อาการแพ้ท้องยังคงไม่หมดไปแม้จะย่างเข้าเดือนที่สามของการตั้งครรภ์ ตอนนี้หน้าท้องที่เคยแบนราบก็นูนออกมาจนเริ่มสังเกตเห็นได้ ทว่าน้ำหนักของคุณแม่กลับไม่เพิ่มขึ้นเท่าไรเพราะยิ่งอาเจียนมากขึ้น อาเจียนบ่อยจนกัษษภาคย์ไม่วางใจจะให้เจ้าตัวอยู่บ้านคนเดียว แต่จะให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านใหญ่ก็เป็นไปไม่ได้ ที่บ้านเขายังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ และหากพาไปทำงานด้วยกันที่บริษัท อย่างน้อยคนเป็นพ่อก็ต้องรู้
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดว่ามันดีกว่าจะจ้างคนนอกมาอยู่เป็นเพื่อน เพราะไม่รู้เลยว่าคนอารมณ์แปรปรวนจะแผลงฤทธิ์อะไร หรือการพาคนอื่นเข้ามาเฝ้าจะทำให้อึดอัดจนเครียดอีกหรือไม่ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจนัดให้พ่อมาหาที่คอนโดฯ ในวันหนึ่ง
กษิดิษมองห้องเรียบร้อยของลูกชายที่เขาแทบไม่เคยมาเหยียบด้วยความรู้สึกหลากหลาย อยู่ ๆ ห้องจืดชืดโทนขาวดำในความทรงจำที่ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากไปกว่าโทรทัศน์และโซฟาในห้องรับแขกก็เริ่มมีของชิ้นอื่นมากองอยู่มากขึ้น ทั้งราวแขวนเสื้อผ้า เครื่องชั่งน้ำหนัก เสื่อโยคะ และที่สำคัญคือชามผลไม้และโหลคุกกี้
อ้อ มีรองเท้าคนอื่นมาเพิ่มที่ชั้นวางด้วย
“อยู่ไหนล่ะ เด็กนั่น” ชายสูงวัยกล่าวเข้าประเด็น เขาพอรู้เรื่องคร่าว ๆ มาบ้างแล้วแต่ยังไม่เคยพบตัวจริงของแม่ของหลาน ยังไม่อยากจะเรียกอีกฝ่ายว่าลูกสะใภ้
ยังไม่ทันที่กัษษภาคย์จะตอบเสียงชักโครกจากห้องน้ำแขกก็ดังขึ้น ต้นหอมเยี่ยมหน้าออกมาช้า ๆ ก่อนจะยกมือไหว้ผู้มาใหม่ เขาค่อย ๆ เกาะขอบกำแพงเดินมาจนถึงที่นั่งในห้องรับแขกในที่สุด
“ไหวไหม” เจ้าของห้องถาม
“ผมไม่ไหวได้เหรอ” เขาปรายสายตามองอัลฟ่าอีกคนในห้องก่อนจะหันไปพูดกับคนข้างตัวเสียงเบา “บอกพ่อคุณในลดรังสีความน่ากลัวหน่อยได้ไหม ผมพะอืดพะอม”
กษิดิษเป็นคนค่อนข้างใจเย็น เขาถึงได้ไม่คิดว่าเด็กน้อยกำลังค่อนแคะแต่เป็นเพราะอาการแพ้ท้องทำร้าย จึงยอมลดความตึงเครียดในอารมณ์ลง ปล่อยให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอ
“ภาคย์บอกว่าเธอทำงานในบาร์” เขาเกริ่น “ทำอะไรมาบ้าง”
“แรก ๆ ก็เป็นบาร์เทนเดอร์ประจำเคาน์เตอร์ครับ” ต้นหอมนึก “แล้วก็เริ่มนั่งบริการแขก รินเหล้า พูดคุย ป้อนอาหารบ้างถ้าต้องเอาใจ บางทีก็เล่าเรื่องตลก ๆ หรือแขกบางคนเมาแล้วแปลก ๆ ก็ต้องทนฟัง”
“แปลกคือยังไง” กัษษภาคย์ถาม เรื่องพวกนี้เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
“เมาแล้วสอนภาษาฝรั่งเศสผม หรือไม่ก็ขอนอนตัก บอกให้นับแกะให้ฟัง อ้อ มีชวนไปกางเตนท์ที่ดาดฟ้าด้วย”
“แล้วได้ไปไหม”
“จะไปได้ไงล่ะครับ ที่ร้านไม่มีเตนท์” คนฟังเกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเห็นสายตาจริงจังของคนเป็นพ่อ กัษษภาคย์จึงกลับไปนั่งหลังตรง ปิดปากเงียบเหมือนเดิม
“เธอไม่เคยนอนกับใครนอกจากลูกชายฉัน?”
“ครับ”
“มีอะไรยืนยันได้”
“จะตรวจดีเอ็นเอเด็กก็ได้ ผมยินดี หรือจะไปดูกล้องวงจรปิดที่ร้านก็ได้ ผมไม่เคยไปต่อกับใครเลย แค่เวลาเลิกงานก็ดึกแล้ว ไหนจะมีเรียนอีก อ้อ แล้วถ้าผมนอนกับแขกจริงป่านนี้คงท้องกับคนอื่นไปตั้งนานแล้วล่ะ” ต้นหอมพูดติดตลก “ถ้าคุณห่วงเรื่องผมจะเกาะเขากินล่ะก็วางใจได้เลย ผมจะเล่าแพลนของผมให้ฟัง นี่ผมพยายามคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนมากอยู่ พอคลอดแล้วจะได้กลับไปทำงานได้ ไม่ได้คิดจะมาแต่งเข้าบ้านอะไร ๆ โยธินของคุณหรอก ผมรู้ว่าคนอย่างผมเป็นมากสุดก็ได้แค่เมียเก็บ ซึ่งผมไม่ค่อยสนใจตำแหน่งนั้นเท่าไร”
“ต้นหอม”
“นี่ผมพูดเข้าประเด็นให้แล้วนะ พวกนักธุรกิจอย่างคุณน่ะเวลาเป็นเงินเป็นทองไม่ใช่เหรอ”
“แต่เธอกำลังมากวนเวลาลูกชายฉัน”
“ผมทำอะไร ทุกวันนี้ก็แทบจะต่างคนต่างอยู่” เจ้าตัวก้มหน้ายู่ปาก “มีแค่ยืมเสื้อมาทำรังนิดหน่อยเอง”
“ก็เดี๋ยวเธอจะต้องไปกวนเขาที่ทำงานไง”
“คืออะไร จะให้ผมทำงานเหรอ ตอนนี้เนี่ยนะ?” เขาหันไปหา
กัษษภาคย์
“ยังไม่ได้บอก?” และกษิดิษก็ถามลูกชายซ้ำ
“ครับ ยังไม่ได้บอก ผมรอความเห็นพ่อก่อน”
“แล้วถ้าพ่อไม่อนุญาตล่ะ”
“แต่มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วครับ ผมไม่อยากจ้างคนอื่นมาอยู่เป็นเพื่อนเขา เดี๋ยวจะเอาไปพูดข้างนอก”
“แล้วทำไมผมต้องมีคนเฝ้า” ต้นหอมถามบ้าง
“ก็นายแพ้ท้องขนาดนี้ ฉันไม่ไว้ใจให้อยู่คนเดียว”
“คุณ…”
อยากจะถามว่ากำลังเป็นห่วงกันอยู่เหรอ แต่สายตาของบุคคลที่สามก็ค้ำคอจึงยั้งปากเอาไว้ แต่แก้มแดง ๆ นั้นก็ไม่พ้นสายตาของคนที่คอยมองจับผิด
ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเงียบ ๆ สักพัก คนที่กำลังจะได้เป็นปู่ก็ถอนหายใจ พยักหน้าให้ลูกชายหลบออกไปก่อน เขาต้องการพูดคุยสองต่อสองกับเด็กคนนี้
กัษษภาคย์เลยต้องออกจากห้องอย่างเสียไม่ได้ เพราะพ่อเขาไม่ยอมแม้จะย้ายตัวเองไปอยู่อีกห้องแล้วก็ตาม
“เธอจะเอาเท่าไรว่ามา”
“คุณถามเหมือนลูกชายคุณเลย ถ้าผมอยากได้เงินผมคงไปบอกนักข่าวก่อนแล้วไหม” โอเมก้าหนุ่มถอนหายใจ “ผมน่ะ... กำพร้าพ่อแม่ อยู่แต่กับตายาย ถึงจะได้รับความรักมาดียังไงมันก็ทดแทนความรักของพ่อแม่ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นในตอนนี้ ในตอนที่ลูกยังมีโอกาสมีทั้งพ่อทั้งแม่น่ะ ขอให้ผมได้ให้ความรักที่แชร์กันได้กับคุณภาคย์ให้ลูกหน่อยได้ไหม”
“...”
“เดี๋ยวคลอดแล้วผมก็ไป บอกแล้วไงว่ารู้สถานะตัวเองดี” ต้นหอมยิ้มหยัน “หนูที่จะตกถังข้าวสารได้น่ะ อย่างน้อยมันก็ต้องเป็นหนูราชินี ไม่ใช่หนูท่อสกปรกแบบผมหรอก”
กัษษภาคย์แปลกใจเล็กน้อยที่พ่อเขาใช้เวลาน้อยกว่าที่คิด และยังไม่ได้ยินเสียงโวยวายออกมาจากห้องด้วย
“พ่อพูดอะไรบ้าง”
“ถามผมว่าจะเอาเท่าไร”
“แล้วนายตอบไปว่าอะไร”
“หกเดือน”
“ฮะ?”
“ผมอกไปว่าคลอดแล้วจะไป ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับครอบครัวคุณ เขาถึงได้ยอมไป”
“แล้วนายโอเคเหรอ”
“คิดเสียว่าอุ้มบุญ” เจ้าตัวลูบท้องตัวเองเบา ๆ สายตารักใคร่ไม่ปิดบังนั้นทำให้คนมองยังเผลอใจเจ็บ หากว่าวันนั้นมาถึงจริง ๆ เขาไม่รู้เลยว่าต้นหอมจะเลือกตัดใจหรือกลืนน้ำลายตัวเอง
“ไปหาอะไรกินกันไหม”
“อะไรของคุณ”
“ปลอบใจ นายดูเศร้า”
“ก็ต้องเศร้ากันบ้างแหละ ให้ย้ำอยู่ได้เรื่องพรากแม่พรากลูก”
“ทำไมถึงพูดอะไรออกมาได้เหมือนไม่คิดมากอะไรสักอย่างเลยนะ” ถึงจะบ่นอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้จริงจัง เขาชินกับนิสัยนี้ของเจ้าตัวเสียแล้ว
จากที่อยู่ด้วยกันมาราวหนึ่งเดือน กัษษภาคย์ได้รู้ว่าต้นหอมไม่ใช่คนคิดน้อย เพียงแต่เขามักจะคิดเรื่องของอนาคตที่อยู่ไกลมากกว่าอนาคตอันใกล้ เวลาพูดเรื่องอะไรใกล้ตัวถึงได้ดูเบลอ ๆ เหมือนไม่มีคำตอบ แต่เพราะวางแผนอนาคตไว้แล้ว เรื่องในปัจจุบันสำหรับต้นหอมจึงเป็นเพียงสะพานไปสู่วันเวลาข้างหน้าเท่านั้น
“อยากกินส้มตำ คอหมูย่าง กุ้งเผา”
“โอเค”
“คุณรู้เหรอว่าจะไปร้านไหน”
“พารากอนก็มีทุกร้านแหละ”
“ผมอยากกินร้านแถวบาร์ มันเซ่บบบ”
“เซ่บ?”
“แซ่บไง เข้าใจยากตรงไหน แอ๊บแก่เหรอคุณภาคย์”
“นายนี่มันน่าตีจริง ๆ”
“ไปนะ ๆ ชวนคนที่ร้านมากินด้วยกัน”
“ไม่ได้”
“ทำไม”
“ฉันไม่อยากเป็นข่าว คนที่บาร์จะปากโป้งไหมก็ไม่รู้”
“งั้นคุณขับรถไปส่งผมเฉย ๆ ไหมล่ะ” ต้นหอมหน้าบูด
“ไม่เอา”
“ทำไม”
“อยากกินส้มตำเหมือนกัน”
ต้นหอมหรี่ตามองคนพูด วันนี้อารมณ์ไหนกันเนี่ย
“จะแกล้งอะไรผมหรือเปล่า”
“เปล่าเสียหน่อย แค่อยากกินข้าวด้วยจริง ๆ”
“คุณกินส้มตำได้เหรอ”
“นายพูดเองนี่ว่าฉันกินง่าย ทำไมถึงมาสงสัยกันล่ะ”
“ก็คุณไฮโซ” ต้นหอมสอดตัวเข้าไปในรถราคาแพงยามอีกฝ่ายเปิดประตูให้ แต่ยังไม่ทันพูดขอบคุณอีกฝ่ายก็ชิงปิดประตูใส่หน้าเขาเสียก่อน
“คุณภาคย์” เรียกชื่อคนแก่กว่าอีกครั้งเมื่อเข้ามาอยู่ในรถด้วยกัน
“ว่าไง”
“คุณเป็นห่วงผมเหรอ”
คนถูกถามกำพวงมาลัยแน่นขึ้นเล็กน้อย ทั้งที่เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะใจดีกว่าปกติกับคนท้อง แต่พอถูกถามตรง ๆ แล้วดันรู้สึกเหมือนมีความหมายอื่นแฝง
“แล้วฉันเป็นห่วงไม่ได้เหรอ นายอุ้มท้องลูกฉันอยู่ตั้งสองคนนะ”
“อืม รู้แล้ว ถามไปงั้น”
“ถามไปงั้น?”
“ก็เผื่อคุณเป็นห่วงผมที่ตัวผมก่อนลูกบ้าง”
“น้อยใจเหรอ”
“เปล่า ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” ต้นหอมส่ายหน้า “ช่างมันเถอะ รีบออกรถได้แล้ว ผมหิว”
ตลอดทางไม่มีเสียงพูดคุย ในรถมีเพียงดนตรีเบา ๆ เปิดคลอเอาไว้ซึ่งมันไม่ได้ผ่านเข้าหูผู้โดยสารเท่าไร ต้นหอมเท้าคางมองออกไป เขาไม่มีโอกาสได้ออกไปข้างนอกมากนักหลังย้ายมาอยู่ที่นี่ จึงตั้งใจจะจดจำบรรยากาศรอบตัว
แต่ความคิดก็ถูกครอบงำยามกลิ่นหอมอ่อนของคนข้างตัวลอยเข้ามาในโสตประสาท ถึงจะไม่อยากให้ตัวเองติดกับ คุ้นชินติดกลิ่นนี้อย่างไรแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยปลอบประโลมหัวใจแข็งกระด้างของเขา
เหมือนน้ำอุ่นที่ไหลผ่านผืนดินแห้งแล้ง
แต่เขาก็หวังให้สายน้ำนั้นเพียงผ่านมาและผ่านไป เพราะหากมันเป็นความรู้สึกที่ได้รับการตอบกลับ มันคงยากสำหรับเขายิ่งขึ้นไปอีกที่ต้องตัดใจ
“ร้องไห้อีกแล้วเหรอ” กัษษภาคย์ถามเสียงเบาเมื่อได้ยินเสียงสูดน้ำมูก ในรถไม่มีทิชชูเสียด้วยสิ
“อืม กลัวเผลอรักคุณ”
“ฮะ?”
“ผมหวั่นไหว ผมพูดเลย” เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาลวก ๆ “เพราะงั้นสัญญาได้ไหมว่าคุณจะไม่ชอบผมกลับน่ะ”
“อะไรนะ” กัษษภาคย์ตามความคิดอีกฝ่ายไม่ทันแล้ว
“ก็แบบ... ยังไงเราก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่ต้องเริ่มตั้งแต่แรกแหละดีแล้ว”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้”
“คุณลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อคุณเพิ่งมาจ้างผมให้ออกไปจากชีวิตคุณน่ะ”
“...”
“หรือจะดื้อล่ะ แต่อย่ามาแลกอะไรเพื่อผมคนนี้เลย ไม่คุ้มหรอก”
“คุ้มไม่คุ้มก็ให้ฉันตัดสินใจเองเถอะ”
“อย่ามาพูดเหมือนจะมาชอบกันนะ”
“โอเค ๆ ไม่พูดแล้ว”
กัษษภาคย์จึงต้องยอมตามใจไปก่อน แต่ในห้วงความคิดหลังจากนั้นเขากลับรู้สึกคล้ายหัวใจพองโตทั้งที่รู้ว่าไม่ควร
ชายหนุ่มเชื่อมาตลอดว่าเซ็กซ์ไม่เท่ากับความรัก ความสัมพันธ์ทางกายไม่มีวันกลายเป็นความผูกพันในความรู้สึก ทว่าหลังจากถูกขอให้โอบกอดวันนั้นแล้ว เขากับต้นหอมก็แทบจะนอนกอดกันทุกคืน มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เกิดความผูกพันขึ้นในใจ
เขารู้ว่าอุปสรรคชิ้นใหญ่คือคนที่บ้าน
แต่จะให้ไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลยแบบนั้น… มันไม่ใช่วิถีของคนเป็นนักธุรกิจน่ะสิ
เป็นครั้งแรกที่ต้นหอมได้มาทานส้มตำและอาหารอีสานในร้านบน
ห้างฯ ราคาแต่ละอย่างก็แพงใช้ได้ แต่เพราะเขาไม่ได้จ่าย ก็เลยหลับหูหลับตาสั่งมาทุกอย่างที่อยากกิน
แต่ว่าวัตถุดิบก็สดใหม่สมราคา ทั้งมะละกอสดกรอบและมะเขือเทศเปรี้ยวอมหวาน แน่นอนว่ากัษษภาคย์ไม่ยอมให้เขากินตำปู เว้นเสียแต่ว่าจะเอาปูไปต้มให้สุกก่อนเพราะกลัวท้องเสีย
“ผมกินส้มตำข้างทางมาทั้งชีวิตยังไม่เป็นไรเลย”
“แล้วตอนนั้นนายอ้วกเช้าอ้วกเย็นแบบนี้ไหม”
“ก็…”
“เห็นไหม แล้วแบบนี้ใครจะกล้าปล่อยให้คลาดสายตา”
“คุณทำเหมือนผมเป็นเด็ก”
“แล้วเด็กจริงไหมล่ะ” กัษษภาคย์ว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะแกะเนื้อไก่ย่างไปไว้ในจานอีกฝ่าย
“คุณทำอะไร”
“แกะไก่ไง”
“แล้วทำไมจะต้องมาทำให้ด้วย ผมมีมือนะ”
“เอาใจยากจริง” แกล้งถอนหายใจเสียงดัง “ฉันกลัวนายยกมันขึ้นมาแทะให้เลอะเทอะไง อายคน”
“อ่อ”
“ทำไม กลัวโดนจีบหรือไง”
“คุณแกล้งผมเหรอ” ต้นหอมทำท่าจะพ่นถั่วลิสงที่ติดฟันใส่หน้าอีกคนจนกัษษภาคย์ต้องส่งสายตาปราม
“ฉันก็แค่คิดว่าอย่างน้อยก็มาญาติดีกันไว้ดีกว่า อย่าเกลียดกันเลย”
“ผมก็ไม่ได้เกลียดคุณนี่” โอเมก้าเลียริมฝีปากพลางหยิบข้าวเหนียวจุ่มน้ำส้มตำกินต่อ “แต่อาจจะเกลียดพ่อคุณก็ได้”
“แล้วแต่นายเถอะ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะรักกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจออยู่แล้ว”
“แล้วนี่คุณไม่กินเหรอ ไหนบอกว่ากินได้”
“ก็กินได้ แค่ไม่อยากแย่ง”
“ผมสั่งมาตั้งเยอะ อย่าให้เหลือสิ เสียดายออก”
“นายอิ่มก่อนฉันค่อยกิน ไม่อยากแย่งคุณลูก” ชายหนุ่มเว้นวรรค “แล้วก็คุณแม่”
“แค่ก ๆ”
คนที่ปากแจ๋วมาตลอดพอโดนหยอดกลับบ้างก็ไปไม่เป็นเสียอย่างนั้น ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน วางแผนเอาคืนในใจไปพลาง ๆ
“วางแผนแก้แค้นอยู่เหรอ”
“คุณยอมรับแล้วสินะว่าแกล้งผมน่ะ” ต้นหอมยู่ปาก
“ก็นายมันน่าแกล้ง เหมือนเด็ก”
“ผมอายุ…”
“สามขวบ”
“สามขวบบ้านคุณท้องได้แล้วมั้ง”
กัษษภาคย์ไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่อมยิ้มต่อไปพลางแกะเนื้อปลาดุกย่างไปด้วย ยิ่งปลามีก้างเขายิ่งต้องระวัง พิถีพิถันกว่าเก่า
“กินเข้าไปบ้าง”
อัลฟ่าหนุ่มเหลือบตามองหมูยอกับเส้นขนมจีนและเศษผักจากในยำที่ถูกวางลงในจานของตน เลื่อนสายตาไปมองเจ้าของช้อนที่เพิ่งชักกลับไปก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
คนอะไรทำหน้าเหมือนหงุดหงิดโลกทั้งใบตลอดเวลาแล้วยังน่ามอง
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องมาครับเลย จั๊กจี้หู”
บอกตามตรงว่าต้นหอมเอ็นจอยกับมื้ออาหารนี้มาก สารพัดของ
เซ่บของดอง (แค่ไข่เค็ม) ที่เขาอยากมานานมากองรวมอยู่ตรงหน้าแถมยังกินได้ไม่อั้น แต่ก็ติดอยู่อย่างเดียวตรงสายตาแปลก ๆ จากคนตรงข้าม เหมือนจะมีแววหยอกล้ออ้อนตีนอยู่ในที ถึงจะแกะไก่แกะปลาให้เอาใจเขาก็ยังตะขิดตะขวงใจ
“คุณอย่ามองผมแบบนั้นได้ไหม”
“ฉันมองยังไง”
“มองแล้วเหมือนจะยิ้ม”
“แล้วจะให้หน้าบูดมองนายหรือไง”
“ก็ทำหน้านิ่ง ๆ ไป แบบตอนแรกที่เจอกัน”
“ก็นี่มันผ่านมาตั้งเกือบเดือนแล้ว ยังจะให้ทำหน้านิ่งได้ยังไงอีก” คนแก่กว่าส่ายหน้า “นายนั่นแหละ ยิ้มบ้าง จะได้น่ารักกว่านี้”
“ขนาดยังไม่น่ารักยังมองผมตาหวานขนาดนี้ น่ารักกว่านี้ไม่ขอแต่งงานเลยเหรอ”
“แล้วใครบอกว่าตอนนี้ไม่น่ารัก”
“พอ” ต้นหอมปาทิชชูใช้แล้วใส่คนที่นั่งตรงข้าม ถ้าไม่ได้อยู่นอกบ้านเขาคงปาช้อนปาส้อมไปด้วย เอาให้ได้เลือดแล้วก็เข็ดไปเลย
แต่ถึงจะประทุษร้ายอีกฝ่ายในใจไปมาก พอกลับห้องมาก็ต้องมาพึ่งอ้อมแขนเขาอยู่ดี
เสื่อโยคะที่พี่เปรมพร้อมเพื่อนที่บาร์รวมเงินมาซื้อให้นั้นกลายสภาพไปเป็นรังขนาดย่อมไปแล้วเพราะหมอยังไม่อนุญาตให้ออกกำลังจนกว่าจะพ้นไตรมาสแรกของการท้อง ตอนนี้มันจึงเต็มไปด้วยกองผ้าที่ต้นหอมรื้อมาวางใหม่ เพราะตอนกลางวันกัษษภาคย์จัดห้องให้เรียบร้อยตบตาคนเป็นพ่อ สารพัดกองเสื้อผ้าของเขาถึงถูกย้ายเข้าห้องนอนเล็กไป
“เสื้อตัวนั้นหายไปไหน” ว่าที่คุณแม่เดินหน้ามุ่ยออกมาเมื่อหาชุดนอนผ้าซาตินผิวสัมผัสลื่นเย็นไม่เจอ
“ตัวไหน”
“ตัวนั้นไง ที่ผมชอบ”
กัษษภาคย์ได้แต่ยืนงง มองสองแขนที่หอบเสื้อผ้ารวมไปถึงผ้าเช็ดตัวและผ้าห่มผืนเล็กเป็นม้วน
“แค่นั้นยังไม่พอเหรอ”
“ก็ตัวที่ชอบที่สุดมันหายไป” เจ้าตัวเริ่มเบะ “ตัวที่คุณใส่วันก่อน ที่เรานอนกอดกัน มันมีกลิ่นเราทั้งคู่เลย ผมชอบ”
ผมชอบ
เหมือนโดนแอทแท็คจากแค่คำสั้น ๆ อัลฟ่าคุณชายคนเดียวของบ้านผู้ไม่เคยต้องทำงานบ้านเองเดินเข้าห้องกลับไปช่วยคุ้ยตะกร้าผ้าอีกครั้ง เผื่อว่าเขาจะเผลอโยนมันลงไปเตรียมซัก
ส่วนต้นหอมก็นั่งลงบนพื้นข้างเสื่อโยคะ จัดมุมให้พอดีกับการนั่งดูทีวีแล้วจึงคลี่เสื้อผ้าออกมาค่อย ๆ จัดวางตามความพอใจ
ต้องรองพื้นด้วยผ้าห่มก่อน ตามด้วยเสื้อผ้าตัวใหญ่รอบ ๆ ทำเป็นกำแพง ในตอนนั้นเองที่ชุดที่ตามหาโผล่เข้ามาในสายตา
“อ่า” ครางออกมาเบา ๆ ก่อนจะเหลือบมองประตูห้องนอน แสงไฟลอดออกมาผ่านประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้ อยากจะส่งเสียงบอกว่าหาเจอแล้วแต่อีกใจก็อยากแกล้งต่อ
“หาไม่เจออ่ะ เอาตัวนี้ไปแทน…” กัษษภาคย์ชะงักขา เขากำลังจะถอดเสื้อที่ใส่อยู่ให้แทนเพราะเชื่อว่ากลิ่นน่าจะติดอยู่แล้วพอประมาณ
ทว่าภาพคนตัวขาวกำลังเลิกเสื้อตัวเองขึ้นโชว์ผิวขาวผ่องก็ทำให้ลำคอแห้งผาก
ภาพต่างคนต่างถอดเสื้อกันอยู่ครึ่งตัวขณะหันหน้าเข้าหากันดูประดักประเดิดไม่น้อย แต่สุดท้ายก็เรียกเสียงหัวเราะเขิน ๆ ของคนทั้งคู่ออกมา
“ผมหาเจอแล้ว” ต้นหอมชูเสื้อให้ดู “ก็เลยว่าจะใส่นอน”
“ฉันก็ว่าจะถอดเสื้อตัวนี้ให้นายกอดแทน” กัษษภาคย์ดึงเสื้อลงไปอย่างเดิมให้เรียบร้อยก่อนเดินเข้ามาหากัน หยิบรีโมตสมาร์ตทีวีมากดเปิดเข้า Netflix และนั่งลงซ้อนหลังประจำที่คนเด็กกว่า ดึงผ้าห่มคลุมโซฟามาห่อตัวพวกเขาทั้งคู่เอาไว้
“วันนี้อยากดูเรื่องอะไร”
“หอแต๋วแตก”
“มีที่ไหนล่ะ”
“ทำไมจะไม่มี” คนเด็กกว่าหันไปเถียง “เห็นเขาโปรโมตอยู่นะ”
มือเล็กแย่งรีโมตมากดหา ทว่ากลับไม่พบเรื่องที่ต้องการจึงหน้ามุ่ยกว่าเก่า
“หายไปไหน หมดสัญญาแล้วเหรอ”
“คงงั้น ดูเรื่องอื่นไหม”
“งั้นเอานีโม่”
“ฮะ?” อัลฟ่าหนุ่มค่อนข้างประหลาดใจ ก็หอแต๋วแตกกับ Finding Nemo มันคนละแนวเรื่องเลยไม่ใช่เหรอ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากตามใจ จึงเสิร์ชชื่อหนังในช่องค้นหาอีกครั้งแต่ก็คว้าน้ำเหลว
“เน็ตฟลิกซ์มันมีอะไรให้ดูบ้างเนี่ย” ต้นหอมขยับตัวอย่างไม่ชอบใจ ทิ้งน้ำหนักใส่คนด้านหลังเต็มแรง
“งั้นนอนไหม”
“ไม่เอา”
“ไม่ง่วงเหรอ”
“ยังไม่อยากกลับไปอยู่คนเดียว” พูดจบก็หดคอ ทำตัวเล็กตัวน้อยลงไปอีก
“แต่นายไม่ชอบให้ไปยุ่งกับรังในห้องนอนใหญ่นี่”
“อืม แต่ผม… ไม่อยากอยู่คนเดียว”
“อยู่อย่างนี้ไปก่อนก็ได้” กัษษภาคย์เองก็จนปัญญา เขาเปลี่ยนไปเปิดเพลย์ลิสต์เพลงแจ๊สฟังสบายในยูทูบแล้วจึงกระชับอ้อมแขนมากกว่าเก่า กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ ลอยโชยมากับกลิ่นหอมคล้ายผลไม้อบแห้งรสหวาน
“รู้สึกเหมือนคริสต์มาสเลย ถึงจะไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงก็เถอะ” เด็กหนุ่มพูดเบา ๆ ขณะดึงชายผ้าห่มให้รัดตัวแน่นขึ้น ส่งผลให้คนที่อยู่ด้านหลังก็ต้องขยับตัวเบียดชิดใกล้กันมากกว่าเก่า
“หมายถึงอะไร”
“ไม่รู้สิ บรรยากาศแบบนี้มั้ง” โอเมก้าเอียงศีรษะมาถูไถกันเหมือนแมว “บรรยากาศที่ทำให้อยากหยุดเวลาน่ะ”
“เขาว่ากันว่า time stops when we kiss”
“แต่ถ้าคุณจูบผมตอนนี้คง heart stops แทน” คนเด็กกว่าหัวเราะ หยัดตัวขึ้นนั่งตรงแสดงจุดยืนชัด “อย่าเพิ่งทำลายบรรยากาศดี ๆ ระหว่างเราเลย”