บทที่3.
น้ำอิงนั่งพัก หลังปล่อยให้คุณหญิงพวงผกานอนพักตา เธอคว้าหนังสือเล่มโปรดมาเปิดอ่านต่อ หลังจากถูกขัดจังหวะด้วยการเรียกใช้ของคุณหญิงพวงผกา จนหาเวลาว่างอ่านหนังสือเล่มโปรดที่เพิ่งได้มาไม่จบสักที
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว!!
เสียงร้องกรี๊ดๆ ดังแว่วๆ จนต้องชะโงกหน้ามอง
เสียงเหล่านั้นดังอื้ออึง จนเธอเกรงว่าจะปลุกให้คุณหญิงวัยชราตื่นจากนิทรา
น้ำอิงขมวดคิ้ว ใบหน้าย่น รถยนต์แปลกตา ไม่เคยเห็นแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าโถงประตู มีสาวใช้หลายคนยืนมุง แถมยังมีทีท่ายินดีเสียนักหนา
หญิงสาวเขม้นมอง...ใครบางคนไม่คุ้นตาสักนิด ยืนอยู่ด้านข้างรถยนต์คันนั้น ใบหน้าสวยเฉี่ยวสะดุดตาแม้จะมองจากระยะที่ไกลพอสมควร
“ใครมานะ?” น้ำอิงพึมพำ เธอเติบโตที่จันธกาจ ญาติพี่-น้องส่วนใหญ่ของคุณหญิงพวงผกา น้ำอิงแน่ใจว่าตนเองจำได้ทุกคน แต่สำหรับอาคันตุกะคนที่มานั้น เธอไม่มั่นใจเลยว่าจะรู้จัก
หญิงสาววางมือจากงานตรงหน้า เดินไปรอรับอาคันตุกะที่มาเยือนตามหน้าที่
เสียงคุยดังแว่วๆ ก่อนที่ใครคนนั้นจะเดินมาถึง
เรียวคิ้วโก่งขมวดเป็นปม เธอค่อนข้างจะมั่นใจ เสียงของใครอีกคนฟังคุ้นหู
ภีรพลแทบจะประคองพร่างฟ้าเดินเข้ามาในอาณาจักรของตัวเอง เกือบสี่ปีในต่างแดนที่เขาพยายามสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้ ความพยายามของเขาไม่เสียเปล่า เมื่อผลลงเอย...เป็นอย่างที่หวัง แม้พร่างฟ้าจะแบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด...แต่เพราะความคงเส้นคงวาของภีรพล ในที่สุดพร่างฟ้าก็ใจอ่อนในที่สุด
การที่หญิงสาวรั้งๆ รอๆ นั้นก็เพราะว่า...
ชายหนุ่มที่เข้ามาติดพันเธอส่วนใหญ่ เพราะหวังผลจากการที่ตนเองเป็นบุตรสาวคนเดียวของเจ้าสัวประกาศ เจ้าของกิจการส่งออกอาหารทะเลแหล่งใหญ่ที่แทบจะครองวงการอาหารทะเลแบบไร้คู่แข่ง บุตรสาวของท่านจึงเนื้อหอมเป็นพิเศษ เพราะหากชนะใจพร่างฟ้าได้ หมายถึงกิจการของเจ้าสัว คงไม่ไปไหนไกล เมื่อท่านมีบุตรสาวเพียงคนเดียว เขยที่เข้าไปในครอบครัวนั้น จึงขึ้นแท่นที่จะได้สืบสานกิจการแทน แม้จะในฐานะสามีของพร่างฟ้าก็ตาม
“บ่ายๆ แบบนี้คุณแม่ผมคงเอนหลังอยู่ เรามาเดินดูบ้านที่ผมเกิดกันดีกว่าครับ เผื่อในอนาคตคุณจะได้มาเป็นเจ้านายที่บ้านหลังนี้”
เสียงคุยกะหนุงกะหนิง แสดงสถานะที่เกินกว่าคนรู้จัก
น้ำอิงก้มหน้าลง รีบกะพริบเปลือกตาถี่ๆ หลังแน่ใจว่าใครคนนั้นคือใคร?
หัวใจดวงน้อยเจ็บแปลบ!! รีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และปั้นหน้ายิ้มแม้หัวใจจะเจ็บจนชา
“อ้าว!! อิง”
ภีรพลกล่าวทักน้ำอิงแบบเหินห่าง
พร่างฟ้ายกหัวคิ้วขึ้นสูง เธอทอดสายตามองวงหน้าหวานละมุนของคนตรงหน้าแบบเอะใจแปลกๆ
“ฟ้า...นี่ไงคนที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง”
รอยยิ้มเล็กๆ แต้มมุมปากสีระเรื่อ ความกังขาที่เกิดขึ้น คลี่คลายลงในทันใด
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เสียงหวานกล่าวทักทายแบบไม่ถือตัว
“นี่พร่างฟ้า แฟนฉัน” ภีรพลแนะนำง่ายๆ เขาถลึงตาใส่น้ำอิง เมื่อหล่อนดูนิ่งจนน่ากลัว
“ค่ะๆ ยินดีที่ได้พบค่ะ”
น้ำอิงรีบตอบ หลังกดความเจ็บช้ำกักเก็บไว้ก้นบึ้งหัวใจ
“จัดห้องให้ฟ้าด้วยนะ ฉันจะให้แฟนฉันพักที่นี่สัก4-5วัน ก่อนจะพาไปคืนคุณพ่อของเธอ”
ภีรพลหันมามองหวานใจตาฉ่ำ
“ไม่น่าเกลียดเหรอคะภี ให้ฟ้ามานอนค้างอ้างแรมที่บ้านคุณ คุณแม่ของคุณอาจจะตำหนิฟ้าก็ได้”
“ฟ้าจ๋าฟ้า ฟังผมนะ ใครจะว่าอะไรก็ช่างเถอะ อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้ว ส่วนเรื่องคุณแม่น่ะไม่ต้องห่วงไปเลย หากท่านได้พบฟ้า ท่านก็จะรักฟ้าเหมือนที่ผมรักฟ้าไงจ๊ะ”
ภีรพลพูดปลอบใจ โดยไม่สนใจน้ำอิงที่อยู่ตรงนี้สักนิด
น้ำอิงแค่นยิ้มกับตัวเอง เรื่องราวในคืนนั้นแวบเข้ามาในความคิด...พร้อมกับความรู้สึกเจ็บระบมเมื่อเคยถูกทำร้ายด้วยคำพูด คำสัญญาที่เป็นเพียงแค่ลมปาก หญิงสาวกล้ำกลืนความชอกช้ำ กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ก่อนจะรีบปรับความรู้สึก ช้อนสายตามองหนุ่ม-สาวตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเรียบ
ภีรพลปรายตามองน้ำอิง “จัดการตามที่สั่งด้วยนะอิง แล้วหากคุณแม่ตื่น ช่วยมาตามฉันไปพบท่านด้วย ฉันจะพาแฟนฉันไปนั่งในสวน”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงเรียบ มันเรียบรวมไปถึงสีหน้าด้วย สายตาอ่อนเศร้ามองตามบุตรชายเจ้าของบ้าน กับแฟนสาวของเขาที่เดินคลอเคลียกันไปทางปีกซ้ายของบ้านจันธกาจ น้ำอิงกำมือแน่น เธอรับรู้ได้ว่ามือของตนเองเย็นเฉียบไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งเลย
แม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ น้ำอิงก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี 4ปีที่เฝ้ารอ คือความว่างเปล่าที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึกๆ ความสาวที่ถูกพรากคือสิ่งไร้ราคา เมื่อเขาทวงคืนพร้อมกับคำว่า ‘แทนคุณ’ น้ำอิงไม่แน่ใจ ความรู้สึกของเธอที่มีต่อตัวภีรพลคือความรัก หรือแค่ชื่นชม เมื่อในวงจรชีวิตของเธอนั้น เพศชายคือสิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงมาตลอด เธอเจียมตัว ระวังใจ เมื่อตนเองมีแค่หนึ่งเดียวในโลกกว้าง ใครจะมาเห็นค่า เห็นเธอมีราคา เมื่อแม้แต่บุพการี ยังทิ้งเธอได้ลงคอ...
หญิงสาวถอนใจแรงๆ เดินไปทำตามคำสั่ง
ห้องรับรองแขกที่สวยล้ำ ไม่ต่างอะไรกับห้องนอนเจ้าหญิง
น้ำอิงตั้งใจทำความสะอาดห้องพัก แม้จะแอบริษยาผู้หญิงคนใหม่ของภีรพลในบางครั้ง แต่...เธอรู้ตัวดี จุดยืนของเธออยู่ตรงไหน แม้ครั้งหนึ่งใครคนนั้นจะเคยให้ความหวัง.แต่นั้นมันก็นานมาแล้ว
“อิงๆ คุณท่านตื่นแล้ว!!”
หวายต้นห้องคุณหญิงพวงผกาเดินมากระซิบเรียก
“ไปตามคุณภีเธอสิพี่หวาย” น้ำอิงตอบเสียงเรียบ ก้มหน้าทำงานต่อ
“อิงทำไมไม่ให้แม่พวกนั้นมาทำล่ะ” หวายติง ก่อนจะเดินหายไป
น้ำอิงถอนใจยาวๆ เธอทิ้งตัวนั่ง เมื่อไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเอง การที่เธอลงทุนทำความสะอาดห้องพักให้ผู้หญิงของภีรพลเพราะต้องการกำจัดความฟุ้งซ่าน หากนั่งเฉยๆ ทำงานเบาๆ น้ำอิงคงไม่วายคิดมาก สู้ลงแรงทำงานหนักให้หัวสมองโล่งแบบนี้ ดีกว่าเป็นไหนๆ
หลังตรวจทานความเรียบร้อย
หญิงสาวยิ้มให้กับฝีมือตัวเอง ห้องพักสะอาดเอี่ยม เธอแน่ใจว่าแม้แต่ฝุ่นก้อนนิดเดียวก็คงไม่มี
“สงสารคุณอิงเนอะ”
เสียงใครบางคนดังแว่วๆ น้ำอิงชะงักฝีเท้า เธอหยุดยืนและฟังนิ่งๆ
“สงสารอะไรคุณอิง นังแมว” แป้นตวาดแหว!!
แมวรีบเงยหน้าตอบ “คุณภีพาผู้หญิงมาแบบนี้ คุณอิงก็ตกกระป๋องสิป้า” เสียงเจ้าหล่อนไม่เบาเลย ใครก็ตามที่อยู่ในครัวก็พลอยได้ยินไปด้วย
“ตกกระป๋องอะไรกัน คุณอิงกับคุณภีไม่ได้เป็นอะไรกันนะ”
แป้นรีบแก้ตัวแทน แม้จะรู้อยู่แก่ใจ ภีรพลเดินเข้าเดินออก ห้องนอนของน้ำอิงก่อนเดินทางไปเรียนต่อ คนงานที่บ้านเห็นกันหลายคน รวมทั้งนางด้วย
“ป้า! คุณอิงเป็น”
แมวพยายามจะชี้แจง “หุบปากมึงเลยอีแมว พูดพล่อยๆ คุณหญิงได้ยินเข้า มึงจะไม่มีที่ซุกหัวนอน” แต่เสียงตวาดของแป้นดังสวนมา สาวใช้วัยรุ่นจึงคอหด ไม่กล้าพูดต่อ
แม่ครัวสาวใหญ่ถอนใจดังเฮือก!!
เรื่องลับๆ นี่ ไม่ได้หลุดออกมาจากปากน้ำอิง เจ้าหล่อนเจียมตัว เจียมตน อุบเงียบไม่เคยปริปากบอกใคร แต่ที่เรื่องมันแดงก็เพราะความเผอเรอของภีรพล บุตรชายของเจ้าของบ้านต่างหากที่หละหลวม
น้ำอิงยกมือกรีดรอยน้ำตาที่เอ่อท้นขึ้นมา เธอหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม ทรุดตัวลงนั่งเมื่อหาที่ลับตาคนได้ น้ำตาหยดเล็กๆ รินไหลออกมาเงียบๆ มีเพียงไหล่ที่สั่นเทาเท่านั้น ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น
เมื่อร้องไห้จนสาแก่ใจ หญิงสาวจัดการกลบเกลื่อนความชอกช้ำ และเดินกลับไปประจำที่ ก่อนที่คุณหญิงพวงผกาจะเรียกหา
น้ำอิงเดินสวนกับภีรพลตรงปากประตู เธอเบี่ยงกายหลบ เปิดทางให้หนุ่มสาวเดินสวนออกไป
“ห้องไหนอิง?”
ชายหนุ่มร้องถาม “ติดห้องคุณภีค่ะ” น้ำอิงตอบเสียงสำรวม ก่อนจะยอบกายเดินเข้าไปในห้องคุณหญิงพวงผกา มีสายตานิ่งๆ ของบุตรชายท่านมองตาม
“ไม่คิดว่าตาภีจะใจร้อน” คุณหญิงเปรยเสียงแผ่ว ตอนที่ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
“เหมาะสมกันดีนะคะคุณท่าน” หวายกล่าวเสริม
“นั่นน่ะลูกสาวเจ้าสัวใหญ่ ตาภีนี่ตาแหลมเหมือนกันนะ ฉันคิดว่าตามสาวที่ไหน ถ้าคนนี้ละก็...” ประมุขจันธกาจไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่หากฟังตั้งแต่ต้นก็จะเดาได้ไม่อยาก