ร้อยรักเมียเบอร์2 บทที่1.
บทที่1.
หากเรียก ‘ความรัก’ เป็นเครื่องพันธนาการอย่างหนึ่ง น้ำอิงคงถูกคำคำนั้นผูกจูงอยู่ที่ปลายจมูก คน คนหนึ่งร้อยเธอไว้ด้วยคำพิเศษแสนหวานคำนั้น นับตั้งแต่แตกเนื้อสาวจวบจนปัจจุบัน แต่มันกลับถูกเก็บเป็นความลับมาถึง4ปี เพราะหากเปิดเผยไป คนที่เสื่อมเสียไม่ใช่ตนเอง เพราะภักดีน้ำอิงจึงยอมทน...เพราะถึงต่อให้รักแทบขาดใจตาย แต่เขากับเธอ หาใช่คู่ครองที่คู่ควร ความเหมาะสมระหว่างกันมีไม่มากพอ ความห่างของชนชั้นเป็นตัวขัดขวางความรักนั่น...
แต่นั่นคือเรื่องที่เธอคิดไปเองฝ่ายเดียว
เพราะรักที่เกิดขึ้น ไม่ใช่รักเพราะความห่วงหา ผูกพัน มันกลับกลายเป็นแค่...ความใคร่!! ที่คน คนหนึ่งมีให้กับเธอ สำหรับเขา เธอเป็นแค่เครื่องเล่นที่มีไว้ระบายความกำหนัด
มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คาดหวังไว้
เพราะเธอเป็นได้แค่สิ่งของใกล้มือที่เขาฉกฉวยเอาไว้ปลดเปลื้องความใคร่ในตัวตนของเขานั่นเอง
4ปี ก่อน...
เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝน อากาศจะขมุกขมัว ทุกทิศมีแต่แผ่นฟ้าสีดำทะมึน มีเสียงคำรนเบาๆ สลับกับลำแสงสีทองที่แลบแปล๊บๆ เป็นสัญญาณเตือนว่าในอีกไม่ช้า เค้าฝนนั่นจะเทลงมาเป็นหยาดน้ำ
น้ำอิงนอนทบทวนวิชาที่เรียนมา หลังขึ้นไปช่วยงานบนตึกใหญ่ครึ่งค่อนวัน สาวอาภัพอาศัยใบบุญของเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ เท่าที่ปากต่อปากเล่าสู่ให้ตนเองฟัง ชาติกำเนิดของเธอไม่มีใครรู้ น้ำอิงถูกพบในถังขยะหน้าคฤหาสน์ คุณหญิงพวงผกา ประมุขของบ้านมีความเมตตาโดยเนื้อแท้ ท่านให้คนงานในบ้านช่วยกันดูแล ต่อลมหายใจของน้ำอิงจนเติบใหญ่
บุญคุณท่วมหัว ให้ทั้งที่อยู่อาศัยและข้าวแดงแกงร้อนที่รินรดหัว สาวอาภัพจึงเจียมตัว ภักดีกับคนทั้งตระกูลจันธกาจ แบบไร้ข้อแม้...
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับสายฝนที่เทลงมา
น้ำอิงเอียงหูฟัง เธอคิดว่าตนเองแค่หูแว่วไปเอง...ดึกขนาดนี้คงไม่มีใครมายืนเคาะประตูเรียกเธอ เพราะทันทีที่แต่ละคนกลับเข้าห้อง พวกเขาก็จะหลับสนิทบนเตียงนุ่ม เนื่องจากทำงานหนักมาทั้งวัน
“ใครคะ?”
เสียงหวานเอ่ยถามแข่งกับเสียงฝน
“เปิดประตูหน่อยอิง...” เสียงทุ้มตอบกลับมา แต่เจ้าของเสียงคือคนที่น้ำอิงไม่อยากคิด
ภีรพล จันธกาจ บุตรชายคนโตของคุณหญิงพวงผกา ผู้ใหญ่ใจดีที่อุปการะเธอไว้ ตั้งแต่วันที่เก็บเธอได้จากถังขยะหน้าบ้าน
กึกๆ
มีเสียงเขย่าประตูซ้ำ น้ำอิงตกใจ เธอรีบถอดสลักเปิดประตูและถามลูกชายเจ้าของบ้านเสียงสั่น “เกิดอะไรขึ้นบนตึกเหรอคะ?!!”
ภีรพลยิ้มเฉย เขาดันน้ำอิงเข้าไปด้านใน พร้อมทั้งปิดประตูตามหลังและลงกลอนด้วยสีหน้าเรียบเฉย...
มือเรียวกำชายกางเกงผ้ายืดแน่น เงยหน้ามองผู้ชายหนุ่มฉกรรจ์ตรงหน้า “เออ...”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละ ฉันแค่อยากเจอเธอ” ชายหนุ่มไหวไหล่ตอบเสียงแกว่งๆ
น้ำอิงเดินหลบ เมื่อภีรพลเดินย่างสามขุมเข้าใส่ เธอได้กลิ่นแอลกอฮอล์ระเหยออกมาทางลมหายใจของเขา หญิงสาวรีบสำรวจนายหนุ่ม โหนกแก้มของเขาขึ้นสีจัดกว่าทุกวัน
“คุณดื่มมาเหรอคะ?”
เสียงสั่นๆ เอ่ยถาม และตกใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อลูกชายเจ้าของบ้านเริ่มถอดเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาทีละชิ้น...
“อาทิตย์หน้าฉันจะไปเรียนต่อ” ภีรพลเปรย มันช่างต่างจากการกระทำของเขาเหลือเกิน เขาบุกเข้ามาหาเธอกลางดึก มาพรรณนาเรื่องตัวเองจะไปเรียนต่อ แล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ
“เสื้อคุณเปียกเหรอคะ?” น้ำอิงถามเหมือนคนโง่
ชายหนุ่มยิ้มเฉย เขาไม่ตอบแต่ก็ไม่หยุดที่จะปลดเปลื้องอาภรณ์บนร่างกายเช่นกัน
“อิงจะหาผ้าให้เช็ดตัวนะคะ” เมื่อหมดประโยชน์ที่จะห้าม และไม่ต้องการเห็นภาพที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ น้ำอิงจึงเสหาทางเลี่ยง เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าควานหาผ้าสะอาดมาส่งให้ ภีรพล
มือแข็งแรงยื่นมารับโดยไม่ได้พูดอะไรอีก แทนที่เขาจะใช้ผ้านั่นเช็ดคราบน้ำฝนที่เปียกฉ่ำไปทั้งตัว ภีรพลกลับตวัดผ้าพาดไว้ที่บ่าซ้าย และเดินเข้าใส่น้ำอิงเหมือนเดิม
สาวละอ่อนถอยหลังกรูดๆ จนล้มลงไปบนฟูกนอน เมื่อพื้นที่ใช้สอยของห้องพักคนงานมีจำกัด ขยับนิดเดียวก็ถึงเตียง ขยับอีกหน่อยเดียวก็ประตู
“อ๊ะ!”
น้ำอิงผวา รีบพลิกตัวหนีแต่สายไปเสียแล้ว
ร่างสูงใหญ่โถมเข้าใส่ ใช้กำลังที่มีมากกว่าสกัดการต่อต้าน น้ำอิงหวาดกลัวมาก เธอไม่กล้าส่งเสียงเรียกให้คนข้างห้องช่วย เพราะหากมีบุคคลที่สามล่วงรู้ มันจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลจันธกาจมัวหมอง คุณหญิงพวงผกาคงไม่อยู่เฉย หากคนที่ทำให้บุตรชายของท่านเสื่อมเสียคือคนที่ท่านชุบเลี้ยงมากับมือ
น้ำอิงกลั้นสะอื้น ปล่อยให้ภีรพลหยามเหยียด เสียงเขากระซิบอยู่ข้างหู “อย่าคิดมากน่า ชีวิตของเธอนะอิง คุณแม่ฉันมอบให้ ทดแทนบุญคุณท่านด้วยการเป็นของฉันเถอะ”
อารมณ์กลัดมัน ผสมกับความมึนเมา ภีรพลโลมลูบ ฟอนเฟ้น เขาโยนความปรารถนาใส่น้ำอิง ปรนเปรอหล่อนและตนเองไปพร้อมๆ กัน ทั้งสองคนแหวกว่ายอยู่ในกระแสธารพิศวาส คนหนึ่งต้องกล้ำกลืนกับความอาดูร อีกคนกลับหฤหรรษ์กับความหวานละมุนที่ได้ดื่มชิม เขาตักตวงความหอมหวานบนเรือนร่างของน้ำอิงอย่างตะกรุมตะกราม เหมือนอดอยากมานานแรมปี เรี่ยวแรงที่ใช้ก็ไม่ได้ลดลงสักนิดเดียว ภีรพลเอาแต่ได้ และมอบความชอกช้ำไว้ที่ตัวน้ำอิงแทน
หญิงสาวนอนหายใจระทวย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตสาว และความรุนแรงนั่นทำให้เธอบอบช้ำจนไม่มีแรงที่จะขยับตัว
“เธอโกรธฉันเหรอ?” เสียงเข้มถามออกมา ผสมกับความฉุนเฉียวในน้ำเสียง
“ฉันรู้นะอิง เธอคงเกลียดที่ฉันหักหาญน้ำใจเธอสินะ”
เป็นอีกครั้งที่บุตรชายผู้มีพระคุณทำร้ายเธอด้วยกริยาจาบจ้วง เขาช้อนใต้ปลายคาง ดันวงหน้างามให้มองผสานสายตากัน ชายหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาหวานเศร้า แต่ในยามนี้มีริ้วรอยเจ็บช้ำแทรกปนอยู่ด้วย นัยน์ของน้ำอิงแดงก่ำ มีน้ำใสใสเอ่อท้นจวนจะหยดไม่หยดแหล่ และมันยิ่งทำให้ภีรพลเกิดความลำพองใจ เขาเป็นผู้กำชัยชนะ และอยู่เหนือกว่าเจ้าหล่อนทุกประการ
“เธอคงไม่เอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาให้คนอื่นรู้ใช่มั้ย?”
เป็นคำถามที่คนถามไม่ต้องการคำตอบ เมื่อภีรพลรู้ดี น้ำอิงมีความภักดีและกตัญญูกับมารดาของเขาแค่ไหน ถึงเขาจะเป็นผู้พรากสิ่งที่น้ำอิงหวงแหนไป แต่หล่อนก็จะไม่มีวันปูดเรื่องน่าอดสูนี่ให้บุคคลที่สามรับรู้แน่ๆ
“...” ไม่มีคำตอบจากน้ำอิง แต่ภีรพลก็รู้ดีอีกนั่นแหละ หล่อนไม่มีวันปริปากพูด แม้จะถูกคาดคั้น
“อาทิตย์หน้าฉันจะต้องบินแล้ว และขอให้รู้ไว้นะอิง... ถ้าไม่ชอบเธอ ฉันคงไม่ทำแบบนี้”
คำพูดหวานเชื่อมมันคงใช้ได้ผลหากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่มันก็ไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เมื่อความรักความอาลัยอาวรณ์ของน้ำอิงที่มีกับตัวเขา ทำให้หัวใจดวงน้อยของน้ำอิงเริ่มเอนเอียง เมื่อผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างภีรพล คือผู้ชายที่ใครๆ ก็ฝันถึง รวมถึงสาวอาภัพอย่างน้ำอิงด้วย ชายหนุ่มยิ้มหยัน เมื่อหญิงสาวในอ้อมแขนหลุบเปลือกตาลง เขาสอดมือไปใต้แผ่นหลังขาวเนียน มือใหญ่ลูบวนทั่วแผ่นหลังเนียนอย่างปลอบประโลม ค่อยๆ ขยับฝ่ามืออุ่นร้อนรุกล้ำเข้าหาบั้นท้ายงามงอน ตั้งใจจะปลุกความเร่าร้อนที่ซุกซ่อนไว้ภายในของหญิงสาวให้ยอมจำนนตนเองอีกครั้ง...
“อย่าค่ะ!”
น้ำอิงร้องห้ามด้วยความตื่นตระหนก เธอยกฝ่ามือดันอกแกร่งให้ออกห่าง รู้อยู่แก่ใจดีว่า...ถ้าไม่ห้ามเขาไว้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
“อย่าห้ามฉันเลยอิง เธอก็รู้นี่ เราจะต้องห่างกันอีกนานหลายปี เธอจะไม่ให้ฉันเก็บความหวานละมุนระหว่างเธอกับฉันไว้ให้คิดถึงบ้างเลยเหรอ?”
เสียงของภีรพลแหบปร่า โทนเสียงสั่นพร่า เมื่อความกำหนัดในตัวลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ว่า...” น้ำอิงพยายามห้าม แต่ดำฤษณาเริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวใจ ทุกรสสัมผัสที่ชายหนุ่มนำพามาให้ตนเอง ฝ่ามือร้อนผะผ่าวนั่นทำให้สติของเธอค่อยๆ หลุดลอย ความหวามไหวกัดกินผิวกายทุกตารางนิ้ว เริ่มตั้งแต่แอ่งชีพจรที่ปลายจมูกโด่งแหลมวนเวียนซุกไซ้อยู่นั่นเอง