ท่าอากาศยานนานาชาติตุนหวง
กลุ่มคนหลากหลายเชื้อสายและชาติพันธุ์ กำลังทยอยออกมาจากช่องทางเดินของผู้โดยสารขาออกของท่าอากาศยานตุนหวงแห่งนี้ ทว่าในยามนี้เที่ยวบินจากปักกิ่งมายังเมืองตุนหวงกำลังเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น
“คุณคะ! คุณผู้หญิงคะ! ตื่นเถอะค่ะเครื่องลงจอดนานแล้วนะคะ”เสียงของแอร์โอสเตสสาวกำลังปลุกหญิงสาวหน้าตาคมเฉี่ยวอย่างร้ายกาจ ที่กำลังหลับใหลสนิทโดยไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงพูดคุยของผู้คน
หญิงสาวเจ้าของใบหน้าคม สวยเฉี่ยวและแฝงเร้นความเซ็กซี่ตามแบบฉบับของผู้หญิงยุคใหม่ ด้วยเชื้อสายผสมที่มีหลายชาติพันธุ์ของหญิงสาว ผิวเนื้อขาวนวลเนียนซึ่งได้รับมาจากผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นชาวจีนที่มีถิ่นกำเนิดมาจากเมืองลั่วหยาง และใบหน้าสวยคม ดวงตาสีดำกลมโต ใสราวดั่งกระจกแวววาวระยิบระยับ ได้รับมาจากคนเป็นแม่ซึ่งเป็นลูกครึ่งจีนตรุกี
และนั่นทำให้หญิงสาวผู้มีเลือดผสมดังกล่าว จึงมีความงดงามที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ขาวผ่องนวลเนียนไปทั่วเรือนกาย สวยคมคายเต็มไปด้วยความเร่าร้อนไปทั่วทุกอณูเจ้าของนามว่า หลิงลี่ย่า ชื่อและแซ่ของหญิงสาวในฐานะพลเมืองชาวจีน หรือลี่ย่าชื่อเล่นที่เพื่อนๆ ต่างพากันเรียกขาน
หญิงสาวในวัยยี่สิบสองปี สาวสวยเต็มไปด้วยเสน่ห์รัญจวนใจซึ่งมาจากความงดงามของสายเลือดผสมที่ไหลเวียนอยู่ภายในกายของเธอ หลิงลี่ย่าว่าที่คุณหมอคนสวย กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยซิงหัว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของจีน
คณะแพทยศาสตร์ของที่นี่นั้นถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 41 ของโลก จาก U.S. News & World Report 2010 หลักสูตรปริญญาตรีนั้นมี 3 หลักสูตรได้แก่ Clinical Medicine, Pharmaceutical Science, และ Biomedical Engineering ซึ่งในส่วนของวิศวกรรมชีวการแพทย์นั้น มีการสร้างศูนย์วิจัยด้านวิศวกรรมระบบประสาทขึ้นโดยเฉพาะด้วย นอกจากนี้ยังมีหลักสูตร 4 ปีร่วมกับ Yale University เพื่อสร้างบุคลากรสตรีในวงการการแพทย์จีนให้มากขึ้น สำหรับการเรียนหลักสูตรแพทยศาสตร์ปกตินั้นใช้เวลาศึกษา 8 ปี ซึ่งจะได้รับปริญญาเอกออกมาด้วยพร้อมกัน
หลิงลี่ย่าเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่เจ็ด เทียบเท่าหลักสูตรปริญญาเอกทางการแพทย์ หญิงสาวเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มีอายุน้อย ด้วยเพราะเธอเรียนหนังสือเก่งมาตั้งแต่เด็ก จบมัธยมปลายตั้งแต่อายุยังไม่เต็มสิบหกปีเสียด้วยซ้ำ คะแนนของเธอสูงสุดในชั้นเรียนและเหนือกว่าทุกโรงเรียนในระดับมัธยมปลาย ลี่ย่ามีความสามารถสอบชิงทุนเข้าเรียนคณะแพทย์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศด้วยคะแนนที่สูงลิบ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หญิงสาวเข้าเรียนในคณะแพทย์ด้วยวัยเพียงสิบหกปีเท่านั้น จวบจนกระทั่งเธอได้ก้าวขึ้นเป็นนักศึกษาแพทย์ในช่วงสองปีสุดท้าย ซึ่งหลังจากจบออกมาจะได้รับปริญญาเอกมาด้วยพร้อมกัน และนักศึกษาแพทย์ในช่วงชั้นปีที่เจ็ดและแปดจะเป็นหลักสูตรของการฝึกภาคสนามโดยจะต้องรักษาคนไข้ตามโรงพยาบาลที่ถูกกำหนดให้ส่งตัวไปรับการฝึกฝนจนครบระยะเวลาในสายที่เป็นวิชาเอกของนักศึกษาแพทย์แต่ละคน
ในเวลานี้ลี่ย่าใช้เวลาช่วงที่ว่างเพียงแค่สองสัปดาห์เดินทางมาเที่ยวพักผ่อน หลังจากที่เธอต้องคร่ำเคร่งอยู่กับการออกตรวจคนไข้ในโรงพยาบาลที่เมืองลั่วหยางเป็นเวลานานกว่าหกเดือน และกำลังจะเข้าประจำฝึกงานภาคสนามในโรงพยาบาลของรัฐบาลที่กวางโจว
ด้วยเหตุนี้ลี่ย่าจึงแพคกระเป๋าเดินทางมาท่องเที่ยวในยามว่างเพื่อผ่อนคลายความเครียด ก่อนจะต้องกลับไปตรวจรักษาคนไข้ต่อไป และหญิงสาวเลือกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่เมืองตุนหวง ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า อยากเห็นทะเลสาบพระจันทร์และทะเลทรายของจริงตามเสียงที่เล่าลือกันว่าร้อนระอุยิ่งกว่าเตาไมโครเวฟเสียอีก
และอีกหนึ่งเหตุผลนั่นก็คือพี่ชายคนที่สามของเธอมีกิจการโรงแรมที่เมืองตุนหวง มิหนำซ้ำพี่สามของหญิงสาวแต่งงานกับพี่สะใภ้ซึ่งเป็นชาวเมืองตุนหวง ด้วยเหตุนี้เองนอกจากจะได้ท่องเที่ยวแล้ว ที่พักและอาหารยังไม่ต้องจ่ายเงินอีกด้วย ประหยัดค่าใช้จ่ายของเธออย่างยิ่งยวด
ทว่าในเวลานี้ลี่ย่ากลับตกอยู่ในห้วงแห่งการหลับใหล หญิงสาวไม่ล่วงรู้ตัวเลยว่าได้ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรและไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาโดยง่ายเสียด้วย
พรึบ!!!! เปลือกตาที่ปิดสนิทเมื่อครู่เปิดขึ้นมาโดยพลัน ดวงตากลมโตดำใหญ่เป็นประกายวาววับงดงามเริ่มกลอกกลิ้งไปมา พร้อมภาพเหตุการณ์ประหลาดที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาในความคิดราวกับว่ากำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าและเพิ่งผ่านพ้นไปดับวูบลงไปทันทีเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น ในขณะที่มือของเธอนั้นกำลังกำหยกสีขาวเอาไว้จนแน่นอยู่ตลอดเวลา
หลิงลี่ย่ามองหน้าพนักงานต้อนรับที่เข้ามาปลุกเธอให้ตื่นอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเหลือบสายตามองผู้โดยสารคนอื่นๆ กำลังทยอยเดินออกจากตัวเครื่องบิน
“ถึงตุนหวงแล้วเหรอคะ”หญิงสาวถามกลับไปทันใด
“ถึงนานแล้วค่ะ เมืองตุนหวงยินดีต้อนรับนะคะ”พนักงานต้อนรับกล่าวพร้อมส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป
และนั่นทำให้หญิงสาวรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเบาะนั่งด้วยความรวดเร็ว สองมือตรงเข้าฉวยสัมภาระที่วางอยู่บนเบาะรีบก้าวเดินออกจากตัวเครื่องไปเป็นคนสุดท้ายอย่างรีบเร่ง
โรงแรมตุนหวง บูทิคโฮเทล
ภายในห้องพักผู้จัดการ
“พี่สามว่าอย่างไงนะ!!!”หลิงลี่ย่าร้องถามเสียงสูงครั้นเมื่อเธอได้ยินพี่ชายบอกอะไรบางอย่างกลับมา
“แกได้ยินไม่ผิดหรอกเจ้าห้า สิ่งที่บอกออกไปเมื่อกี้เป็นความจริง ในเมื่อแกต้องการจะอยู่ฟรี กินฟรีและจะเที่ยวฟรีแล้วละก็ เพราะฉะนั้นแกก็จะต้องทำงานแลกมันถึงจะถูกมาเอาเปรียบพี่ชายของแกคนนี้ได้อย่างไงกัน”หลิงฉางอี้บอกน้องสาวของเขากลับไป
และนั่นทำให้ลี่ย่าแสดงท่าทางระทดระทวยพาลจะเป็นลมเสียให้ได้ ก่อนจะหันไปมองทางพี่สะใภ้ซึ่งกำลังตั้งครรภ์แก่จวนเจียนใกล้คลอด และสัปดาห์หน้าก็ครบกำหนดคลอดแล้ว
“พี่สะใภ้ช่วยลี่ย่าด้วย พี่สามใจร้ายกับหนูมากเลย อุตส่าห์หนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่เพื่อมาเที่ยวคลายเครียดและดื่มด่ำกับธรรมชาติแต่พี่สามก็ยังจะให้หนูทำงานอีก น้องทั้งคนเลี้ยงไม่ได้หรืออย่างไง หนูจะกินเปลืองสักเท่าไรเชียว พี่สะใภ้ช่วยพูดให้ลี่ย่าหน่อยสิคะ...นะนะนะนะ”หญิงสาวพูดพร้อมโผเข้ากอดพี่สะใภ้ของเธอ ซึ่งกำลังนั่งหัวเราะคิกคักกับเงื่อนไขของสามี
“ลี่ย่าควรจะยอมพี่สามนะเพราะว่าหลังจากครบกำหนดวันหยุดพักผ่อนแล้ว พี่ชายของเธอตั้งใจจะให้เงินค่าแรงเอาไปใช้จ่ายในระหว่างไปออกฝึกภาคสนามที่กวางโจว ได้ยินมาว่าจะให้ตั้งสามหมื่นหยวนเลยเชียวนะ”สิ้นเสียงของพี่สะใภ้สาม
“หา!!!!..สามหมื่นหยวนเลยเชียวเหรอ”หญิงสาวอุทานจนเสียงหลงพร้อมกระเด้งตัวลุกจากเก้าอี้ตรงเข้าไปหาพี่ชายที่กำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“พี่สามให้ค่าแรงหนูมากขนาดนั้น บอกมาเลยค่ะว่าให้หนูทำงานอะไร ลี่ย่าจะทำงานให้สมกับค่าแรงของพี่สามได้อย่างแน่นอน”หญิงสาวบอกกลับไปเสียงหนักแน่น
ท่ามกลางรอยยิ้มของพี่ชายและพี่สะใภ้ครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกเจ้าห้า งานของแกก็คือมาดูแลโรงแรมนี้แทนพี่ชั่วคราวเพราะอีกสองสามวัน พี่สะใภ้ของแกก็จะต้องไปนอนโรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวผ่าคลอดหลานของแกตามฤกษ์ยามที่ซินแสท่านให้มา”สิ้นเสียงของหลิงฉางอี้
“อะไรนะ!!!!”หญิงสาวอุทานเสียงสูงขึ้นมาอีกครั้งทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“พี่สามลี่ย่าเรียนหมอมานะ ไม่ได้เรียนรู้การบริหารโรงแรมมานะเฮีย จะให้มานั่งบริหารโรงแรมของเฮียที่มีมากตั้งร้อยกว่าห้องแบบนี้ คิดดีแล้วเหรอ เกิดหนูทำขาดทุนขึ้นมาจะทำอย่างไง”หญิงสาวถามกลับไป
“ไม่เป็นไรพี่ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว สำหรับความเสียหายและผลตอบรับคือการขาดทุนมากกว่าจะได้กำไร แต่ก็ไม่มีใครที่พี่จะสามารถไว้ใจได้นอกจากแกเท่านั้นนะเจ้าห้า”หลิงฉางอี้บอกน้องสาวกลับไป
“โอโห่!!! พี่สามพูดแบบนี้เล่นเอาหนูจุกไปเลย เอาเถอะ! เอาเถอะ! มันจะสักแค่ไหนกันเชียวกับการนั่งบริหารโรงแรม เรียนหมอยังยากกว่านี้อีก”หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือขึ้นจับแผ่นหยกที่มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ด้วยความลืมตัวท่ามกลางสายตาของพี่ชายและพี่สะใภ้
“เอาสร้อยหยกของใครมาใส่อย่างนั้นเหรอเจ้าห้า”ฉางอี้ถามน้องสาวด้วยความอยากรู้
และนั่นทำให้เจ้าตัวซึ่งกำลังใช้มือคลึงแผ่นหยกที่กำลังสวมอยู่บนคอดังกล่าวไปมาอยู่ในเวลานั้นรู้สึกตัวขึ้นมาทันใด ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าหญิงสาวเก็บสร้อยหยกได้บนเครื่องบินโดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
“ตายแล้ว!หลงลืมเรื่องสร้อยหยกเส้นนี้ไปเสียสนิทเลยแทนที่จะเอาไปให้ตำรวจดันใส่ติดคออยู่ได้จนมาถึงที่นี่”
หญิงสาวพูดพลางรีบใช้สองมือถอดสร้อยดังกล่าวออกจากคอแต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ถอดออกไม่ได้ ท่ามกลางสายตาของพี่ชายและพี่สะใภ้ครั้นเห็นท่าทีดังกล่าว ทั้งสองต่างพากันสงสัยไปตามๆ กัน
“จะถอดออกมาทำไมเจ้าห้า! พี่เห็นแกพยายามจะเอาสร้อยที่สวมอยู่ในคอออกให้ได้เลยนะ แต่รู้อะไรไหมสร้อยหยกที่สวมติดคอในระดับนี้และไม่มีตะขอสร้อยเชื่อมต่อด้วยละก็ ร้อยทั้งร้อยถอดออกจากคอไม่ได้หรอก นอกจากจะกระชากให้สร้อยขาดออกจากคอเท่านั้น”ฉางอี้บอกกลับไป
และนั่นทำให้ลี่ย่าชะงักงันไปทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ต้องกระชากสร้อยให้ขาดเพียงอย่างเดียวนั้นเหรอจึงจะถอดออกได้”หญิงสาวยืนครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เอาวะดึงให้ขาดก่อนก็แล้วกัน หลังจากนั้นค่อยจ้างให้ร้านทำเครื่องประดับทำขึ้นมาใหม่ให้ก็ได้”สิ้นเสียงของหญิงสาว นิ้วเรียวยาวดั่งลำเทียนตรงเข้ากระชากสร้อยหยกออกจากลำคอขาวผ่องของเธออย่างแรง
อึ้บ!!!! หลิงลี่ย่าออกแรงดึงจนสุดกำลังแต่ผลที่เธอได้รับกลับมานั้น สร้อยหยกเส้นดังกล่าวยังคงอยู่บนคอของเธอตามเดิมไม่ยอมขาดออกจากกันแต่อย่างใด
“เหลือเชื่อแฮะ”ฉางอี้พูดออกมาทันทีครั้นเห็นเช่นนั้น
ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มในวัย 32 ปี เดินตรงเข้าไปหาน้องสาวพร้อมเอื้อมมือจับสร้อยหยกที่อยู่บนคอของลี่ย่าพร้อมเอ่ยขึ้น
“พี่ขอลองดึงดูบ้างนะเจ้าห้า ได้เรื่องอย่างไงเดี๋ยวจะให้คำตอบ”ฉางอี้บอกคนเป็นน้องพร้อมเสียงของน้องสาวเอ่ยสวนกลับขึ้นมาทันที
“รีบๆ เอามันออกจากคอโดยด่วนเลยพี่สาม สร้อยอะไรก็ไม่รู้ถอดออกยากชะมัด ทำราวกับว่าต้องการจะสิงร่างหนูอย่างไงอย่างนั้นเลยนะ ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ไม่ได้ผล”หญิงสาวบอกคนเป็นพี่พร้อมก้มลงมองมาที่มือของฉางอี้ที่กำลังขยับสร้อยหยกไปมาเพื่อหาจังหวะก่อนจะกระชากออกมาจนสุดแรง
อึ้บ!!!! ทว่าผลที่ได้รับก็คือสร้อยยังคงอยู่ดีมีสุขไม่สามารถถอดออกหรือกระชากออกจากคอของลี่ย่าได้แต่อย่างใดเช่นเดิม นำพาความแปลกใจให้กับพี่ชายและพี่สะใภ้รวมไปถึงลี่ย่าด้วยเช่นกัน ก่อนจะได้ยินเสียงของพี่สะใภ้สามเอ่ยขึ้น
“สร้อยเลือกเจ้าของแล้ว เลิกล้มที่จะเอาเขาออกเถอะเพราะว่าน้องห้าเป็นเจ้าของสร้อยหยกเส้นนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะถอดออกแต่อย่างใด”
สองพี่น้องหยุดชะงักไปทันใดเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ต่างพากันก้มลงมองสร้อยหยกตรงหน้าตาไม่กะพริบพร้อมเสียงของหลิงลี่ย่าเอ่ยขึ้น
“มันจะเป็นไปได้เหรอพี่สะใภ้ที่สร้อยสามารถจะเลือกเจ้าของได้ หนูยังไม่รู้เลยว่าสร้อยเส้นนี้มาได้อย่างไง จู่ๆก็มาห้อยคล้องอยู่บนกระเป๋าโน๊ตบุ้คของหนู”หญิงสาวบอกกลับไป
ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เธอได้สร้อยเส้นนี้มาให้พี่ชายและพี่สะใภ้ฟังอย่างไม่ปิดบังและจบลงพร้อมเสียงของพี่สะใภ้เอ่ยขึ้น
“สร้อยเส้นนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวพันกับลี่ย่าอย่างแน่นอน ที่มาที่ไปเท่าที่ฟังมาช่างแปลกประหลาดมากคิดว่าจะต้องมีสิ่งลี้ลับบางอย่างทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ส่วนสร้อยจะส่งผลอะไรกับตัวเรามีเพียงลี่ย่าเท่านั้นที่จะล่วงรู้คนอื่นไม่มีทางได้พบเรื่องราวประหลาดแบบนี้หรอก”
คำกล่าวของพี่สะใภ้สามทำให้หลิงลี่ย่าขมวดคิ้วสวยเข้าหากันด้วยความแปลกใจระคนสงสัยกับสิ่งที่ได้ยิน
“ทำไมพี่สะใภ้จึงได้มั่นใจว่า สร้อยเส้นนี้จะต้องเกิดมาจากอำนาจลึกลับด้วยละคะ นี่มันเข้ายุคสมัยไหนแล้วพี่สะใภ้ อีกอย่างเรื่องแบบนี้ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วย”หญิงสาวพูดแย้งกลับไปด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง
“ที่พี่กล้าพูดออกมาแบบนั้น นั่นก็เพราะอาชีพการเป็นนักโบราณคดี และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดก่อนจะแต่งงานกับพี่สามของลี่ย่าและลาออกมาเป็นเจ้าของโรงแรมอยู่ในเวลานี้ไงที่บอกกับพี่ ความรู้สึกและสัญชาติญาณบางอย่างบอกกับพี่แบบนั้น หรือว่าเราจะแย้งก็ได้นะ ว่านับตั้งแต่ได้สร้อยเส้นนี้มามีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น มีเพียงลี่ย่าเท่านั้นแหละที่ล่วงรู้ดีกว่าทุกคน”
คำกล่าวของพี่สะใภ้สามถูกต้องตรงเผง ว่านับตั้งแต่เธอได้สร้อยเส้นนี้มา จู่ๆ หญิงสาวก็เห็นเหตุการณ์ประหลาดบางอย่างขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ช่างแลดูเหมือนจริงมากกว่าความฝัน ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปในสิ่งที่เธออยากรู้
“แล้วลี่ย่าจะหาทางป้องกันอย่างไงดีคะพี่สะใภ้ ยิ่งสร้อยเส้นนี้ถอดไม่ออกจากคอแบบนี้ด้วย เกิดมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับหนูขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไง”หญิงสาวเอ่ยถามในสิ่งที่เธอเริ่มเป็นกังวล
“ไม่ต้องกลัวลี่ยา พี่สะใภ้สัมผัสได้ว่าอำนาจลึกลับที่เกิดขึ้นเขาเป็นสายขาว ไม่ใช่อำนาจมืดในทางชั่วร้าย แล้วถ้าเกิดมีเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้น ขอเพียงแค่มีสติทุกอย่างก็เอาอยู่หมดเชื่อพี่สิ”
หญิงสาวได้แต่ส่งยิ้มแยกเขี้ยวกลับไปครั้นได้ยินพี่สะใภ้ของเธอบอกกลับมาเช่นนั้น
“จะมีสติหรือจะหลุดเรื่องนี้คงต้องลุ้นกันต่อไปแล้วละพี่สะใภ้”หลิงลี่ย่าบ่นพึมพำพลางถอนหายใจออกมา
ร่างระหงล้มตัวลงไปนอนแผ่หราบนโซฟาตัวใหญ่ที่ตั้งไว้รับรองแขกภายในห้องทำงาน ท่ามกลางสายตาของพี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอต่างพากันส่ายหน้าไปมาด้วยความระอาในพฤติกรรมของน้องคนสุดท้อง ที่ยังมีนิสัยกระโดกกระเดกแก้ไม่หายเสียทีเลยสินะ