขาก้าวไปที่โรงอาหารกะหาขนมง่ายๆ ไปตุนไว้ในห้องพักเผื่อว่าไม่มีเวลาว่างพอไปกินข้าวกลางวันอีก
“พี่พีท!”
“อ้าว หวาย”
“หวัดดีค่ะ” น้องหวายโบกมือหย็อยๆ มาจากโต๊ะทานข้าว เธอเป็นรุ่นน้องในแผนกเดียวกันกับผม เพิ่งมาฝึกที่นี่ได้ปีเดียว
“กินไรเนี่ยเรา” ผมว่าพลางวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนจะนั่งลง
“ผัดวุ้นเส้นค่ะ” เธอตอบพลางตักข้าวเข้าปากคำโต เพราะผมเป็นลูกคนเดียวและอยากมีพี่น้องมาตลอด ผมจึงมักใจดีกับรุ่นน้องเป็นทุนเดิม ส่วนกับหวายเนี่ย เราสนิทกันเป็นพิเศษเพราะชอบทำอาหารเหมือนกัน แต่หวายจะหนักไปทางทำขนมหวานมากกว่า เธอชอบเอาขนมสูตรใหม่ๆ ที่คิดเองมาให้ลองชิมตลอด บอกว่าให้แบ่งๆ กันอ้วน บางครั้งก็เป็นแบ่งๆ กันอ้วก
“พี่พีทเป็นไรป่าว ดูเหม่อๆ นอนน้อยเหรอ”
“อ้อ เปล่าหรอก”
“มีปัญหาไรบอกหวายได้นะ เก็บความลับเก่ง อิอิ”
“หน้าพี่ออกขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ไม่เชิง แต่ปกติต่อให้พี่พีทหน้านิ่งยังไงมันก็จะติดยิ้มๆ อยู่หน่อยๆ แต่วันนี้มันหมองๆ ยังไงชอบกล”
“เหรอ” ผมตอบไปแค่นั้น เฮ้อ เป็นเอามากแล้วกู
“แน่ะ ถอนหายใจด้วย”
“นี่คือกำลังกดดันให้เล่าใช่มั้ย”
“เปล๊า” เธอว่าพลางรวบช้อนเก็บ “แค่พร้อมรับฟัง”
ผมชั่งใจว่าควรเล่าให้เธอฟังดีมั้ย ผมไม่ได้ไม่ไว้ใจอะไรหรอก แต่แค่ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรดีขึ้นเท่านั้น ยังไงความรู้สึกนี้ มันก็เป็นผมที่ต้องจัดการเองไม่ใช่เหรอ
“หวายไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของพี่พีทหรอกนะ แต่พี่พีทอ่ะชอบเก็บอะไรไว้คนเดียวตลอด ไม่ยอมพูด”
“คนเรา...”
“คนเรามันก็ต้องหัดพึ่งตัวเองก่อน จ้าๆ จำได้แล้ว” รุ่นน้องจอมกวนต่อประโยคที่ผมชอบสอนเธออยู่บ่อยๆ พลางกลอกตาเป็นเลขแปดไทย “แต่อย่างน้อยการเล่าให้คนอื่นฟังมันก็ช่วยให้เราผ่อนคลายขึ้นไม่ใช่เหรอ อีกอย่างนะ การที่เราได้พูดออกมาอ่ะ จะช่วยให้สมองเรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้นกว่าตอนคิดในใจด้วย บางที พี่พีทอาจจะเจอทางออกดีๆ ก็ได้นะ”
“ช่างโน้มน้าวจริงๆ นะเรา”
“แล้วสำเร็จมั้ย” ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ อีกเกือบครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเข้างาน ยังพอมีเวลามั้งนะ
“คือ… จะเล่าย่อๆ แล้วกันนะ”
“สรุปคือ แฟนเก่ากลับมาทำให้หวั่นไหว?”
“อะไรทำนองนั้น”
“พี่พีทเคยได้ยินเปล่า ที่เขาบอกว่า the feeling that comes back is the feeling that never left ความรู้สึกที่ย้อนกลับมา คือความรู้สึกที่ไม่เคยหายไป”
“อยากจะบอกอะไรพี่กันแน่”
“ก็ถ้าพี่หวั่นไหว แปลว่าพี่ยังชอบเขาอยู่ไง” เออ จ้า ย้ำทำไมวะ เด็กเวร
“แล้วพี่ควรทำไง”
“ถ้าเป็นหวาย หวายจะเคลียร์”
“ยังไง”
“ก็ถามตรงๆ ไปเลยว่าทำแบบนี้ต้องการอะไร”
“นักเลงไปเปล่าอ่ะ”
“แต่ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ดิพี่ บางทีเขาอาจจะอยากรีเทิร์นกับพี่ก็ได้นะ”
“แต่พี่ไม่อยากรีด้วยอ่ะ”
“อ้าว ยังชอบอยู่แต่ไม่อยากรีเทิร์นเนี่ยนะ ได้ไงอ่ะ”
“ใครบอกชอบ”
“ก็ตอนแรกไม่เห็นแก้ตัวว่าไม่ชอบนิ” หวายยิ้มล้อ ให้ตายสิน้องคนนี้! “แล้วทำไมไม่อยากรี”
“ก็… พี่ว่าเราต่างกันเกินไป”
“พี่คิดไปเองคนเดียวหรือเปล่าว่าต่าง”
“หือ?”
“แฟนเก่าพี่เขาอาจจะไม่คิดงั้นก็ได้นะ พี่ว่าในโลกนี้มันมีจริงๆ เหรอ สิ่งที่มนุษย์เราอยากได้แล้วเอามาไม่ได้น่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
“รู้ตัวว่าต่าง ก็ต้องปรับตัว ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็ต้องปรับความเข้าใจ ถ้าคนสองคนรักกันมากพอ เรื่องแค่นี้มันไม่เกินความสามารถหรอก”
“แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นรู้สึกยังไง”
“ก็ถึงบอกให้ไปถามไง”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...” ใครจะไปกล้าถามตรงๆ
หลังเลิกงาน ผมขับรถกลับบ้านที่อยู่แถบชานเมืองไปหาแม่ ก่อนกลับก็โทรบอกแม่ให้เตรียมแต่งตัวออกไปทานข้าวกัน
มันเป็นกิจวัตรทุกวันเสาร์ตอนเย็นที่ผมจะกลับบ้านไปหาแม่ หรือถ้าวันไหนแม่อยากเข้าเมืองแม่ก็จะเป็นฝ่ายมาหา
ผมใช้เวลาราวสองชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน หกโมงแล้ว เวลาพีคของร้านอาหารทุกแห่งหน แต่แน่นอนว่าแม่ของผมรอบคอบดี ท่านโทรจองร้านที่อยากกินไว้เรียบร้อยแล้วตอนทุ่มตรง
“หวัดดีครับแม่ คิดถึงจังเลย” ผมเข้าไปอ้อนอย่างเคย แม่ผมแต่งสวยฉีดน้ำหอมกลิ่นที่ผมมองว่าฉุนซะฟุ้ง ดูก็รู้ว่าดีใจแค่ไหนที่ได้เจอผมแม้ว่าผมจะกลับบ้านทุกอาทิตย์ก็ตาม
“ไปอาบน้ำแต่งตัวสบายๆ ไป” แม่ว่าหลังกอดหอมกันจนพอใจ
หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเราสองคนก็เดินทางมาที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านมาก ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันมีร้านดีๆ แบบนี้อยู่ตามชายแดนกรุงเทพแบบนี้
“แม่รู้จักร้านนี้ได้ไงเนี่ย”
“อ่านจากวงใน” ผมขำพรืดจากคำตอบ แม่ผมทันสมัยกว่าผมซะอีกมั้งเนี่ย
“แล้วทำไมอยู่ๆ อยากกินอาหารอิตาเลี่ยนขึ้นมาอ่ะ”
“ร้านเพิ่งเปิดใหม่ ลด 30% ถึงแค่สิ้นเดือนนี้”
“โห”
“นี่ถ้ารสชาติผ่าน เสาร์หน้าแม่จะมากินอีก เสาร์หน้าวันที่เท่าไรนะ” แม่ผมพูดพลางเปิดแอพปฏิทินในมือถือ “29 พอดีเลยยังไม่หมดเดือน”
หลังเข้าไปในร้าน ผมก็ปล่อยให้แม่จัดการสั่งอาหารคนเดียวส่วนตัวเองขอตัวไปเข้าห้องน้ำล้างมือ ผมถูกพ่อสอนมาตั้งแต่เด็กว่าจะกินอะไรก็ต้องล้างมือก่อน จนตอนนี้มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว
พอกลับมา แม่ก็ลุกไปล้างมือบ้าง ผมนั่งเล่นมือถือรออาหารมาเสิร์ฟ ไม่นานนักแม่ก็กลับมา
พร้อมแขกไม่ได้รับเชิญอีกคน
“มึงมาได้ไง” เสียงผมเบาหวิวจนไม่รู้ว่าไปถึงหูกรหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันถึงหูแม่
“ทำไมทักเพื่อนอย่างนั้นเล่าตาพีท” แม่หันมาดุผมแบบไม่จริงจัง ก่อนจะไปเชื้อเชิญให้กรร่วมโต๊ะด้วย แน่นอนว่าหมอนั่นไม่ปฏิเสธ
“สรุปมึงมาทำไรที่นี่” ผมหันไปพูดกับกรทันทีที่มันนั่งลงข้างๆ
“มาหาลูกค้า แต่ตอนคุยเสร็จเจอแม่พอดี”
“เรียกแม่เต็มปากเต็มคำเลยนะ” ผมแขวะแม้รู้สึกร้อนวูบที่แก้มแปลกๆ จริงๆ สมัยเรียนเพื่อนผมทุกคนก็เรียกแม่อรของผมว่าแม่หมดนั่นแหละ ด้วยความที่แม่ผมเป็นแม่บ้าน เวลามีงานกลุ่มหรือกิจกรรมอะไรก็จะเป็นแม่ที่ว่างคอยไปรับไปส่งทั้งลูกและเพื่อนๆ ลูกเสมอ แม่ผมเลยเป็นที่รู้จักในกลุ่มเพื่อน
อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ ตอนนี้ผมเริ่มดีใจแล้วล่ะที่มีคนมาช่วยกิน แม่ผมสั่งอะไรมาเยอะขนาดนี้วะเนี่ย ทั้งสลัดแซลมอน พิซซ่าเตาถ่าน ผักโขมอบชีส ลาซานญ่า หอยเชลล์อบเนยและขนมปังกระเทียม
“แม่หิวมาจากไหนอ่ะ”
“เออน่ะ ก็ไม่คิดว่าจานมันจะใหญ่ นี่ก็มีตากรมาช่วยแล้วไง อย่าบ่นเลยน่า”
“จ้ะๆ”
“แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไรล่ะกร ได้เจอเพื่อนๆ มั่งหรือเปล่า พวกอิ่ม โจ แมคน่ะ”
“ไอ้อิ่มใช้ทุนอยู่เชียงใหม่โน่นแม่” อิ่มคือเพื่อนที่เรียนหมอมาด้วยกันกับผมเนี่ยแหละ แต่สอบเข้ามาได้คนละโครงการ มันเลยต้องจับสลากไปใช้ทุนตามปกติ
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”
“ผมเจอแมคบ้างตอนมันไปเรียนโทที่นู่นอ่ะครับ แต่พอเรียนจบก็ไม่ได้เจอเลย” กรตอบบ้าง
“เวลาผ่านไปเร็วเนอะ แป๊บๆ ก็เรียนจบกันหมดแล้ว” แม่ผมเปรยขึ้นเหมือนคิดถึงวันเก่าๆ ผมกับกรมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมายก่อนผมจะเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน
“เดี๋ยวไว้วันไหนนัดกันได้จะพามันมาหาแม่นะครับ” เป็นกรที่พูดขึ้นมา ผมจึงช่วยเสริม
“ใช่แม่ เดี๋ยวผมลองโทรหาพวกมันให้”
หลังมื้อนั้นผมจุกคนแทบต้องคลานขึ้นรถเช่นเดียวกับกร ในขณะที่แม่เดินไปอย่างสบายๆ ก็คุณเธอเล่นชิมๆ แค่อย่างละนิดล่ะหน่อย แล้วบอกว่าอาหารรสชาติงั้นๆ ทำกินเองก็ได้
ผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่กำชับให้ขับรถดีๆ เหมือนเคยก่อนจะยืนส่งจนรถผมลับสายตา ผมเคยชวนแม่ไปอยู่ด้วยกันเหมือนกันเพราะกลัวจะเหงา แต่แม่บอกว่าอยู่ที่นี่อากาศดีกว่า เช้าๆ ยังออกมาเดินในสวนได้ แถมบ้านญาติพี่น้องก็อยู่ละแวกนี้ ผมเองก็เห็นด้วยในทีแรก แต่พอมาคิดดูแม่คงเหงาอยู่ไม่น้อย
ไว้โทรหาให้บ่อยขึ้นดีกว่า
กำลังฟังเพลงเพลินๆ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่น ผมล้วงขึ้นมารับสายก่อนเปิดสปีกเกอร์ เป็นเบอร์ที่ไม่เคยบันทึกไว้ อาจจะมาจากโรงพยาบาล
“สวัสดีครับ”
“รับสายเสียงเพราะเชียวนะ”
“มึง!”
“ตกใจอะไรขนาดนั้นฮะ”
“เอาเบอร์กูมาจากไหน”
“มึงไม่เคยเปลี่ยนเบอร์ป่ะ” เออ จริงของมัน
“แล้วโทรมามีไร”
“มืดแล้ว จะบอกให้ขับรถดีๆ”
“มึงขับตามกูป่ะเนี่ย” ผมมองกระจกหลังอย่างหลอนๆ พอเห็นว่ารถที่ขับตามมาเป็นรถตู้สีดำคันเดียวกับที่มารับมันที่ร้านอาหารก็เตรียมด่า แต่ประโยคต่อมาก็ทำเอาเสียงผมหายไปในลำคอทั้งหมด
“ก็เป็นห่วง เลยมาเฝ้า”
“...” อึ้งแดก...
“ล้อเล่น ก็กลับทางเดียวกัน ใช้ถนนเดียวกันก็ไม่แปลกป่ะวะ”
“กวนตีน”
“มึงไม่มีคำอื่นจะด่าแล้วใช่ป่ะ”
“ถ้าไม่มีอะไรกูจะวางแล้วนะ”
“เดี๋ยวๆ อีกเรื่อง”
“ไร”
“มึงผิดสัญญาอ่ะ”
“สัญญาไร”
“ก็เมื่อคืนมึงบอกจะทำข้าวเช้าให้กู แล้วไหนอ่ะ ไม่เห็นมี” จริงด้วย ผมลืมไปสนิทเลยว่าพูดอะไรไว้เพราะมัวแต่หัวเสีย
“เออๆ กูขอโทษ เดี๋ยวพรุ่งนี้แก้ตัวใหม่แล้วกัน”
“ไม่เอา กูอยากกินข้าวพร้อมมึง”
“งั้นมึงก็หัดตื่นเช้าๆ ซะบ้าง”
“มึงนั่นแหละตื่นเช้าไป” ผมส่ายหน้ากับอาการเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ของมัน คิดว่าทุกคนเขาเป็นเจ้าของธุรกิจที่อยากเข้าออฟฟิศตอนกี่โมงก็ได้เหมือนตัวเองหรือไงกัน
“คนเขามีงานมีการต้องทำ”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้มึงว่างเปล่า ไปกินข้าวกับกูหน่อย”
“ไม่”
“มึงคิดก่อนตอบนิดนึงก็ได้เพื่อน”
“เอ่อ...” ผมถึงกับไปไม่เป็นเมื่อเจอคนรู้ทัน โอ๊ยยย แล้วอย่างนี้ผมจะเลี่ยงมันยังไงได้
“ว่าไง”
“ก็ได้ๆ เลิกงานสี่โมง” ผมอมลมในปากอย่างไม่พอใจที่ตัวเองแพ้ ถือว่าเป็นโชคดีของมันแล้วกันที่วันอาทิตย์ผมอยู่เวรกะเที่ยงคืนถึงเช้า คุณๆ คนไหนที่เกลียดการไปทำงานวันจันทร์ดูผมเอาไว้นะครับ วันจันทร์ของคุณอาจจะเริ่มตอนแปดโมงเช้า แต่วันจันทร์ของผมมันเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืน!