หลังจากที่โจวเจินเจินขอร้องบิดาให้ตามหาบ่าวทั้งสองของฉินเซี่ยหรู ผ่านไปไม่กี่วันนางก็ได้รับข่าวดี ใต้เท้าโจวก็ได้ซื้อบ่าวทั้งสองกลับมาที่จวนสกุลโจวและยกให้คอยช่วยดูแลเรือนของโจวเจินเจิน ทั้งหุ้ยเจินและชีโยวต่างรู้สึกซาบซึ้งที่ได้มีโอกาสกลับมายังเมืองฮวาหลานและได้มาอยู่กับคุณหนูรอง แม้จะสิ้นคุณหนูใหญ่ของพวกนางไปแล้วก็ตาม
“ข้ารู้สึกดีใจที่ยังเห็นพวกเจ้าสบายดีนะชีโยว หุ้ยเจิน” เสียงเล็กเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาพลางมองไปยังสองสาวรับใช้ที่กำลังปัดกวาดเช็ดถูเรือนนอนของนาง
‘หากข้าพบคนที่เหมาะสมกับพวกเจ้า ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลองคบหากันแล้วแต่งงานออกไปดีๆ ให้สมกับที่พวกเจ้าดูแลข้าในชาติภพก่อนมาเป็นอย่างดี’ แม้อดีตจะเคยเป็นนายเป็นบ่าวกัน ชาติภพนี้นางจะปลดปล่อยบ่าวที่มีความภักดีต่อนางทั้งสองให้เป็นอิสระเอง
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่ให้มาเชิญท่านไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” สาวรับใช้ของเรือนใหญ่ที่เข้ามาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“จ้ะ…อีกหนึ่งเค่อเดี๋ยวข้าจะตามไป ฝากเรียนท่านแม่ด้วย” คุณหนูใหญ่ตอบกลับไป
“อี้ถง…มาหวีผมแล้วก็มัดผมให้ข้าแบบง่ายๆ ทีเถิด” เพราะยามนี้นางปล่อยผมที่ยาวสลวยสยายไปกลางหลัง
“เจ้าค่ะคุณหนู”
อี้ถงละมือจากการเก็บที่นอนของคุณหนูแล้วหยิบหวีมาหวีผมให้แก่คุณหนูทันที และในหนึ่งเค่อโจวเจินเจินก็เดินไปถึงเรือนใหญ่ ที่ซึ่งมีบิดามารดาและน้องชายพักอยู่
ร่างเล็กของเด็กหญิงในชุดฮั่นฝูสีชมพูอ่อนเยื้องย่างเข้ามาภายในเรือนใหญ่ ยามนี้ในเรือนใหญ่มีภรรยารองรวมไปถึงบุตรชายและบุตรีของใต้เท้าโจวอยู่ด้วย เด็กทั้งสองอายุน้อยกว่าน้องชายของโจวเจินเจินจึงถือว่าเป็นน้องของโจวเจินเจินอีกสองคน
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่รองเจ้าค่ะ” เพราะฮูหยินรองนั้นเป็นสตรีที่งดงาม จิตใจดีและอ่อนน้อมถ่อมตน นางนั้นแตกต่างจากภรรยารองของหวงจิงอวี่อดีตสามีของฉินเซี่ยหรูจึงทำให้เรือนหลังของใต้เท้าโจวสงบสุข
“ตามสบายเถิดลูก” ใต้เท้าโจวกล่าวออกมา โจวเจินเจินจึงเดินไปนั่งประจำที่นั่งของตน
“สาวรับใช้สองคนของท่านป้าเจ้าเป็นเช่นไรบ้างล่ะ พวกนางทำงานดีใช่หรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรี
“พี่สองคนทำงานดีเจ้าค่ะ สมแล้วที่เคยรับใช้ท่านป้าจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
“พวกนางคงมิได้เล่าเรื่องอันใดให้เจ้าฟังจนมิสบายใจใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ฉินเซี่ยหรงเป็นฝ่ายถามบุตรีบ้าง
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ลูกยินดีที่จะรับพี่ทั้งสองคนมาคอยไว้รับใช้ลูกที่เรือน ขอบพระคุณในความกรุณาของท่านพ่อกับท่านแม่เจ้าค่ะ” โจวเจินเจินยิ้มแล้วตอบออกมา
“ดีแล้วล่ะ…ถ้าเช่นนั้นเมื่อมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วก็ลงมือกินอาหารกันได้แล้ว พ่อมีงานต้องไปทำ”
ใต้เท้าโจวเอ่ยจบทุกคนจึงลงมือกินอาหารเช้าร่วมกัน โจวเจินเจินลอบสังเกตฮูหยินรองก็ได้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นถ่อมตน มิได้ทำตัวเหนือกว่าภรรยาเอก อีกทั้งดูฉินเซี่ยหรงก็เอ็นดูฮูหยินรองด้วย มิตรภาพของเรือนหลังที่พบได้ไม่มาก คงจะมีแค่ที่จวนสกุลโจวนี่แหละ
“คุณหนูไปเดินเล่นก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” อี้ถงเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าสีหน้าของคุณหนูนั้นดูเศร้าหมองลงหลังจากกลับออกจากเรือนใหญ่มา
“อือ…ไปเดินในสวนดอกไม้หลังจวนก็ดีเหมือนกัน”
รุ่งเช้าของวันใหม่เสียงเหล่าหมู่มวลวิหคที่ผกผินออกหากินในยามเช้าตรู่ กับเสียงตีฆ้องร้องบอกชั่วยามและฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน หนึ่งปีแล้วกับการจากไปของคุณหนูใหญ่สกุลฉินและโจวเจินเจินที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ หนึ่งปีแล้วกับการเกิดใหม่ของฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจิน หลานสาวอันเป็นที่รักของนาง ชีวิตใหม่ในร่างใหม่นี้ทำให้นางได้มีโอกาสที่จะเดินไปบนเส้นทางเดินใหม่
“คุณหนู…ตื่นหรือยังเจ้าคะ วันนี้คุณหนูต้องไปสำนักศึกษานะเจ้าคะ” เพราะสำนักศึกษาปิดช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา
“อือ…ตื่นแล้ว เตรียมน้ำเสร็จหรือยัง ข้าจะอาบน้ำก่อน" เสียงเล็กของเด็กหญิงวัยแปดปีขานรับก่อนที่จะเอ่ยถามสาวรับใช้คนสนิท
“เตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจะสระผมหรือไม่เจ้าคะ” อี้ถงตอบด้วยน้ำเสียงสดใส นางภูมิใจที่คุณหนูใหญ่ของนางสอบผ่านได้ลำดับที่หนึ่งในปีที่ผ่านมา
“อืม…ก็ดีเหมือนกัน รู้สึกว่าผมของข้าเริ่มจะเหนียวแล้วด้วย”
เจ้าของร่างเล็กที่ปล่อยผมยาวสลวยเยื้องย่างเข้าไปในห้องอาบน้ำที่มีถังน้ำแบบยาวตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ไอน้ำลอยขึ้นจากความอุ่นของน้ำ ผ้าคลุมถูกปลดออกจากร่างเล็กของนางแล้วตัวนางก็ลงไปนอนอยู่ในอ่าง อี้ถงจัดการตักน้ำในถังราดลงบนศีรษะของคุณหนูใหญ่อย่างระมัดระวัง
“ขอบใจนะอี้ถงที่ดูแลข้าเป็นอย่างดี” สาวรับใช้ถึงกับชะงักมือก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“ก็เพราะนี่เป็นหน้าที่ที่ข้าต้องทำนี่เจ้าคะ และที่สำคัญข้าก็ทำด้วยความเต็มใจ” คนที่กำลังเพลิดเพลินกับการผมให้แก่คุณหนูเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
หลังจากที่อาบน้ำแต่งกายเสร็จเรียบร้อย คุณหนูใหญ่สกุลโจวก็ไปร่วมกินมื้อเช้ากับท่านย่าและบิดามารดา รวมไปถึงน้องชายที่เรือนก่อนที่นางจะออกไปสำนักศึกษา
“เจินเอ๋อร์…เดี๋ยวแม่จะไปส่งเจ้าที่สำนักศึกษาด้วย แม่ว่าจะพาน้องชายของเจ้าแวะไปเยี่ยมท่านยายเสียหน่อย นี่ก็นานแล้วที่ท่านกลับมาอยู่ที่จวน" หนึ่งปีที่ผ่านมาแม้โจวเจินเจินจะกลับมาแข็งแรงแต่คนเป็นแม่ก็ยังมิเคยวางใจ นางคอยดูแลโจวเจินเจินอย่างห่างๆ
“เจ้าค่ะท่านแม่” หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จฮูหยินสกุลโจวจึงเดินทางไปส่งบุตรีที่สำนักศึกษาแล้วจึงไปเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลฉิน
สำนักศึกษาหลุนซี
รถม้าจวนสกุลโจวหยุดลงที่หน้าสำนักศึกษาหลุนซี ปีนี้เป็นปีที่สองแล้วที่โจวเจินเจินได้มาศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงของเมืองฮวาหลานแห่งนี้ ความงามที่เฉิดฉายทั้งที่อยู่ในวัยเยาว์เป็นที่เลื่องลือออกไป แต่ก็มีบางคนขนานนามของเด็กหญิงว่าเป็นสตรีไร้ใจ เพราะนางจะไม่ผูกมิตรกับบุรษใดที่เป็นฝ่ายเข้ามาหานางก่อนเลย
“เจินเจิน…”
เสียงเล็กของสหายสนิททั้งสองขานนามของโจวเจินเจินขึ้น เด็กหญิงมีสหายเป็นเพราะได้มาที่สำนักศึกษา ความเก่งของนางทำให้มีทั้งมิตรแท้และมิตรที่หวังเพียงผลประโยชน์เข้ามาคบหา แต่เวลาก็คัดสรรคนไม่ดีออกไปจนเหลือเพียงบุตรีจากจวนสกุลกวง และบุตรีจากจวนสกุลฟาง
“ดีใจยิ่งนักที่วันนี้พวกเจ้าก็มาแต่เช้าเช่นกัน” กวงหลินเยว่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
“อื้อ…เจินเจิน หลินเยว่ ข้าเอาขนมที่ท่านแม่ทำมาให้พวกเจ้าได้ลองชิมกันด้วย” มารดาของฟางจูหลินนั้นทำขนมอร่อยเรื่องนี้เด็กหญิงทั้งสองรู้ดี จึงมิมีผู้ใดปฏิเสธน้ำใจของสหายที่น่ารัก
“ขอบใจนะจูหลิน เจ้านี่มักจะมีน้ำใจให้พวกข้าเสมอเลย”
โจวเจินเจินมีความสุขที่ได้คบหากับมิตรที่ดี ปีที่ผ่านมานางได้เรียนรู้จิตใจคน และเวลาก็ช่วยคัดคนให้แก่นางได้จริงๆ รวมไปถึงเวลาก็ช่วยบั่นทอนความเจ็บปวดจากเรื่องราวในอดีตชาติของนางให้ลดน้อยลงไปบ้าง
“ก็พวกเจ้าทั้งสองเป็นสหายที่ข้ามีนี่นา”
คุณหนูสกุลฟางยิ้มแย้ม เด็กหญิงทั้งสามคบหากันด้วยความจริงใจ โจวเจินเจินที่มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่กว่าผู้ใดในกลุ่ม ฟางจูหลินเปรียบดังน้องเล็กที่มักจะมองโลกในแง่ดีเสมอ ส่วนกวงหลินเยว่นั้นเป็นเด็กหญิงที่มีนิสัยห้าวหาญ ชอบพูดจาโผงผาง แม้นว่าทั้งสามคนจะมีบุคลิกที่แตกต่างกัน แต่ก็คบหากันได้อย่างราบรื่น