ตอนที่ 1 การเริ่มต้นใหม่...กับชีวิตใหม่
ยามชวีในเหมันตฤดู ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบที่นอนหลับไม่ได้สติมานานถึงสามคืนเริ่มขยับกายไปมาบนเตียงนอนไม้ขนาดกว้าง ผ้าแพรสีขาวปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเอื่อยๆ ข้างเตียงมีสตรีที่มีใบหน้างดงามแต่ทว่ากลับฉายแววถึงความกังวลออกมา นางกำลังนั่งรอคอยให้เจ้าของร่างเล็กที่นอนหลับไปนานเกือบสามคืนตื่นมาพูดคุยกับนางเช่นแต่ก่อน เด็กหญิงผิวขาวแต่ทว่ามีดวงหน้าซีดเซียวเริ่มขยับปาก
“น้ำ…ข้าหิวน้ำ” เปลือกตาของนางค่อยๆ เปิดก่อนที่เสียงเล็กแหบแห้งจะดังขึ้นมา
“เจินเจิน… เจ้าตื่นแล้วหรือลูก” น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เจ้าของร่างเล็กหันไปมอง
“น้องหญิงรอง…” คนที่เพิ่งจะรู้สึกตัวเปล่งเสียงออกมาจากริมฝีปากเล็กแต่คนที่ได้ยินเช่นนั้นกลับแสดงสีหน้างุนงงออกมา
"เจ้าเรียกแม่ว่าเช่นไรนะเจินเอ๋อร์ นี่แม่ของเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าร้องเรียกผู้ใดกัน” ร่างเล็กตาเบิกโพลงพลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะสำรวจไปรอบๆ
“ข่ะ…ขอกระจกให้ข้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อบุตรีเอ่ยปากขอออกมา โจวฮูหยินหรือฉินเซี่ยหรงจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลโจวเจินเจิน บุตรีคนโตของนางให้นำกระจกที่อยู่ข้างเตียงมาส่งให้ มือเล็กรับมาก่อนที่จะค่อยๆ ยกกระจกขึ้นมาส่อง นางจดจ้องคนในกระจกก่อนที่จะหันไปมองหน้าน้องสาวคนรองของตน
‘แย่แล้ว… เหตุใดข้าถึงมาอยู่ในร่างของหลานสาวของข้าได้ แล้วร่างกายของข้าเล่า ยามนี้คือความฝันหรือความจริงกันแน่’
คนที่เพิ่งได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งคิดในใจก่อนที่จะยกกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าเล็กอีกครา มือเล็กก็ยกขึ้นมาลูบหน้าจนคนที่มองมามีแต่ความงุนงง
“พวกเจ้า… มีผู้ใดไปตามท่านหมอมาหรือยัง” เสียงหวานรีบเอ่ยถามบ่าวในเรือนทันที
“อาอวี้ไปตามแล้วเจ้าค่ะนายหญิงใหญ่” บ่าวรับใช้คนสนิทของคุณหนูใหญ่ตอบออกมาพลางมองไปที่ร่างเล็กที่กำลังส่องกระจกอยู่ด้วยแววตาตื้นตัน
“ดะ…เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ…เอ่อ… ท่านป้าของลูกล่ะเจ้าคะ”
เสียงเล็กเปล่งออกมา ฉินเซี่ยหรูอยากจะแน่ใจว่านางมาเกิดใหม่ในร่างของหลานสาวจริงๆ มิใช่เพียงแค่สลับร่างกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ทุกข์ใจต่อไปก็คงจะเป็นหลานสาวของนางซึ่งนางมิได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ความทรงจำก่อนที่นางจะหมดลมหายใจช่างเลือนรางนัก นางจดจำชั่วยามนั้นมิได้ แต่นางกลับจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้ตั้งแต่ต้น เขาคนนั้น...ทำให้นางต้องกลายมาเป็นเช่นนี้
“เจินเอ๋อร์… ท่านป้าเซี่ยหรูของเจ้านางจากพวกเราไปเมื่อวันก่อนแล้วล่ะลูก” ฉินเซี่ยหรงตอบบุตรสาวออกมาทั้งน้ำตา
“จะ…จากไปแล้วเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” เสียงแหบเล็กเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“เจ้ามิต้องเสียใจไปหรอกหนา ท่านป้าของเจ้านางมิต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว"
ใบหน้าเล็กพยักขึ้นลงก่อนที่มารดาจะรวบตัวนางเข้าไปกอดเอาไว้ด้วยความห่วงใย น้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าเล็กอย่างมิอาจสะกดกลั้นเอาไว้ได้ ชีวิตของฉินเซี่ยหรูได้จบสิ้นไปแล้ว…
เสียงสะอื้นของบุตรสาวทำให้ฉินเซี่ยหรงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น นางรู้ดีว่าบุตรสาวของนางรักท่านป้าเซี่ยหรูที่แสนดีมากเพียงใด เพราะนางเองก็รักและสงสารพี่หญิงใหญ่ของนางมิต่างกัน เหตุใดสตรีที่งดงามและดีพร้อมเช่นนั้นถึงต้องกลายเป็นคนที่มิสมหวังในชีวิตคู่ แล้วมีจุดจบที่น่าเวทนาเช่นนั้นได้ หลังจากที่ฉินเซี่ยหรูจากโลกใบนี้ไป สกุลฉินและสกุลหวงก็แตกหักกันโดยสิ้นเชิง และมิมีวันจะญาติดีกันได้อีกเป็นอันขาด
เมื่อท่านหมอตู้เดินทางมาถึงเรือนขนาดกลางของบุตรีคนโตของจวนสกุลโจว เขาก็เริ่มลงมือตรวจชีพจรของคุณหนูใหญ่ทันที ชีพจรของนางทำให้ท่านหมอตู้รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เพราะว่าชีพจรของนางในยามนี้ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด ชีพจรของคุณหนูใหญ่สกุลโจวยามนี้เต้นเป็นปกติ แถมมีความหนักแน่นกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย เขาจึงตรวจนางอีกครั้งเพื่อความแน่ใจแล้วจึงหันไปรายงานกับฮูหยินใหญ่ของจวนสกุลโจวด้วยน้ำเสียงยินดี
“โจวฮูหยิน ข้าน้อยได้ทำการตรวจชีพจรของคุณหนูใหญ่ดูแล้ว ยามนี้นางดีขึ้นมากแล้วขอรับและที่สำคัญไปกว่านั้น นางดูเหมือนจะกลับมาแข็งแรงกว่าเมื่อก่อน ช่วงนี้ท่านให้บ่าวในเรือนนำเทียบยานี้ไปร้านหมอ หากได้ยามาแล้วให้นำมาต้มให้นางดื่มเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง พร้อมทั้งจัดหาอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาให้กับนาง ข้าน้อยขอรับรองว่าไม่เกินสองอาทิตย์ คุณหนูใหญ่จะกลายมาเป็นเด็กที่ร่าเริงและมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอย่างแน่นอนขอรับ”
“จริงๆ หรือท่านหมอตู้” โจวฮูหยินเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ
นางมิเคยคิดมาก่อนเลยว่าการที่บุตรสาวสลบไปถึงสามคืนนั้นพอนางตื่นขึ้นมาแล้วจะหายดี ก่อนหน้าที่โจวเจินเจินจะสลบไป นางออกไปเดินเล่นกับสาวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ดีที่ยามนั้นมิได้ล้มหัวฟาดพื้น หรือไปกระทบกับของแข็งเข้า แต่นางก็สลบไปถึงสามคืนโดยหาสาเหตุไม่ได้
“จริงๆ ขอรับ แต่สองสามวันนี้ต้องให้คุณหนูใหญ่ได้พักผ่อนและกินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มยาต้มที่ข้าน้อยเขียนให้ในใบเทียบยา จากนั้นค่อยๆ ฟื้นฟูพละกำลังของนางด้วยการพาเดินออกกำลังกายบ่อยๆ เดี๋ยวร่างกายที่เคยอ่อนแรงก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองขอรับ”
หมอตู้เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนที่จะขอตัวกลับโรงหมอของตน โจวฮูหยินจึงสั่งให้บ่าวในจวนพาท่านหมอตู้ขึ้นเกี้ยวของจวนไปส่งที่ร้านหมอของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็มิได้ปฏิเสธน้ำใจของโจวฮูหยินด้วยเห็นว่านางกำชับแล้วกำชับอีกให้เขากลับไปอย่างสบาย มิเช่นเหมือนตอนมาที่ถูกพาขึ้นหลังม้ามาอย่างมิทันได้เตรียมตัว
“เจินเอ๋อร์… เจ้าหิวหรือไม่ แม่จะให้คนนำโจ๊กข้าวมาให้เจ้า”
เด็กหญิงพยักหน้า ยามนี้ฉินเซี่ยหรูพอจะรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนแล้ว แม้จะมิอาจรู้ได้ว่าหลานสาวของนางสิ้นอายุขัยหรืออย่างไร แต่ในเมื่อนางมาอยู่ในร่างของหลานสาวที่นางรักแล้ว นางก็จะใช้ชีวิตให้ดีๆ และมิยอมตกเป็นทาสของคำว่ารักอีกเป็นอันขาด
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ… บ่าวตกใจแทบแย่ตอนที่คุณหนูใหญ่ทรุดไป ดีที่บ่าวประคองทัน มิเช่นนั้นบ่าวจะมิยอมให้อภัยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”
นัยน์ตากลมมองไปยังสาวรับใช้วัยสิบห้าของหลานสาวก่อนที่นางจะส่งยิ้มจางๆ ไปให้ นางผู้นี้ซื่อสัตย์และรักหลานสาวของนางอยู่ไม่น้อย เพราะเห็นหลานสาวของนางมาตั้งแต่เกิด
‘ต่อไปนี้เจ้ามาเป็นบ่าวคนสนิทของข้าก็แล้วกัน…อี้ถง’
ฉินเซี่ยหรูคิดในใจ จากนี้ต่อไปนางจะต้องกลายเป็นเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ มิใช่สตรีอายุยี่สิบสามที่เคยมีชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลวอีกแล้ว นางจะละทิ้งอดีตที่ทำให้นางเจ็บปวดและนางให้คำมั่นสัญญากับตนเองในร่างของหลานสาวเลยว่า นางจะมิยอมแต่งงานเพื่อให้นางต้องได้พบกับความเจ็บปวดอีกเป็นอันขาด…
หลังจากได้นอนพักอยู่สามวัน ร่างกายของคุณหนูใหญ่สกุลโจวก็แข็งแรงขึ้น เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบกลับมาสดใสมากกว่าเดิม ชีวิตวัยเด็กของฉินเซี่ยหรูนั้นแสนน่าเบื่อ นางต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สตรีต้องเรียนรู้ แต่พอได้กลับมาอยู่ในวัยนี้อีกครั้ง น้องสาวของนางกลับมิได้บังคับให้บุตรีต้องทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นเดียวกัน เรื่องนี้นางอดที่จะชื่นชมน้องสาวและน้องเขยมิได้ ที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองของนางด้วยความรักและความเข้าใจ มากกว่าการบังคับให้ทำในสิ่งที่พวกตนต้องการ
“โอ้..หลานย่า เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วสิท่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาววัยเจ็ดขวบที่เข้ามาคำนับนางถึงเรือนนอน พอได้สำรวจใบหน้าเล็กก็พอจะเดาออกว่าหลานสาวของนางมีอาการดีขึ้นมากแล้ว ดูจะสดใสมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
“หลานคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ… ยามนี้หลานแข็งแรงขึ้นมากแล้ว”
นางมิได้คุ้นชินกับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวแต่จากนี้ไปนางจะต้องทำความรู้จักทุกคนในจวนแห่งนี้ใหม่ เพราะว่านางมิใช่คนของเรือนนี้มาตั้งแต่เกิด มีเพียงน้องสาวอย่างฉินเซี่ยหรงเท่านั้นที่นางรู้จักอีกฝ่ายดีเพราะเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่มีอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี
“ดี…ดี… ไหนเข้ามาใกล้ๆ ย่าสิ” คนเป็นย่ากวักมือเรียกหลานสาวให้เข้ามาใกล้ ร่างเล็กจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้างๆ ท่านย่า
“อืม…. ดูหน้าตาสดใสขึ้นมากจริงๆ มาลูกมา มาชิมขนมกุ้ยฮวา ย่าเพิ่งจะลงมือทำก่อนหน้าที่เจ้าจะมาเพียงหนึ่งเค่อเอง ยังร้อนๆ อยู่เลย” นางสำรวจใบหน้าของหลานสาวก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมาแล้วเอ่ยชวนกินขนมตรงหน้าด้วยกัน
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านย่า” มือเล็กหยิบขนมขึ้นมากัดก่อนที่จะเคี้ยวแล้วกลืนลงคอไปอย่างเอร็ดอร่อย
คนเป็นย่าหัวเราะออกมาอย่างชอบใจที่เห็นว่าหลานสาวกินเก่งขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน เพียงเท่านี้ท่านก็มีความสุขมากแล้ว เพราะคนที่นางห่วงมากที่สุดในจวนก็คงจะเป็นหลานสาวคนโตของสกุลนี่แหละ ที่ร่างกายมิค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด แต่หลังจากสลบไปสามวันนางก็ตื่นมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรงขึ้นราวกับปาฏิหาริย์
“อี้ถง… ข้าอยากไปเดินเล่นรอบๆ จวนหน่อย เจ้าพาข้าไปได้หรือไม่” หลังจากนั่งเล่นอยู่ที่เรือนของท่านย่าครู่ใหญ่นางจึงขอตัวกลับเรือนของตน ซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าก็มิได้รั้งตัวหลานสาวเอาไว้แต่อย่างใด เพราะเห็นว่าหลานสาวคงอยากจะพักผ่อน
“เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่ แต่ถ้าเหนื่อยคุณหนูต้องนั่งพักก่อนนะเจ้าคะ”
อี้ถง สาวรับใช้ที่ดูแลโจวเจินเจินมาตั้งแต่ห้าขวบตอบออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น นางเข้าใจว่าคุณหนูใหญ่คงอยากจะเดินไปเยี่ยมชมสถานที่ในจวนแห่งนี้ เพราะตั้งแต่นางเติบโตมาจนอายุเจ็ดขวบ คุณหนูใหญ่ของนางก็อยู่แต่ในเรือนนอนเสียเป็นส่วนใหญ่
อี้ถงรู้เรื่องราวในจวนแห่งนี้เป็นอย่างดี ทำให้ฉินเซี่ยหรูรับรู้ว่าน้องสาวของนางมีความสุขกับครอบครัวที่นางเลือกเอง แตกต่างจากนางที่มีความทุกข์จนต้องตรอมใจตายก่อนวัยอันสมควร แต่เรื่องนี้นางมิได้โทษน้องสาว ที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะนางเลือกที่จะไม่ปฏิเสธ ยามเมื่อท่านพ่อท่านแม่หาคู่ที่เหมาะสมมาให้ นางตกลงปลงใจโดยคิดว่าอยู่ไปก็รักกันเอง แต่สุดท้ายมันก็มิได้เป็นอย่างที่นางคิด
จวนสกุลโจวมีอยู่ทั้งหมดสี่เรือน เรือนใหญ่เป็นของโจวถงกวงและฮูหยินเอกอย่างฉินเซี่ยหรง เรือนกลางเป็นของฮูหยินรองฉีจินเหยาที่อาศัยอยู่กับบุตรชายวัยห้าขวบโจวเชินและบุตรีคนเล็กโจวเจินหลิงวัยสามขวบ เรือนสามเป็นของฮูหยินผู้เฒ่า และเรือนสี่เป็นของโจวเจินเจินบุตรีของภรรยาเอก โดยโจวเจินเจินได้แยกออกมาอยู่เรือนนี้เมื่อหกเดือนก่อน เพราะเรือนนี้อยู่ใกล้กับลำธาร บิดาคิดว่าการที่บุตรีได้มาอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติจะทำให้สุขภาพร่างกายของนางแข็งแรงขึ้น แรกๆ ฉินเซี่ยหรงคัดค้านเพราะอยากให้บุตรสาวได้อยู่ใกล้ชิดกับนาง แต่พอได้ฟังความหวังดีของสามีจึงได้อนุญาตให้โจวเจินเจินย้ายมาอยู่ที่เรือนแห่งนี้เพราะสามีก็มิได้คิดจะรับอนุมาเพิ่มอีก
ฉินเซี่ยหรูใช้ชีวิตอยู่ในร่างของโจวเจินเจินได้อย่างราบรื่น นางแสร้งทำตัวเป็นเด็กให้สมกับวัย มิได้ทำตัวให้ดูเคร่งขรึมเช่นชาติภพก่อนที่ตนยังมีชีวิตอยู่ นางรู้ดีว่าชีวิตในชาติภพก่อนของนางนั้นแสนน่าเบื่อ วันๆ ทำแต่เย็บปักถักร้อย สนใจแต่การทำอาหารในครัวเพื่อเอาใจคนในตระกูลของสามี แต่ผลที่ได้รับคือทรยศหักหลัง และการไม่ให้เกียรติ ทั้งๆ ที่นางเป็นภรรยาเอกและสะใภ้เอก แม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็มิเคยได้รับความรักจากเขา หรือแม้แต่สัมผัสเขาก็นึกรังเกียจอย่างไร้เหตุผล ร่างเล็กเดินไปหยุดยืนมองสายน้ำที่ไหลผ่านไป
ความงดงามทางธรรมชาติทำให้ฉินเซี่ยหรูรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทว่าเมื่อความเงียบเข้ามาปกคลุมจิตใจยามใด ภาพในอดีตก็ไหลย้อนวนมาเป็นฉากๆ ให้นางได้เจ็บปวดอยู่เช่นเดิม เหตุใดท่านเทพช่างใจร้ายยิ่งนัก ทำให้นางลืมอดีตชาติไปเลยก็มิได้ นางไปทำกรรมทำเวรอันใดไว้กันหรือ ถึงแม้นางจะได้มาเกิดใหม่ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นที่เกิดมาอยู่บนโลกใบเดิม โลกที่มีแต่คนใจร้ายและเห็นแก่ตัวเช่นคนพวกนั้น เพียงแค่นึกไปถึงเรื่องราวในอดีต น้ำตาของนางก็ไหลลงมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่….