ท่ามกลางสายตาของมู่หรงฉีครั้นเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ไม่คาดคิดว่าตงฟางเหมยฮัวจะใจเด็ดยอมปลิดชีพตัวเองเพื่อไม่ให้ใช้ประโยชน์จากความรอบรู้ของนาง
“บัดซบสิ้นดี! ไม่คิดว่าจะมีสตรีหน้าโง่ยอมสละชีพของตัวเองเช่นนั้น ไม่มีนางแล้วแผนการที่วางเอาไว้จะทำได้เยี่ยงไรต่อไป พัง! พังหมดตำแหน่งรัชทายาทของข้า...พังไม่เหลือสิ้น!!!”มู่หรงฉีก่นด่าด้วยความแค้นเคือง ไร้จิตสำนึกและไม่มีความอาวรณ์ใดๆ ต่อการจากไปของตงฟางเหมยฮัวแม้แต่น้อยพร้อมเสียงตะโกนก้องออกคำสั่งขึ้นมาทันใด
“ฆ่าแม่ทัพเทียนหยวนผู้นี้ซะ!!!”เสียงสั่งฆ่าดังก้องขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม
สิ้นเสียงสั่งการคันธนูนับร้อยถูกขึ้นสายอย่างพร้อมเพรียง ในขณะที่ตงฟางลี่หยางกำลังใช้มือดึงไข่มุกที่อยู่ในปิ่นปักผมจากร่างอันไร้วิญญาณของน้องสาวจับเม็ดไข่มุกดังกล่าวใส่เข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว พลางเงยหน้าขึ้นมองบนกำแพงเมืองสูงตระหง่าน พร้อมรอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“เจ้าจะต้องได้รับการชดใช้อย่างสาสมมู่หรงฉี ข้าจะทำลายแคว้นของเจ้าให้ย่อยยับไม่เหลือสิ้น วาดฝันใคร่อยากครอบครองแผ่นดินเฉิงฮั่นและเป็นใหญ่เหนือแคว้นอื่นทั่วหล้าอย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะเจ้าลูกเต่า!!!!”สิ้นเสียงคำรามที่ดังอยู่ในลำคอ
พรืดดดด!!!! แม่ทัพหนุ่มกระอักโลหิตแดงฉานออกมากองใหญ่ ในขณะที่กำลังกอดศพของน้องสาวเอาไว้อยู่ภายในอ้อมกอด เวลานั้นร่างสูงใหญ่กำยำเริ่มโงนเงนไปมาท่ามกลางสายตาบรรดาทหารของเฉิงฮั่นและมู่หรงฉี ซึ่งต่างเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวกันอย่างถ้วนหน้า
ตุบ!!! ตงฟางลี่หยางจู่ๆ ก็หมดลมหายใจภายในเวลาอันรวดเร็ว นั่งคอตกทั้งๆ ที่กำลังกอดร่างอันไร้วิญญาณของน้องสาวเอาไว้อยู่ตลอดเวลา สองมือเต็มไปด้วยโซ่ตรวนที่ขาดกระจุยจากแรงพละกำลังมหาศาลของแม่ทัพจากเทียนหยวน และร่างดังกล่าวยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงจนเวลาผ่านไปนานกว่าครึ่งก้านธูปเลยทีเดียว
“ทหาร!!!! รีบพากันลงไปดูสิว่าคนผู้นั้นเหตุใดจึงแน่นิ่งไปเช่นนั้น”มู่หรงฉีตะโกนสั่งการ
เพียงครู่ประตูเมืองเป่ยเยี่ยนถูกเปิดออกพร้อมทหารหลายสิบนายปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะวิ่งตรงไปที่ร่างของแม่ทัพหนุ่มแห่งเทียนหยวนเพื่อตรวจสอบตามรับสั่งขององค์ชายโฉด
“แม่ทัพเทียนหยวนตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ!!!”ทหารคนดังกล่าวตะโกนก้องกลับไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะของมู่หรงฉีพลันดังกึกก้องขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ตายแล้วอย่างนั้นเหรอ!!!! ในที่สุดวันตายของเจ้าก็มาถึงลี่หยาง เทียนหยวนไม่มีเจ้าคอยปกป้องอีกต่อไปแล้ว นับตั้งแต่นี้ต่อไปแผ่นดินเฉิงฮั่นของข้าก็จะเป็นอิสระไม่ต้องตกอยู่ภายใต้เงาของเทียนหยวนอีกต่อไป”มู่หรงฉีพูดพลางหัวเราะออกมาอย่างสุดเสียง ก่อนจะหยุดลงพร้อมตะโกนก้อง
“ตัดหัวคนผู้นั้นมาให้ข้า! หัวของตงฟางลี่หยางจะทำให้ข้าได้ครอบครองแผ่นดินเฉิงฮั่นสืบต่อไป แม้จะไม่ล่วงรู้ความลับของน้ำดินดำจากเหมยฮัว แต่อย่างน้อยหัวของคนผู้นี้จะต้องทำให้เสด็จพ่อพึงพอพระทัยกับผลงานของข้าในครั้งนี้อย่างแน่นอน”กล่าวพร้อมตะเบ็งเสียงหัวเราะออกมาอีกคราก่อนจะก้าวเดินออกไปจากบริเวณกำแพงเมืองดังกล่าว
เหวอออ!!!! เสียงตื่นตระหนกดังขึ้นอยู่เบื้องล่างบริเวณนอกกำแพงเมืองเป่ยเยี่ยน ราวกับว่าได้พานพบอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิดทันทีที่เสียงสั่งการของมู่หรงฉีกล่าวออกมาเช่นนั้น
“ร่างของแม่ทัพเทียนหยวนหายไปแล้ว!!!”เสียงทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองต่างกล่าวออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“อะไรนะ!!!”เสียงของมู่หรงฉีดังแทรกขึ้นมาทันที
ร่างสูงองค์ชายโฉดจากที่กำลังเดินออกจากบริเวณดังกล่าวรีบหันหลังเดินกลับเข้ามามาอย่างรวดเร็วก่อนจะถลาเข้าไปเกาะขอบกำแพงเมืองพลางรีบชะโงกใบหน้าก้มลงมองเบื้องล่างครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะเห็นเพียงร่างอันไร้วิญญาณของเหมยฮัวนอนสงบนิ่งอยู่กับพื้นดินเพียงลำพังเท่านั้น
“ผู้ใดเข้ามาชิงศพไป!!!!”มู่หรงฉีตะโกนถามกลับไปทันที
“ไม่มีผู้ใดเข้ามาชิงศพของแม่ทัพเทียนหยวน แต่ศพจู่ๆ ก็หายไปเองพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย พวกกระหม่อมสิบกว่าชีวิตล้วนเห็นเหตุการณ์ตรงกันหมดสิ้น”
คำตอบดังกล่าวทำให้มู่หรงฉียืนนิ่งงันไปทันใดครั้นได้ยินรายงานเช่นนั้น
“ศพเลือนหายไปเองอย่างนั้นเหรอ จะหายไปได้อย่างไงเป็นไปได้อย่างไรกัน”มู่หรงฉียืนพึมพำ ในเวลานี้ความคิดสับสนอยู่เช่นนั้นมิรู้วาย พลางก้มมลงมองไปเบื้องล่างอีกครั้ง
“บัดซบที่สุด! ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าคาดหวังไว้มลายสิ้น ลำพังเหมยฮัวปลิดชีพตัวเองทำให้ไม่สามารถล่วงรู้ความลับของน้ำดินดำยังไม่พอ หวังจะนำหัวเจ้าคนผู้นั้นไปถวายเสด็จพ่อ หากแต่ศพของลี่หยางก็เลือนหายไปอย่างน่าประหลาดเช่นนี้อีก สู้อุตส่าห์วางแผนยึดเมืองเป่ยเยี่ยนเท่ากับสูญเปล่า....โธ่เว้ย!!!”มู่หรงฉีสบถอย่างคั่งแค้น
“นี่ข้าจะต้องกลับไปมือเปล่าจริงๆ อย่างนั้นหรือนี่ เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ ข้าต้องถูกตอบโต้จากฝ่ายขุนนางที่คอยหนุนหลังรัชทายาทอย่างแน่นอน”มู่หรงฉีคำรามลั่นด้วยความแค้นใจยิ่งนัก
“ถอนกำลังออกจากเมืองกลับเฉิงฮั่นเดี๋ยวนี้!!!!”มู่หรงฉีตะโกนสั่งการเสียงดังกึกก้อง พร้อมเดินผละออกจากบริเวณกำแพงเมืองดังกล่าวไปอย่างหัวเสียเป็นที่สุด ติดตามด้วยเสียงบรรดาทหารต่างตะโกนถ่ายทอดคำสั่งดังกึกก้องยาวไกลออกไปเป็นทอดๆ
“ถอนกำลังออกจากเมือง!!!!”
หนึ่งวันผ่านไป
ท่ามกลางความเงียบงันและเต็มไปด้วยความวังเวงที่กำลังแผ่ปกคลุมไปโดยรอบ เมืองเป่ยเยี่ยนที่เคยขึ้นชื่อว่างดงามและยิ่งใหญ่ อุดมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีพืชผลจากการเพาะปลูกสามารถหล่อเลี้ยงชาวเมืองเป่ยเยี่ยนและเมืองข้างเคียงได้อีกนับสิบเมือง จนผู้คนจากเมืองอื่นต่างหลั่งไหลมาปักหลักอยู่อาศัยภายในเมืองดังกล่าวกันอย่างเนืองแน่น
ทว่าบัดนี้ความเจริญและพืชผลอุดมสมบูรณ์เหล่านั้นกลับถูกทำลายจนมิเหลือสิ้น มู่หรงฉีใช้กำลังทหารของเฉิงฮั่นบุกเข้ายึดเมือง ลงมือสังหารผู้คนจนหมดเมืองไม่เว้นแม้กระทั่ง เด็ก สตรีและคนชราก็ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น พื้นดินมีแต่ซากศพนอนตายเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งเมืองตั้งแต่หน้าประตูเมืองจนสุดเขตแดน
และเหนือแผ่นฟ้าเบื้องบนในเวลานี้ ท้องฟ้าสีครามที่เคยสดใสบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดแดงฉานราวกับสวรรค์เบื้องบนล่วงรู้ชะตากรรมวิบัติอันเลวร้ายของชาวเมืองเป่ยเยี่ยน ฝูงนกแร้งมากมายเริ่มบินวนตรงมาเกาะตามขอบกำแพงเมือง ตามชายคาบ้านเรือนจนปรากฏสีดำทะมึนปกคลุมเป็นหย่อมๆ กำลังเฝ้ารอเวลาที่จะบริโภคอาหารอันโอชะ นั่นก็คือซากศพของชาวเมืองที่นอนตายเกลื่อนไปทั่วบริเวณ
บริเวณนอกกำแพงเมืองร่างอันไร้วิญญาณของตงฟางเหมยฮัว เริ่มมีปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลง ภายหลังจากตายมานานกว่าหนึ่งวัน ร่างไร้วิญญาณของสตรีผู้เคยงดงามและมีเรือนร่างบอบบาง ในยามนี้แข็งทื่อทั่วร่างบวมและขึ้นอืดอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้นเอง
พรึบ!!!! จู่ๆ ร่างของตงฟางลี่หยางแม่ทัพของเทียนหยวน พลันปรากฏออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ร่างของแม่ทัพหนุ่มยังคงอยู่ในท่านั่งคุกเข่า สองมือยังคงเต็มไปด้วยโซ่กุญแจมือสำริดและโซ่ตรวนที่ขาดกระจุยออกจากกันด้วยพละกำลังอันมหาศาลของลี่หยาง
เส้นผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงและปล่อยยาวสยายด้วยกรำศึกมานานติดต่อกันหลายวันเพื่อเอาชีวิตรอดจากการถูกทำร้ายของอดีตสหายโฉดอยู่กับพื้นดินอยู่นอกกำแพงเมืองเป่ยเยี่ยนเช่นนั้นราวกับว่าไม่ได้ขยับกายเคลื่อนไปไหนแม้แต่น้อยนิด
ไข่มุกที่ประดับอยู่บนยอดปิ่นปักผมของตงฟางเหมยฮัว สมแล้วที่เป็นมุกวิเศษซึ่งนอกจากจะมีคุณสมบัติเป็นยาแล้วยังสามารถเพิ่มกำลังภายในให้อย่างมหาศาล อีกทั้งยังทำให้เกิดพลังวรยุทธ์แปลกประหลาดบังเกิดขึ้นอยู่ภายในร่างของตงฟางลี่หยาง มิหนำซ้ำไข่มุกดังกล่าวยังสามารถอำพรางร่างของผู้ที่ได้กลืนเม็ดมุกนั้นเข้าไป อำนาจวิเศษของมุกจะซ่อนเร้นตัวตนและอำพรางสายตาจากผู้คนไม่ให้ได้พานพบ จนกว่าจะคายเม็ดมุกออกมาเองหรือหากไม่ได้คายออกมาเพราะกลืนลงเข้าไปแล้ว
ถึงกระนั้นร่างจะปรากฏออกมาได้เองอีกครั้งหลังจากผ่านไปแล้วหนึ่งวัน และร่างจะสามารถหายตัวได้เองเพียงแค่คิดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ร่างของตงฟางลี่หยางปรากฏออกมาอยู่ในขณะนี้ และที่สำคัญด้วยคุณสมบัติของมุกวิเศษจึงทำให้แม่ทัพหนุ่มผู้กล้าหาได้สิ้นชีพแต่อย่างใด เพียงแค่หมดลมหายใจไปชั่วคราวเท่านั้น โดยมีมุกวิเศษรักษาร่างของตงฟางลี่หยางเอาไว้นั่นเอง
ร่างสูงใหญ่กำยำของลี่หยางที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นดินในเวลานั้น บัดนี้กำลังเริ่มมีการเคลื่อนไหวไปมาทีละน้อย นิ้วมือเริ่มขยับไปมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวไปทั่วร่าง
เฮือกกก!!!! ลมหายใจที่หยุดไปชั่วคราวนานกว่าหนึ่งวัน ในยามนี้ได้หวนกลับคืนสู่ร่างของตงฟางลี่หยางขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ในเวลานั้น เริ่มกลอกกลิ้งไปมาก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ในที่สุด พร้อมกับภาพแรกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า นั่นก็คือร่างอันไร้วิญญาณของน้องสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเริ่มขึ้นอืดอยู่ในเวลานี้
อ๊าคคคคค!!!! ทันทีที่ได้เห็นเช่นนั้นแม่ทัพหนุ่มแผดเสียงดังกึกก้องด้วยความเศร้าโศกและเสียใจเป็นที่สุดต่อการจากไปของน้องสาวเพียงคนเดียว เพราะในชีวิตนี้ตงฟางลี่หยางรักและห่วงใยน้องสาวยิ่งนัก นางควรจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ไม่ควรที่จะต้องมาจบชีวิตด้วยวัยเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น
มือทั้งสองข้างของลี่หยางสั่นเทาก่อนจะตรงเข้าไปช้อนร่างอันไร้วิญญาณของน้องสาวเอามาไว้ในอ้อมกอดโดยไม่รังเกียจแต่อย่างใดกับสภาพศพตรงหน้าของน้องสาว เสียงร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าดังอยู่เช่นนั้นมิรู้ยาวนานมากน้อยเพียงใด จวบจนกระทั่งเริ่มสังเกตเห็นบรรดานกแร้งต่างพากันบินว่อนไปทั่วทั้งเมืองร้างดังกล่าว
และนั่นทำให้ตงฟางลี่หยางรู้สึกตัวและได้คิด แม่ทัพหนุ่มสลัดความโศกเศร้าเสียใจออกไปโดยพลันพร้อมก้มลงมองใบหน้าเขียวคล้ำของน้องสาว
“ฮัวเอ๋อชีวิตของเจ้าจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน พี่ของเจ้าให้สัตย์สัญญาว่าจะนำหัวของเจ้ามู่หรงฉีมาเซ่นสังเวยต่อหน้าหลุมศพของเจ้า รวมไปถึงนำมาเซ่นสังเวยให้กับชาวเมืองเป่ยเยี่ยนทุกชีวิตที่ถูกสังหารล้างเมืองในครั้งนี้ด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งแผ่นดินเฉิงฮั่นก็จะไม่เหลือสิ้นเช่นเดียวกัน อยากจะนั่งบัลลังก์และเป็นใหญ่เหนือแคว้นทั่วหล้าแต่พี่ชายของเจ้าจะทำให้คนโฉดผู้นั้น ไม่มีแม้กระทั่งแผ่นดินที่จะใช้ฝังร่างของตัวเอง!!!!”
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและตามจองเวรอย่างถึงที่สุดของตงฟางลี่หยาง ช่างน่าสะพรึงกลัวเป็นยิ่งนัก ดวงตาคมกล้าลุกโชนเต็มไปด้วยความเคียดแค้นเหลือประมาณ
มือค่อยๆ ดึงสร้อยหยกที่ห้อยออกมาจากขอบชายเสื้อซึ่งมีเพียงครึ่งซีกเท่านั้นนำขึ้นมาพิจารณา และพบว่ามีอักขระโบราณสลักอยู่แต่ขาดหายไปบางส่วน
“ตะ..ตามหาคนที่มีหยกบุบผาอีกครึ่งหะ..ให้พบ...หยกบุบผาเป็นอัญมณีจากสวรรค์และที่สำคัญมีความลับของสวรรค์ซุกซ่อนอยู่”เสียงสั่งกำชับของน้องสาวดังขึ้นมาในความทรงจำ
“หยกบุบผามีความลับของสวรรค์ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้นอย่างนั้นเหรอ”ตงฟางลี่หยางพูดพลางหันกลับไปมองร่างอันไร้วิญญาณของน้องสาวที่อยู่ในอ้อมกอดพร้อมเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องห่วงฮัวเอ๋อ ข้าจะต้องตามหาผู้ที่ครองหยกบุบผาส่วนที่เหลือให้พบ แล้วจะได้รู้ว่าความลับของสวรรค์ที่เจ้าสั่งกำชับเอาไว้แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่”ตงฟางลี่หยางพูดพลางนำหยกดังกล่าวเก็บเข้าไว้ไปในอกเสื้ออย่างมิดชิดดั่งเดิม
ร่างสูงกำยำค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นจากพื้นดินพร้อมอุ้มร่างอันไร้วิญญาณขึ้นจากพื้นให้อยู่ภายในอ้อมกอดของพี่ชายอยู่ตลอดเวลา พลางกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ
“ข้าจะฝังร่างของเจ้าไว้ที่เมืองแห่งนี้เพื่อย้ำเตือนให้เจ้าคนโฉดผู้นั้นล่วงรู้ว่าได้ทำสิ่งใดเอาไว้บ้าง ชีวิตของเจ้าและชาวเมืองเป่ยเยี่ยนจะต้องได้รับความเป็นธรรมกลับคืนมา ข้าจะทำให้ผู้คนทั่วหล้าล่วงรู้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นฝีมือของผู้ใด และนับจากนี้เป็นต้นไปอย่าหวังเลยว่าแผ่นดินเฉิงฮั่นจะได้พบกับความสงบสุขดั่งเช่นกาลก่อน!!!”