สามปีผ่านไป
ชายแดนอาเคอซู่
ค่ายทหารแคว้นเทียนหยวน
เปลวแดดอันแรงกล้าของแสงอาทิตย์ในยามกลางวัน ช่างร้อนระอุไปทั่วผืนแผ่นดินสีทอง กระโจมน้อยใหญ่มากมายตั้งรายล้อมอยู่ใกล้เขตทะเลสาบ ที่อยู่ใจกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่ามกลางผืนทรายอันแสนร้อนระอุจะมีบึงขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปร่างคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวปรากฏอยู่ในแผ่นดินอันกว้างใหญ่แห่งนี้
บรรดากระโจมมากมายเป็นที่สถานที่ตั้งค่ายทหารของแคว้นเทียนหยวนโดยมี ตงฟางลี่หยางเป็นผู้บัญชาการทัพระหว่างการทำสงครามกับชนเผ่าอาเคอซู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเผ่าซงหนู ในเวลานี้แม่ทัพหนุ่มนามกระฉ่อน ชื่อเสียงลือเลื่องไปทั่วทุกสารทิศ ขุนพลคู่บัลลังก์แห่งเทียนหยวนที่กำลังเรืองอำนาจอยู่ในเวลานี้
ภายหลังจากที่ต้าโจวล่มสลายลงไปแล้ว ตระกูลตงฟางซึ่งเป็นหนึ่งในกองทัพทั้งแปดสกุลใหญ่ของเทียนหยวนเวลานั้น อันได้แก่สกุลตงฟาง สกุลหยวน สกุลสวี่ สกุลพาน สกุลเฉิน สกุลอวี๋ สกุลเหรินและสกุลเสวียน จึงกลายเป็นกำลังสำคัญสร้างแผ่นดินเทียนหยวนและยืนหยัดเคียงคู่มาโดยตลอด
แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่เกือบจะทำให้ตงฟางลี่หยางแม่ทัพลือชื่อผู้นี้เกือบต้องสิ้นชื่อในสงครามชิงเมืองเป่ยเยี่ยนมาแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น กองทัพของเทียนหยวนหลงกลศึกของซุนเหว่ยอี้อดีตสหายรัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเพื่อนโฉดคือองค์ชายแปดมีพระนามว่ามู่หรงฉีจากแคว้นเฉิงฮั่นนั่นเอง
ศึกเมืองเป่ยเยี่ยนตงฟางลี่หยางได้สูญเสียตงฟางเหมยฮัวน้องสาวเพียงคนเดียวอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน ด้วยเพราะว่าถูกมู่หรงฉีใช้แผนลักพาตัวนางมาเป็นตัวประกันเพื่อเจรจรต่อรองกับผู้เป็นพี่ชาย ด้วยความเสียใจที่เสียรู้อดีตคนรักมู่หรงฉี ตงฟางเหมยฮัวยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อให้พี่ชายได้รอดพ้นจากภัยพิบัติร้ายในครั้งนั้น
และตงฟางลี่หยางรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดก็เพราะได้กลืนไข่มุกวิเศษซึ่งน้องสาวของเขาได้สั่งเสียเอาไว้พร้อมมอบหยกบุบผาที่นางให้ไว้ก่อนตาย ชาวเมืองทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองเป่ยเยี่ยนถูกมู่หรงฉีสังหารล้างเมือง ไม่เหลือรอดชีวิตแม้แต่เพียงผู้เดียวจนกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน
หลังจากที่แม่ทัพหนุ่มจากเทียนหยวนรอดตายมาได้ในครานั้น เมืองเป่ยเยี่ยนที่กลายเป็นเมืองร้างและไร้สิ้นชีวิตของชาวเมือง ได้ถูกตงฟางลี่หยางประกาศให้เมืองดังกล่าวตกอยู่ในการปกครองของเทียนหยวน พร้อมย้ายฐานบัญชาทัพและกำลังทหารทั้งหมดมาที่เมืองเป่ยเยี่ยน ซึ่งเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และน้ำดินดำ รวมไปถึงยังมีเหมืองที่เต็มไปด้วยโมราและหยกแทนที่จะเป็นเมืองหลันโจว อันเป็นฐานทัพเดิมซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์น้อยกว่าเมืองเป่ยเยี่ยนมากมายยิ่งนัก
และการย้ายฐานทัพของเทียนหยวนมาที่เมืองเป่ยเยี่ยนทั้งหมดนั้น ฮ่องเต้เทียนหยวนพระองค์ปัจจุบันรวมไปถึงขุนนางภายในราชสำนักต่างเห็นชอบตรงกัน เพราะเมืองดังกล่าวเป็นที่หมายปองของแคว้นน้อยใหญ่มาอย่างช้านาน ซึ่งต้องการที่จะเข้าครอบครองเป่ยเยี่ยนให้ตกอยู่ภายใต้การปกครอง และในที่สุดก็ตกเป็นของเทียนหยวนด้วยฝีมือของตงฟางลี่หยาง
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องการยึดครองเมืองเป่ยเยี่ยนจากการถูกโจมตีของแม่ทัพผู้กล้าเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหล้า หากแต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลบว่า เมืองเป่ยเยี่ยนถูกสังหารล้างเมืองจนกลายสภาพเป็นเมืองร้างเช่นนั้น
แท้จริงแล้วเป็นฝีมือขององค์ชายแปดมู่หรงฉีนำกำลังทหารจากเฉิงฮั่นบุกเข้าเมืองเพื่อหวังช่วงชิงมาไว้ในความครอบครอง และทุกชีวิตของชาวเมืองที่จบสิ้นนับหลายพันล้วนเป็นการกระทำของแคว้นเฉิงฮั่นทั้งสิ้น หาใช่คำสั่งฆ่าล้างเมืองจากตงฟางลี่หยางแต่อย่างใดตามที่ทั่วหล้าต่างพากันเข้าใจ
ในขณะเดียวกันทั่วหล้าต่างก็ไม่คาดคิดว่า ตงฟางลี่หยางจะสามารถช่วงชิงเมืองเป่ยเยี่ยนกลับคืนมาได้แต่เพียงลำพัง ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นไร้สิ้นกองทหารของเทียนหยวนแม้แต่น้อยด้วยเพราะถูกกำยานพิษล้มตายจนหมดทั้งกองทัพ ด้วยเหตุนี้เหตุการณ์สังหารหมู่ฆ่าล้างเมืองเป่ยเยี่ยน ทำให้พากันโจษขานเลื่องลือกันไปทั่วว่า แม่ทัพตงฟางช่างอำมหิตเสียนี่กระไรและเลือดเย็นอย่างยิ่งยวด
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีหลายกระแสเสียงโต้แย้งว่าการสังหารล้างบางเมืองเป่ยเยี่ยนที่เกิดขึ้นนั้น หาใช่การกระทำของตงฟางลี่หยางแต่อย่างใด ด้วยเพราะกองทัพเทียนหยวนถูกกำยานพิษจนล้มตายหมดทั้งกองทัพ และยังรวมไปถึงชาวเมืองเป่ยเยี่ยน ต่างก็พากันตายเพราะถูกพิษจนหมดเมืองด้วยเช่นกัน และกำยานพิษนั้นยังคร่าชีวิตของกลุ่มชายฉกรรจ์ซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปอีกนับหลายร้อยนายไปด้วยพร้อมกัน จึงทำให้ต่างสันนิษฐานกันไปต่างๆ นานา
ทว่าตงฟางลี่หยางกลับไม่ปริปากพูดแต่อย่างใดด้วยเพราะไร้สิ้นหลักฐานยืนยัน ด้วยเพราะมีเพียงลี่หยางเท่านั้นที่รอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเพียงชีวิตเดียว ไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตที่จะมายืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเมืองเป่ยเยี่ยน แต่อย่างใด หากแต่ขึ้นชื่อว่าสงครามจุดจบก็คือความสูญเสียและความตายด้วยกันทั้งสิ้น แคว้นที่อ่อนแอและเมืองที่รุ่งเรืองจะต้องพานพบกับเหตุการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้เสมออย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
และสักวันความจริงจะปรากฏออกมาเอง โดยที่ตงฟางลี่หยางไม่ต้องเสียเวลาเอื้อนเอ่ยแต่อย่างใด ทั่วหล้าก็จะล่วงรู้ได้เองในภายหลัง อีกทั้งเป่ยเยี่ยนเดิมทีถูกกองทัพของเทียนหยวนบุกโจมตีจนเมืองจวนเจียนก็ใกล้แตกแล้วเช่นกัน ด้วยเพราะบุรุษทุกคนในเมืองออกมาปกป้องเมืองของตัวเอง ต่อสู้จนตัวตายอยู่นอกเขตกำแพงเมืองไปจนหมดสิ้น มีเพียงเด็ก สตรีและคนชราเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ในเมืองดังกล่าว ซึ่งแม่ทัพชื่อก้องละเว้นชีวิตไม่คิดสังหารตั้งแต่แรก
หากแต่จะมีผู้ใดคาดคิดได้เล่าว่ามู่หรงฉีใช้ความเจ้าเล่ห์ฉวยโอกาสที่เกิดขึ้นดังกล่าว ลงมือกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนั้นโดยที่เฉิงฮั่นไม่ต้องเสียเวลาออกแรงแต่อย่างใด ครั้นเหตุการณ์แปรเปลี่ยนไม่เป็นดั่งที่คิด ไม่สมดั่งใจหวังตามที่คาดการณ์เอาไว้ มู่หรงฉีจำต้องถอยกำลังทหารกลับไปตั้งหลักก่อน
ความแค้นหยั่งรากลงลึกเพื่อเฝ้าตามทำลายล้างอดีตสหายรักใจโฉดให้จงได้ ลี่หยางลงมือแก้แค้นมู่หรงฉีเป็นการส่วนตัว แต่ในขณะเดียวกันหาทางทำลายแคว้นเฉิงฮั่นไปในคราเดียวกันอย่างเงียบๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
และในเวลานี้ตงฟางลี่หยางกำลังวางแผนทวงหนี้แค้นที่มีต่ออดีตสหายรัก โดยเริ่มต้นบุกยึดดินแดนที่แคว้นเฉิงฮั่นหมายตาจะเข้าครอบครอง และมีไมตรีต่อกันให้ตกมาเป็นของเทียนหยวนทั้งหมด หลังจากนั้นลงมือตัดท่อน้ำเลี้ยงจนหมดสิ้น
แม่ทัพหนุ่มวางแผนการเอาไว้อย่างแยบยล เพื่อที่จะนำกองทัพเทียนหยวนบุกเข้าโจมตีแคว้นเฉิงฮั่นให้ได้อย่างแนบเนียน เพราะตงฟางลี่หยางมีแผนที่จะทำลายไมตรีของทั้งสองแคว้นให้สิ้นเยื่อใยที่มีต่อกันอยู่ทุกขณะ
ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าการนำทัพเข้าประชิดชายแดนที่ติดขอบทะเลทรายในเวลานี้ กลับทำให้แม่ทัพผู้กล้าได้ผ่านไปพบเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมา ซึ่งพระขนิษฐาร่วมพระมารดาเดียวกันของมู่หรงฉี พระนามว่าองค์หญิงมู่หรงชิงเสียน ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นตัวแทนของแคว้นเฉิงฮั่นเสด็จเข้าร่วมงานเชื่อมสัมพันธ์กับชนเผ่าทางตอนเหนือซึ่งล้วนตกอยู่ภายใต้การปกครองของเฉิงฮั่นทั้งสิ้น แต่แล้วกลับมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับขบวนเสด็จขององค์หญิงมู่หรงชิงเสียน
กองทัพของเทียนหยวนโดยการนำของตงฟางลี่หยางซึ่งกำลังตั้งค่ายทหารอยู่แถบบริเวณชายแดนของอาเคอร์ซู่อยู่ในเวลานั้นได้ลาดตระเวนผ่านมาพบเข้าให้พอดี จึงได้เข้าช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน พร้อมกับนำองค์หญิงมู่หรงชิงเสียนมาพำนักอยู่ที่บึงพระจันทร์ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำอยู่ใกล้ที่สุดกับบริเวณที่องค์หญิงน้อยถูกนำมาทิ้งไว้
ในขณะที่องค์หญิงน้อยผู้นั้นถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุมานานติดต่อกันกี่วันแล้วก็มิอาจล่วงรู้ได้ ก่อนหน้าที่ตงฟางลี่หยางจะเดินทัพผ่านมาพบและได้เข้าช่วยเหลือด้วยความบังเอิญ
“รายงาน!!!”เสียงทหารดังกึกก้องอยู่นอกกระโจมก่อนจะก้าวเข้ามาภายในรีบเดินตรงไปเบื้องหน้า ซึ่งตงฟางลี่หยางกำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบพลางอ่านตำราไม้ไผ่ซึ่งเป็นพิชัยสงครามอยู่ตรงหน้า
“รายงานท่านแม่ทัพ องค์ชายแปดของแคว้นเฉิงฮั่นนำกองทหารม้าหนึ่งร้อยนายมุ่งหน้าไปทางบึงพระจันทร์แล้วขอรับ”สิ้นเสียงรายงาน
รอยแสยะยิ้มเหยียดภายใต้หนวดเคราที่ขึ้นปกคลุมกรอบหน้าของตงฟางลี่หยาง จนทำให้รูปโฉมของแม่ทัพผู้กล้าแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความน่ากลัวและดุดันเป็นที่หวั่นเกรงอย่างยิ่งยวด ดวงตาสีสนิมเหล้กลุกโชนเต็มไปด้วยแรงแค้น เพลิงโลกันตร์ฉายวาววับออกมาทางสายตา
“องค์หญิงน้อยผู้นั้นสภาพตอนนี้เป็นเช่นไร”ลี่หยางถามกลับไปเสียงเย็นยะเยียบ
“องค์หญิงน้อยจากเฉิงฮั่น หลังจากถูกทิ้งอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุและถูกความเย็นจัดในเวลากลางคืนของทะเลทรายมานานหลายวัน ซึ่งก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าถูกนำมาทิ้งเป็นระยะเวลายาวนานเพียงใด
หากแต่ในยามนี้ดูท่าชีวิตขององค์หญิงเฉิงฮั่นจะอยู่ได้อีกไม่นานแน่นอนขอรับท่านแม่ทัพ ตอนที่กำลังทหารจะพากันแยกย้ายยกกองพลออกมาจากบริเวณบึงพระจันทร์ ตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ ลมหายใจของนางก็เริ่มรวยรินเต็มที่แล้ว ดูท่ากว่าองค์ชายแปดของเฉิงฮั่นจะเสด็จไปถึงองค์หญิงน้อยผู้นั้นอาจจะสิ้นลมลงไปก่อนหน้านั้นแล้ว”
“ทำได้ดีมาก!”ลี่หยางพูดพร้อมหัวเราะอยู่ในลำคอก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ให้ทหารของเราที่แฝงตัวอยู่ภายในกองทหารที่ติดตามมากับมู่หรงฉี รายงานข่าวกลับมาอย่างละเอียด และจงนำคำสั่งของข้าไปจัดเตรียมทัพเคลื่อนพลมุ่งหน้าเข้าสู่ชายแดนอาเคอซู่ ข้าจะบุกเข้ายึดดินแดนแถบนั้นทั้งหมด นำกลับไปฝากฝ่าบาทเสียหน่อย”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”เสียงขานรับคำสั่งอย่างแข็งขันพลางเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพใหญ่ของเขาก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามบางอย่างออกไป
“เออ...ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าน้อยไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่แจ้งข่าวให้ทางแคว้นเฉิงฮั่นล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วท่านแม่ทัพได้เป็นผู้ช่วยชีวิตพระธิดาเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้เฉิงฮั่นเอาไว้ อีกทั้งสภาพขององค์หญิงในยามนี้ก็ดูท่าคงจะไม่รอดอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วจะสามารถบอกเหตุการณ์ที่องค์หญิงได้ถูกท่านแม่ทัพช่วยชีวิตเอาไว้จนมีลมหายใจต่อมาได้อีกหลายวันให้ทางเฉิงฮั่นล่วงรู้ความจริงและสำนึกบุญคุณของท่านแม่ทัพได้อย่างไรเล่าขอรับ ข้าน้อยไม่เข้าใจเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ด้วย”
ตงฟางลี่หยางที่กำลังมองถ้วยชาในมือตรงหน้าระบายยิ้มออกมาบางเบา ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปครั้นถูกรองแม่ทัพคนสนิทเอ่ยถามด้วยความสงสัยกลับมาเช่นนั้น
“เจ้าไม่ต้องอยากรู้ถึงเหตุผลของข้าหรอกว่าเพราะอะไรจึงทำเช่นนั้น หากแต่ในความเป็นจริงแล้วข้าตั้งใจที่จะกระทำสิ่งเลวร้ายต่อองค์หญิงน้อยผู้นั้นจริงๆ แต่บังเอิญว่าดันมีกลุ่มคนที่มีความแค้นต่อมู่หรงฉีชิงตัดหน้าข้าไป ลงมือกับองค์หญิงน้อยผู้นั้นไปเสียก่อน จึงทำให้แผนของข้าไม่เป็นไปอย่างที่คิดแต่ก็ใช่ว่าจะสานต่อไม่ได้ ข้าก็แค่...”ลี่หยางหยุดพูดไปชั่วขณะพร้อมยิ้มเหยียดออกมาบางๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปโดยพลัน
“องค์หญิงน้อยผู้นั้นถึงอย่างไรเสียนางก็ไม่มีทางรอด มิสู้ให้นางสิ้นลมหายใจไปต่อหน้ามู่หรงฉีเสียจะดีกว่า ข้าก็แค่ทำหน้าที่สนับสนุนให้พี่น้องได้มีโอกาสเห็นหน้ากันก่อนตายอีกครั้งก็เท่านั้น”ตงฟางลี่หยางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำและเน้นหนัก
“ท่านแม่ทัพช่างเลือดเย็นเสียจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วอาการขององค์หญิงน้อยผู้นั้น สามารถที่จะรักษานางได้แต่ท่านแม่ทัพกลับนิ่งเฉยและจากมาอย่างเงียบๆ นี่ถ้าหากไม่มีกลุ่มคนปริศนาชิงลงมือกับองค์หญิงผู้นั้นตัดหน้าท่านแม่ทัพไปเสียก่อนแล้วละก็ ดูท่าองค์หญิงน้อยผู้นั้นจะต้องถูกกระทำทรมานยิ่งกว่าที่เป็นอยู่นับร้อยนับพันเท่าเป็นแน่ ถือได้ว่านางยังโชคดีที่ไม่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานก่อนตายเช่นนั้น”รองแม่ทัพคนสนิทคิดในใจ
“ขอรับท่านแม่ทัพ...ตอนนี้ข้าน้อยเข้าใจดีทุกอย่างแล้ว”กล่าวพร้อมรีบหันกายกลับเดินออกไปจากกระโจมอย่างรวดเร็ว