Chapter 4

3495 Words
ต้นหอมกำลังยืนงงอยู่หน้าเครื่องล้างจาน เขาจำได้ว่าเห็นกัษษภาคย์กด ๆ อะไรนิดเดียวเครื่องก็ทำงาน ทิ้งไว้ไม่กี่ชั่วโมงจานชามก็สะอาดเอี่ยม เขายังเคยช่วยยกมันออกจากเครื่องล้างไปวางในตู้อยู่เลย แต่ทำไมพอถึงเวลาที่ต้องจัดการเองแล้วก็งงไปหมด ตอนนี้เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ราวสัปดาห์แล้ว ได้เจอแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดหนึ่งครั้ง และเพราะว่าไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนจึงลงมือช่วยกันทำความสะอาดห้อง เขาล้างห้องน้ำ ป้ามลซักผ้า ตากผ้า ล้างจน เก็บกวาดห้อง และเขาก็รอเก็บผ้ามาพับเข้าตู้ เป็นอันหมดวันไป กระนั้นก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่จะมานั่งกินนอนกินไม่ทำงาน ถึงจะยังเวียนหัวและอาเจียนอยู่บ้างแต่ก็เริ่มจับจุดได้ หากตอนเช้าตื่นมาแล้วรีบทานอะไรเบา ๆ รองท้องก็จะช่วยลดอาการทรมาน ถึงจะยังต้องการสำรอกออกมาอยู่แต่ถ้าไม่เผลอทานอะไรผิดสำแดงก็ไม่หนักหนาเกินจะทนไหว อย่างที่บอกว่าชีวิตเขาก็ไม่ได้สบาย เรื่องยาก ๆ กว่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยผ่านมือ แต่ไอ้การใช้เครื่องล้างจานเนี่ย ไม่เคย เปิดกูเกิลดูแล้วก็พบว่ามีอะไรต้องทำมากมายไปหมด ทั้งเกลือปรับสภาพน้ำ น้ำยาล้างจานและน้ำยาเคลือบเงา เขาไม่รู้เลยว่าอะไรคืออะไรและช่องใส่อยู่ตรงไหน ไม่กล้าเดาด้วย แต่ครั้นจะให้ล้างเองด้วยมือ ห้องนี้ก็ไม่มีน้ำยาล้างจานแบบธรรมดาให้ใช้อีก และมันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าไม่ใช่ว่าเขาทำอาหารเย็นมื้อใหญ่รอคุณชายกลับบ้าน อืม เรียกคุณชายถูกแล้วแหละ อย่างไรก็กระดากปากน้อยกว่าเรียกสามี ทั้งหมูอบ ผักโขมผัดเบค่อน ไก่เทริยากิและแกงจืดเต้าหู้วุ้นเส้น แน่นอนว่ามีข้าวสวยร้อน ๆ หุงให้นิ่มตามแบบที่ตนเองชอบอีกเต็มหม้อ แม้ในตู้เย็นจะมีอาหารแช่ไว้ในทัพเพอร์แวร์อยู่หลายอย่าง แต่วันนี้เขามีแรง ก็เลยอยากทำอะไรขอบคุณสักหน่อย ถึงเขาจะพูดคำขอบคุณให้ดังไม่ได้ แต่การกระทำจะเอะอะไม่แพ้ใครแน่นอน “ว่าแต่จะกลับเมื่อไรเนี่ย” เขายกมือลูบพุงที่ร้องเบา ๆ เพราะกลิ่นหอมของอาหารมันชวนหิว ตอนนี้หน้าท้องนูนขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะคนในเน็ตก็บอกว่าท้องแฝดท้องจะโตเร็ว วันนั้นที่ไปช็อปปิ้งกับพี่เปรมเขายังไม่ได้ซื้อหมอนคนท้อง เพราะคนขายบอกว่าไว้เข้าเดือนเจ็ดที่ท้องโตก่อนค่อยมาซื้อก็ยังไม่สาย ทว่าก็ลืมคิดไปหากเป็นเด็กแฝดแบบนี้ดีไม่ดีอาจได้ใช้ก่อนชาวบ้าน “ไปทำอะไรบนนั้น” นั่นเป็นคำแรกที่กัษษภาคย์เอ่ยขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง “กลับมาซะที ผมหิวจะแย่” ต้นหอมกระโดดแผล็วลงจากเครื่องล้างจานเจ้าปัญหาก่อนจะเดินนำคนแก่กว่าเข้ามาในห้องทานอาหารที่ถูกกั้นเป็นสัดส่วน “ท้าดา” พ่อครัวของวันผายมือไปยังอาหารบนโต๊ะ “น่ากินไหม” กัษษภาคย์มองอาหารบนโต๊ะอย่างอึ้ง ๆ เขาไม่ได้บอกอีกคนว่าวันนี้มีนัดกับคู่ค้า ก็เลยได้รับประทานอาหารกันมาแล้ว “ทำให้ฉันเหรอ” “อื้อ ทำไว้รอคุณมากินด้วยกัน” คนฟังหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ช้า ๆ ไม่แน่ใจว่าควรทำตัวอย่างไร “เฮ้อ กินข้าวมาแล้วสินะ” “นายรู้?” “เห็นหน้าก็รู้แล้ว ปกติคุณกินกับข้าวง่าย ๆ ตลอดแต่วันนี้ดันทำหน้าเหมือนไม่อยากกินทั้งที่ผมทำอะไรอลังการกว่าวันอื่นตั้งเยอะ ถ้าไม่ใช่ว่ากินมาแล้วก็คงตัดกะเพราะไปบริจาคแล้วล่ะ” “โกรธเหรอ” “โกรธได้หรือไงล่ะ” เด็กหนุ่มส่ายหน้า “เอาเถอะ ไว้ผมค่อยเก็บไว้กินพรุ่งนี้” “ฉันนั่งเป็นเพื่อนได้นะ” ตะโกนไล่หลังคนที่เดินไปตักข้าวจากหม้อ ทว่าคนเด็กกว่ากลับหันมาแยกเขี้ยวใส่ “ไม่ต้องเลย แบบนั้นดูน่าสมเพชกว่าอีก” “ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น” “แต่ผมคิดไง คุณไปอาบน้ำนอนเถอะ พรุ่งนี้ก็ต้องทำงานอีก” แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นกัษษภาคย์ยังคงนั่งนิ่งไม่ลุกไปไหน และต้นหอม ดีใจที่มันเป็นอย่างนั้น คงเพราะฮอร์โมนคนท้อง ไม่มีเหตุผลอื่น ต้นหอมเลือกซดน้ำซุปเป็นอย่างแรก รสชาติกลมกล่อมจากซุปก้อนและความเค็มเล็กน้อยจากเกลืออะไรไม่รู้สีชมพูทำให้ต่อมรับรสบนลิ้นเหมือนถูกเปิด เขาตักกับข้าวอันนั้นคำอันนี้คำ ไม่ได้มูมมามทว่าก็ตักเข้าปากเรื่อย ๆ ไม่หยุด แม้ข้าวจะหมดก็ยังทานกับต่อ “นายกินเก่งขึ้นนะ แบบ… ก้าวกระโดดเลย” “นั่นสินะ ผมก็ว่างั้น แต่เดี๋ยวมันก็อ้วกออกแหละ” “ยังอาเจียนระหว่างวันอยู่เหรอ” ชายหนุ่มถาม ปกติเขาออกไปทำงานก่อนคนตรงหน้าตื่นเสมอ เลยไม่เคยรู้กิจวัตรประจำวันของอีกคน “อือ ทุกเช้าเลย เหมือนตั้งนาฬิกา” “หาวันไปหาหมอกันอีกไหม” “เปลี่ยนหมอได้ไหม กลัวหมอคนนั้น” หน้าตาตื่นตระหนกทำเอาคนมองยิ้มขำ “ไม่รู้สิ อาจจะเลือกไม่ได้” เขาลองแกล้งหยั่งเชิง “คุณรวยนี่ ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ” “นี่ไม่ใช่ละครนะ อีกอย่างจะหาได้จากไหนอีก หมอที่ทำให้นายกลัวได้ขนาดนี้น่ะ” “ผมจะบอกให้พยาบาลเจาะเลือดคุณแรง ๆ เลย” “ก็ลองดู ดูว่าพยาบาลจะฟังใคร” กัษษภาคย์ยิ้มเย็น “เพราะฉันมีเงินเยอะกว่านายนะ” “เหอะ” ต้นหอมเบะปากก่อนจะรวบช้อน เขาจัดการห่อกับข้าวที่เหลือใส่ตู้เย็น ไม่มีเศษอาหารในจานข้าวเหลือให้เททิ้งเพราะกินเกลี้ยง จึงหันไปถามข้อข้องใจที่สู้กับมันมาครึ่งวัน “เครื่องล้างจานนี่ใช้ยังไง” “ที่แน่ ๆ ก็ไม่ได้ใช้นั่งล่ะนะ” “นี่คุณ…” “มาสิ จะสอนให้” กัษษภาคย์มองข้ามคนที่มองกันตาเขียวแล้วเริ่มจากหยิบกล่องพลาสติกสองสามกล่องออกมาจากชั้นวางเหนือหัว ระหว่างนั้นต้นหอมก็รับหน้าที่เรียงจานเข้าเครื่อง “อันนี้คือผงล้างจาน ใส่ตรงนี้” เขาเปิดฝาเครื่องล้างและชี้ให้คนเด็กกว่าดู “ใส่เยอะแค่ไหน” “ปกติฉันไม่ได้ล้างทุกวัน ถ้ามีจานเต็มเครื่องก็ใส่ประมาณช้อนหนึ่ง แต่ครั้งนี้น่าจะแค่ครึ่งเดียวนะ” “แล้วพวกเกลือกับน้ำยาเคลือบล่ะ” “สองกระปุกนี้” ชายหนุ่มเปิดฝากล่องทรงกระบอกอันหนึ่งให้ดู “อันนี้เกลือ อันนี้น้ำยาแวววาว” “น้ำยาแวววาว?” “เขาเรียกกันอย่างนั้น ฉันเรียกตามป้ามล” “โอเค ๆ แล้วต้องใส่ตรงไหน” “สองอันนี้ไม่ต้องใส่เพิ่มแล้ว ใส่ค้างไว้ในเครื่องทีก็อยู่ได้นาน” “อ้อ” “เข้าใจแล้วนะ” “อือ ที่เหลือผมทำเอง” เขาโบกมือไล่ชายหนุ่มเจ้าของห้องและเจ้าของเครื่องเพราะไม่ชอบถูกจับตามองเวลาทำอะไร กัษษภาคย์ไม่ต่อปากต่อคำอะไร เขาเองก็ต้องเตรียมตัวนอนได้แล้ว ต้นหอมยืนจ้องเจ้าเครื่องทรงเกือบจะเป็นลูกบาศก์บนพื้นต่อไปอีกพัก ในหัวสงสัยว่ามันจะล้างจานสะอาดจริงเหรอ แม้ว่าจะเคยเห็นกัษษภาคย์ใช้มาก่อนแล้วหนึ่งครั้งก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้ แต่สุดท้ายก็กดเปิดเครื่องและเลือกโหมดล้างเร็ว เนื่องจากมีเพียงจานชามและกระทะกับหม้อรวมกันไม่กี่ใบจึงไม่คิดว่าจะต้องใช้โหมดจริงจัง ปกติกัษษภาคย์จะรอรวมจานชามไว้ล้างทีเดียวที่ปลายสัปดาห์ แต่เพราะว่าเขากินเพียงอาหารง่าย ๆ ที่เอามาเวฟ คราบอะไรต่อมิอะไรจึงไม่ได้มีกลิ่นคาวมากมายอย่างเขียงที่ถูกใช้หั่นหมูสด เพราะงั้นต้นหอมจึงคิดว่าถ้าทิ้งไว้แบบนั้นมีหวังหนอนขึ้นตู้แน่ และอีกฝ่ายก็คงคิดแบบเดียวกันถึงได้ไม่ซักถามอะไรให้มากความ ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เพราะต้นหอมไม่ชอบคนพูดเยอะ เพราะว่าเขาไม่ชอบให้มีคนมาแย่งพูดยังไงล่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ กัษษภาคย์กำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา เขาเริ่มชินกับห้องนอนที่เล็กลงและผ้าปูที่นอนที่ยังติดกลิ่นใหม่อยู่บ้างแล้ว มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมบ้านนั้นดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยเขาก็ทำใจยอมรับความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ได้ คงไม่ต้องลุ้นว่าจะเส้นเลือดในสมองแตกก่อนเด็กเกิดหรือไม่ และการมีใครอีกคนมาอยู่ร่วมชายคาก็ช่วยสร้างสีสันให้ไม่น้อย มันควรจะเป็นอย่างนั้นไปตลอดเจ็ดเดือนที่เหลือ เขาควรจะได้นอนหลับเต็มอิ่มเหมือนปกติในทุกคืน ติดอยู่แค่… ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูกลางดึกทำให้ชายหนุ่มต้องลุกไปเปิดอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้แปลกใจที่เห็นหน้าคนหลังบานประตูแต่ถ้าถามว่าหงุดหงิดไหม ตอบว่าไม่ก็คงโกหก แต่เมื่อมองให้ดีแล้วจะเห็นคราบน้ำตาเป็นสายบนสองแก้ม แค่นั้นก็ได้แต่กลืนคำบ่นลงไป “มีอะไร” “ผมมีอารมณ์” “ฮะ!?” “เขาบอกว่าคนท้องจะมีความต้องการสูงขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ” โอเมก้าตรงหน้าสะอึกสะอื้น สีหน้ายุ่งเหยิงไม่ต่าง “ผมอยากมายืมเสื้อคุณไปทำรัง เผื่อมันจะช่วยได้ ผ้าปูที่นอนกลิ่นมันหายหมดแล้ว” “ได้ ๆ รอเดี๋ยว” กัษษภาคย์กุลีกุจอรื้อตะกร้าผ้าในห้อง หยิบแยกชั้นในออกหลังจากนั้นก็หอบเสื้อผ้าที่เหลือส่งให้เต็มอ้อมแขน ทว่าแม้จะได้รับของที่ต้องการแล้วต้นหอมก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน “มีอะไรอีกเหรอ” “ขอกอดด้วยได้ไหม” “อะไรนะ” “ในเน็ตบอกว่า…” ต้นหอมเม้มปาก “คุณแม่ไม่ได้แค่อยากจะสอดใส่ แต่ต้องการถูกโอบกอด จ้องตา ถูกรัก แต่ผมไม่คิดว่าแค่จ้องตามันจะพอ และเรื่องถูกรักคงเป็นไปไม่ได้ ก็เลยขอแค่กอดก็ได้” … ขอแค่กอดก็ได้ มันแค่ตรงไหนวะ! แต่กัษษภาคย์ไม่ใช่คนใจแข็งเลยไม่ว่าจะกับใคร เขาเห็นน้ำตาไม่ได้แม้แต่ของสัตว์เลี้ยงตัวเก่า เพราะอย่างนั้นจึงค่อย ๆ กางสองแขนออก แล้วเจ้าคนตัวเล็กก็โยนผ้าลงพื้นและพุ่งตัวเข้ามาใส่อ้อมแขนทันที ต้นหอมสูดดมกลิ่นหวานซ่านเข้าเต็มปอด รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแม้น้ำตาจะยังไหล ความอบอุ่นของวงแขนและความเย็นสบายของเนื้อผ้าซาติน ของคนตัวโตทำให้เขาสบายใจเหมือนอยู่ในห้วงฝัน ไม่อยากปล่อยไปเลย “ต้นหอม?” แกล้งหลับได้ไหมนะ กัษษภาคย์ไม่กล้าเขย่าตัวรบกวนอีกฝ่ายเพราะไม่รู้บ่อน้ำตาจะแตกอีกหรือเปล่า ทว่าจะให้เขายืนอยู่แบบนี้ทั้งคืนก็ไม่ไหว จึงค่อย ๆ ถอยหลังไปนั่งลงบนเตียง คนที่เคยสูงแค่คางเขาตอนนี้ก็เลยสูงกว่า กลายเป็นว่าหน้าผากชายหนุ่มแนบกับหน้าอกคนน้องได้พอดี ชั่วขณะหนึ่งมีความคิดอยากลองเอาหูแนบท้อง แต่แน่นอนว่าลูกคงยังไม่ดิ้นให้รู้สึกจึงได้แต่ห้ามใจเอาไว้ “ไปนอนไหม” “อืม” ต้นหอมครางรับแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน กระนั้นก็ผละตัวออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เขายืนจ้องหน้าอัลฟ่าตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกและความคิดตีกันไปหมด แต่สุดท้ายแล้วสมองก็ชนะหัวใจ จึงค่อย ๆ ปล่อยมือและตามเก็บเสื้อผ้าบนพื้นเดินกลับห้องนอนของตน ในความมืดนั้นเขาหวั่นไหว ในอ้อมกอดนั้นทำให้เขายืนยันได้ว่าตัวเองไม่ได้ต้องการแค่เซ็กซ์ แต่ต้องการความรัก แต่จะไปหาจากไหนกันล่ะ มีหนูพันธุ์ไหนโตในทุ่งข้าวไรซ์เบอร์รีไหมนะ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชายหนุ่มทายาทคนเดียวของตระกูลวิสุทธิ์โยธินยังคงทำงานอย่างขะมักเขม้นแม้จะมีห้องส่วนตัวปิดม่านมิดชิด คนภายนอกไม่มีทางได้จับผิดหากเขาอู้งาน แต่กัษษภาคย์ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองได้ทำตามใจ พ่อของเขาสุขภาพไม่ดีแล้ว แต่การจะให้ใครคนอื่นที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันขึ้นมากุมบังเ**ยนอาณาจักรใหญ่โตนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่ดีแน่ ขนาดคนเก่าแก่ที่อยู่กันมานานยังพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเวลาไม่สามารถซื้อใจคนทุกคนได้ กัษษภาคย์จึงต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบและรัดกุม แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่เพียงไก่อ่อนที่มีเพียงบารมีพ่อ แต่มีความสามารถมากพอจะดูแลบริษัทและโรงงานทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานส่งให้ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขายกหูขึ้นรอฟังเสียงจากปลายสาย เครื่องนี้นอกจากพ่อแล้วก็มีแค่เลขาฯ ส่วนตัวอย่างแอมป์เท่านั้นที่ติดต่อเข้ามาได้ “คุณเมคินทร์มาขอพบครับ” ปลายสายว่าด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ให้เข้ามาเลย” นับหนึ่งถึงสามในใจเพื่อนตัวดีก็โผล่หน้าเข้ามา ในมือหิ้วกล่องเค้กสีพาสเทลจากร้านดังติดมือมาด้วย “จะเอาไปให้สาวที่ไหนล่ะ” เขาแซวขณะลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานหลังโต๊ะ เตรียมนั่งลงยังชุดรับแขกเพื่อคุยกับเพื่อน “สาวที่มึงพาไปฝากครรภ์ล่ะมั้ง” “ไปเอามาจากไหน” กัษษภาคย์ชะงัก “บ้านกูเป็นสื่อนะภาคย์ จะไม่รู้ได้ยังไง อีกอย่างอาทิตย์ก่อนคุณแอมป์ก็ติดต่อมาบอกให้ช่วยกรองข่าวลือไม่ดีของมึงออกไป ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไรแต่ตอนนี้กูก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว” เมคินทร์ขยับยิ้มมุมปากแต่สายตายังจริงจัง “สรุปว่าเป็นแค่ข่าวโคมลอย หรือว่า…” “มึงรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ถึงได้ซื้อเค้กมา” “ก็แหม คนท้องชอบกินของหวานไม่ใช่เหรอ” “กูพลาด กับเด็กในบาร์” เขาพูดออกไปตามตรง “อะไรนะ!” “XIP เป็นเด็กที่ไม่ได้ขายด้วย” “เดี๋ยว แล้วมึงไปเอาเขามาได้ไง ดีลนอกเหรอ หรือโดนวางยา” “กูเมา เลยคิดว่าเขาขาย แต่เขาเมากว่า เลยไม่ได้บอกว่าไม่ขาย” กัษษภาคย์เดาะลิ้น ไม่ชอบใจที่ต้องพูดซ้ำ “กูน่าจะเอะใจตั้งแต่เขาบอกว่าเจ็บ” “เจ็บ?” “ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่บีบอกนิดหน่อยก็ร้องเจ็บแล้ว” “แต่ก็ทำต่อได้จนท้องอ่ะนะ” “อืม ก็มีอารมณ์กันทั้งคู่” “ไม่ได้ข่มขืนแน่นะ” “ควาย” เขาปากล่องทิชชู่ใส่คนพูด “กูโดนอ่อยนะ กูเป็นเหยื่อ” “มึงจะบอกว่ามึงโดนเขาจับเหรอ” “ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ” ชายหนุ่มถอนหายใจ “มึงรู้จักต้นหอมไหม” เขาลองถามออกไป เพราะคนที่แนะนำให้รู้จักบาร์นี้ก็เพื่อนตัวดีคนนี้นี่แหละ “ไอ้ภาคย์! มึงไม่รู้ได้ไงว่าต้นหอมไม่ขาย” และปฏิกิริยาเกินคาดของเพื่อนทำให้เขาขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง เขาประกาศไว้เหรอ” “เดี๋ยวก่อนนะ สรุปมึงทำต้นหอมท้องใช่ไหม” เขาพยักหน้า “โอเค โล่งใจไปเปราะ” “มึงสนิทกับเขาเหรอคินทร์” “อย่ามาทำตาขวางใส่กูนะ กูแค่จำได้เพราะเขาไม่เหมือนคนอื่น” เมคินทร์กระแอมก่อนเข้าบทสนทนาจริงจัง “ที่มึงถามว่ากูรู้ได้ไงว่าเขาไม่ขาย เอาง่าย ๆ เลยก็คือกูไม่เคยเห็นเขานั่งโซฟาตัวเดียวกับแขกเลย” “หมายความว่าไง” “ก็คนที่มันอยากขายน่ะ ก็จะเข้ามานั่งเบียดนั่งแซะ แล้วก็ค่อย ๆ เลื้อยขึ้นมานั่งตัก เป็นสเต็ปแบบนี้” “มึงดูเชี่ยวชาญนะ” “เรื่องของกูเหอะ” เมคินทร์ถลึงตา “แต่ต้นหอมไม่ใช่แบบนั้น กูสังเกตเขามาพักหนึ่ง รินเหล้า ชงเหล้า เอนเตอร์เทนเก่งก็จริง แต่ไม่เคยเอาตัวเองไปอยู่ในสถานที่อันตรายเลย อาจจะไม่เคยเปิดห้องเดี่ยวด้วยมั้ง” “มึงเคยอยากได้เขาสินะ ไม่งั้นคงไม่รู้ละเอียดขนาดนี้” “กูก็อยากได้ทุกคนที่เอาได้แหละ ไม่งั้นกูจะสมัครสมาชิกเพื่อ” เพื่อนอัลฟ่ากลอกตาใส่ “อย่ามาเป็นเทพบุตรใส่กู เขาขาย เราจ่าย วินวิน” “กูยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” “สายตามึงพูดทุกอย่างแล้วเถอะ” เมคินทร์เงียบไปครู่หนึ่ง ยอมรับว่าอ่านความคิดเพื่อนไม่ออกแต่ก็เป็นห่วง “แล้วคุณณัฐรีทราบเรื่องหรือยังล่ะ” “ยัง ถ้ารู้แล้วกูจะสั่งปิดข่าวทำไมล่ะ” “จะไปรู้เหรอ แม่มึงอาจจะอยากมีหลานจนมองข้ามอะไรทั้งหมด” “เป็นแบบนั้นก็ดีสิ” เจ้าตัวถอนหายใจ “แต่ก็ยังดีที่เป็นแฝด ให้ตัดใจทิ้งคง…” “แฝด!” “มึงจะตะโกนอะไรนัก” “ไอ้เวร ไม่คิดจะบอกกันเลยใช่ไหมเนี่ย” “บางวันแม่เขายังอยากเอาออกอยู่เลย” กัษษภาคย์ถอนหายใจ “คือไง ต้นหอมอ่ะนะอยากเอาเด็กออก” “เครียดมั้ง ยิ่งหมอแนะนำอย่างนั้น” “หมอไหนเนี่ย กูจะฟ้องให้” “เขาหวังดี เขาบอกว่าครรภ์แฝดมันความเสี่ยงเยอะ ไหนจะสุขภาพจิตแม่ที่ท้องไม่พร้อมอีก บอกให้คิดเยอะ ๆ” เมคินทร์นั่งเงียบคิดตาม เขามองเพื่อนสนิทที่ความจริงแก่กว่าเล็กน้อยด้วยสายตาอ่านยาก กัษษภาคย์เป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็นและรับมือกับปัญหาได้เก่ง อาจจะไม่ใช่คนที่เฉียบขาดแก้ปัญหาได้ไว แต่เขาจะคิดรอบคอบมาแล้วเสมอ เมคินทร์ที่นิสัยที่เรียกได้ว่าคนละขั้วจึงไม่กล้าที่จะให้คำแนะนำมากเท่าไร ยิ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างเรื่องครอบครัวด้วยแล้ว “มีอะไรให้กูช่วยก็บอกมาได้ตลอดเลยนะ” “ปิดข่าวให้มิดที” “ไปจนถึงเมื่อไรล่ะ” “นั่นสิ มึงว่าเมื่อไรดี” “มึงต้องไปฝากครรภ์ทุกเดือนไม่ใช่เหรอ หรือจะให้ต้นหอมไปคนเดียว” “รอบนี้กูคงยังต้องไป ต้องไปเจาะเลือดหาโรคแฝงจากฝั่งกู” “โควิดงี้เหรอ” “ธาลัสซีเมีย หรือเอดส์ หรืออะไรพวกนั้น โรคทางพันธุกรรมด้วย” “แล้วต้องตรวจโควิดไหม” “มึงเป็นอะไรกับโควิดนัก” “ก็แค่คิดภาพต้นหอม swab จมูกแล้วมัน...” เมคินทร์กลั้นขำ เขาเองเคยคุยกับเจ้าตัวอยู่สองสามครั้งจึงพอจะเข้าใจนิสัย “เสียงดังจนโรง’บาลแตกแน่ ๆ” “ต้องใช้คำว่าแหกปาก” กัษษภาคย์หัวเราะผสมโรง และนั่นทำให้เพื่อนสนิทจอมเว่อร์ส่งเสียงดังขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สาม “นี่มึงหัวเราะ!” เมคินทร์ทำหน้าเหมือนเห็นผี “คุณภาคย์ที่หน้านิ่งอย่างกับตึงโบหัวเราะในรอบกี่ปีเนี่ย ต้นหอมทำไข่เจียวก***าให้มึงหรือเปล่า” “เลิกพูดเรื่องไร้สาระเถอะ” ชายหนุ่มหุบยิ้ม “กูทำไงดี ต้องจัดการเรื่องไหนก่อน” “กูว่าเรื่องภายในสำคัญกว่า” “แม่สินะ” “อืม” “กูไม่คิดว่าแม่จะชอบเขาเลย” “และถ้าเป็นงั้น เขาก็คงจะไม่ชอบแม่มึงด้วย” “แต่จะให้ทำไง” “แล้วพ่อมึงล่ะ” “คงเหมือนกัน ไม่ชอบหรอก” อัลฟ่าหนุ่มถอนหายใจ “เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่มีทางยอมให้แต่งงานแน่ ๆ” “มึงคิดไปถึงเรื่องแต่งงานเลยเหรอ” “แล้วมึงคิดว่ากูยังจะกล้าไปแต่งกับใครคนอื่นอีกเหรอ กูมีลูกแล้วนะ แล้วกูก็ไม่ใช่คนที่จะแต่งคนหนึ่งแล้วเก็บคนอีกคนหนึ่งไว้ในเงาด้วย” “และต้นหอมคงไม่ยอม” “เรื่องนี้เขาอาจจะยอม” “หืม?” “ไม่รู้สิ กูว่าเขาอาจจะอยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD