Chapter 1
"มาพบใครคะ"
"คุณภาคย์"
"ภาคย์ไหนคะ"
"ภาคกลางมั้ง ดูจากเบ้าหน้าแล้วก็คงภูมิลำเนากรุงเทพ"
"ดิฉันหมายถึง... คุณภูริทัตหรือคุณกัษษภาคย์"
"คนที่สูง ๆ หล่อ ๆ เป็นอัลฟ่ากลิ่นเหมือนพิมเสนหวาน ๆ น่ะ อ่า... คุณเป็นเบต้าสินะ"
ต้นหอมได้แต่ถอนหายใจ เขาไม่อยากบอกใครว่ามาตามหาพ่อเด็ก เพราะดูแล้วก็คงเป็นข้ออ้างที่คนโปรไฟล์ดีแบบนั้นจะเจอบ่อย
"คุณภาคย์ที่เลขาฯ ชื่อคุณแอมป์" เขาพูดเพิ่มเมื่อถึงข้อมูลอีกอย่างขึ้นมาได้ ตอนนั้นพนักงานประชาสัมพันธ์ถึงได้เริ่มขยับตัวไปหยิบโทรศัพท์
"จะให้แจ้งว่าใครมาขอพบคะ"
"XIP"
"คะ?"
"เป็นโค้ดลับ พูด ๆ ไปเถอะครับ"
พนักงานประชาสัมพันธ์มีท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยอมกดโทรศัพท์ต่อสายให้ เธอป้องปากพูดอะไรบางอย่างกับปลายสายอย่างสุภาพและต้นหอมก็ไม่ลืมที่จะขยับปากแบบไร้เสียงเตือนเธอว่าอย่าลืมพูดโค้ดลับนั่น
เด็กหนุ่มทำงานในบาร์ลับที่ชื่อว่า XIP เทียบว่าเป็นขั้นกว่าของ VIP ก็ได้ เป็นบาร์ลับที่ไม่ได้ลึกลับจากสถานที่ แต่จากสมาชิก
เขาไม่รู้ว่าคนใหญ่คนโตคนไหนเป็นคนริเริ่มทำร้าน แต่การคัดกรองแขกค่อนข้างจะเข้มงวดราวกับกลัวจะมีลูกค้า ถ้าไม่ใช่นักธุรกิจระดับท็อปที่พูดชื่อแล้วไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก หรือนักการเมืองและลูกหลานปวงชนเชื้อเจ้าแล้วก็หมดสิทธิ์ใช้บริการ
ถ้าจะให้เล่าที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดก็คงกินเนื้อที่หลายย่อหน้า แต่จะไม่เล่าก็ไม่ได้ล่ะนะ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่รอให้คุณประชาสัมพันธ์นำเขาไปพบอัลฟ่าคนนั้นก็จะย้อนให้ฟังแล้วกัน
เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน…
หรืออาจจะเริ่มมาตั้งแต่สองปีก่อน ตอนที่เขาเริ่มเข้ามาทำงานยังบาร์แห่งนี้
ด้วยความที่บ้านไม่ได้มีฐานะและการทำงานส่งเสียตัวเองเรียนมันเหนื่อย เขาก็เลยลองเข้าสู่โลกมืด ทำงานบริการกะกลางคืนในบาร์ที่ได้ยินเพื่อนในที่ทำงานเก่าพูดถึง โชคดีที่หน้าตาดีและบุคลิกใช้ได้จึงผ่านการสัมภาษณ์ และเพราะด้วยวาทศิลป์หรือกลิ่นหอม ๆ ของตนก็ไม่แน่ใจ แต่มันช่วยให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นบริกรแนวหน้าของบาร์ได้โดยไม่ต้องนอนกับแขก
ใช่ ต้นหอมไม่ขาย แม้ว่าในบาร์จะมีเด็กขายอยู่ด้วยก็ตาม
ก็ไม่ใช่ว่ารักนวลสงวนตัวอะไรหรอก แค่ทำไม่เป็น แล้วก็กลัวจะโดนเอาไปนินทาว่าท่าทางแซ่บซ่าที่แสดงออกมาตลอดเป็นเพียงการแสดงที่จำมาจากคนอื่นเท่านั้น
แต่นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง นับประสาอะไรกับคนที่ใช้ชีวิตเลื่อนลอยไปวัน ๆ อย่างเขากัน
ในวันจบการศึกษา วันสุดท้ายของการสอบจบปีสี่ พี่ ๆ ในร้านก็ดันหลัง ส่งเขาไปดูแลแขก VVVIP ที่ต้นหอมเจอหน้านับครั้งได้ รู้มาว่าเขาจ่ายค่าสมาชิกตลอดไม่เคยขาดทั้งที่แทบจะไม่มาใช้บริการ แต่มาทีก็ทิปหนักจนเป็นที่โจษจัน แม้จะค่อนข้างมีรังสีอันตรายออกมาแต่หลาย ๆ คนก็ยอมแลกอยู่ดี
และโอกาสของคนหิวเงินก็มาถึง ต้นหอมไม่ลังเลเลยที่จะเซย์เยส ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาตั้งใจยึดงานที่นี่เป็นงานประจำ ไม่อยากออกไปร่อนใบสมัครเพื่อเป็นพนักงานออฟฟิศอีกแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ จากทิปหลักหมื่นที่ฝันดันได้เจ้าก้อนแป้ง เม็ดเกาลัด หรือ whatever it is มาอยู่ในพุงสามชั้นของตัวเอง
“คุณคะ คุณภาคย์ให้ขึ้นไปพบได้แล้วค่ะ”
“ชั้นไหนครับ”
“เดี๋ยวดิฉันพาไปค่ะ”
ต้นหอมเดินตามหลังหญิงสาว ถามว่าประหม่าไหมก็ประหม่า แต่จะไม่ให้บอกพ่อเด็กได้ยังไงในเมื่อหมอก็เพิ่งบอกเขาไปว่ามันต้องมาฝากครรภ์พร้อมสามี
“เชิญค่ะ”
ภวังค์ความคิดถูกขัดเมื่อเดินทางมาถึงยังห้องผู้บริหาร หลังบานประตูไม้กว้างนี้คงเป็นห้องชี้ชะตาเขาสินะ
“ผมท้องกับคุณ”
ต้นหอมพูดออกไปทันทีที่บานประตูด้านหลังปิดลงและในห้องไม่มีใครอื่น
“ว่าไงนะ”
“พี่เปรมต้องบอกคุณแล้วแน่ ๆ ไม่งั้นคุณไม่ยอมให้ผมขึ้นมาหาง่าย ๆ หรอก” เด็กหนุ่มกอดอกอย่างเป็นต่อ เขาค่อนข้างเชื่อมั่นในความคิดของตน และรอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้าก็เป็นเครื่องยืนยัน
ทว่าคำพูดต่อมาก็ทำเอาเขาหัวร้อนขึ้นมาอีกรอบ
"เราทั้งคู่ยังไม่พร้อมจะมารับผิดชอบชีวิตใครหรอก ไปเอาเขาออกเถอะ"
"ดูแลพนักงานเป็นพันได้แต่เด็กคนเดียวดูแลไม่ได้ว่างั้น?"
"นายเองก็ทำงานดูแลแขกมาเป็นร้อย ก็ดูแลเขาต่อไปไม่ได้หรือไง"
"คุณแน่ใจนะว่าจะรอให้ผมคลอดเขาออกมาก่อนแล้วค่อยมาทวงสิทธิ์น่ะ ทำด้วยกันก็ต้องรับผิดชอบด้วยกันสิวะ" เด็กหนุ่มว่าด้วยอารมณ์ฉุน
"ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นลูกฉันจริง ๆ"
"พี่เปรมไม่ได้บอกคุณหรือไงว่าผมไม่ขายน่ะ"
"ทำงานที่แบบนั้น... ใครจะเชื่อ"
"งั้นก็ตรวจดีเอ็นเอกันไปเลย กล้าไหมล่ะ ถ้าคุณไม่ไปติดสินบนโรงพยาบาลหรือพยายามตุกติกอะไรมันไม่มีทางเป็นลูกคนอื่นแน่"
"ฉันจะเชื่อไปก่อนก็ได้"
"ดี" ต้นหอมพยักหน้า “แล้วสรุปจะยังไง"
"ดูนายอยากเก็บเขาไว้มากนะ"
"ก็ต้องเก็บไว้สิ ตัวประกันน่ะ" รู้สึกได้ถึงรสขมบางอย่างในใจขณะพูดออกไป แต่หากคิดตามความเป็นจริงแล้วจะมีอะไรสำคัญต่อการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งไปมากกว่าเงินอีก
"เหอะ" กัษษภาคย์แค่นหัวเราะ "จะเอาเท่าไรว่ามา"
"งั้นเรามาทำข้อตกลงกัน..." คนพูดเม้มปาก แม้จะเป็นบทที่เตรียมมาจากบ้านแต่มันก็อดรู้สึกแปลกยามต้องพูดออกไปจริง ๆ ไม่ได้ “ผมเลี้ยงเขาด้วยใจ ส่วนคุณเลี้ยงเขาด้วยเงิน ดีลไหม? ถ้าไม่ผมจะไปฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดู เอาให้เป็นข่าวใหญ่โตจนคุณเดินผ่านฮวงซุ้ยของตระกูลไม่ได้เลย”
คำพูดคำจาฉะฉานมั่นใจแต่สองมือกลับสั่นน้อย ๆ ทำเอาอัลฟ่าลอบหัวเราะในใจ
เขายังจำภาพคนขี้ยั่วในร้านที่ใส่เพียงเสื้อผ้าซาตินบาง ๆ กับกางเกงสกินนี่แนบเนื้อได้ ตอนอยู่ในห้องส่วนตัวก็พร่ำบอกคำหวานเอาใจสลับกับเชียร์ให้ดื่ม คงกะว่าถ้าเขาเมาจะทิปหนัก แต่สุดท้ายตัวเองก็เมาเอง ตัวเหลวแทบจะไหลไปกองกับพื้น ไม่ได้ระวังตัวเลยสักนิด ยังดีที่มีปลอกคอแบบล็อกรหัสกันไว้ ไม่อย่างนั้นเรื่องคงบานปลายกว่านี้
กัษษภาคย์ไม่ใช่คนเที่ยวบ่อย แต่เวลางานก็จริงจังมากจนต้องมีสถานที่ผ่อนคลายที่ปลอดภัย เขาแวะไปบาร์นั่นปีละไม่กี่ครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการปลดปล่อยตัวเองจากความเครียดจริง ๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ไปเยือน
วันนั้นเป็นวันที่เพิ่งจัดการแก้ปัญหาเรื้อรังของการปั่นหุ้นกันเองในวงในผู้บริหารได้ เขาแตกหักกับผู้ใหญ่เก่าแก่ไปหลายคน ชื่อเสียงและเครดิตต่าง ๆ ยอมรับว่าก็คงมีสั่นคลอนหลังจากนั้น แต่อะไรสักอย่างกลับดลใจให้มาพักยังที่แห่งนี้
เขาไม่เคยนอนกับใครที่นี่ แต่ก็รู้ว่ามีบริการอย่างว่า วันนั้นถึงได้หิ้วโอเมก้าน้อยขึ้นห้อง คนเมาแต่ปากดียังคงพูดจาน่าตีใส่หูเขาตลอดทาง แต่พอลงสนามจริงกลับบื้อใบ้ จับนิดจับหน่อยก็ร้องเจ็บ ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำเมาบวกกับความอยากเอาชนะ เชื่อว่าเขาคงรำคาญจนได้โยนคนแก่แดดออกนอกห้องแน่ ๆ
แต่มาคิดเอาตอนนี้ก็ย้อนเวลาอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ
“คุณกำลังคิดเลขในใจเหรอ บอกก่อนว่าผมจะไม่ฟิกซ์ตัวเลขรายเดือนไว้หรอกนะ ใช้เท่าไรเบิกเท่านั้น ตามจริง”
“เดี๋ยวฉันจะมีประชุม ไว้เราค่อยมาคุยกัน นายก็ลิสต์มาแล้วกันว่าแต่ละเดือนจะประมาณเท่าไร”
กัษษภาคย์ลุกขึ้นเตรียมตัว เขาปล่อยให้เรื่องส่วนตัวมาปนกับงานไม่ได้
“เฮ้ จะไปแล้วเหรอ”
“มีอะไร”
“ขอรหัส wifi ด้วย”
“อะไรนะ” คนฟังขมวดคิ้ว
“ก็ต้องเสิร์ชเน็ตไง หาข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงเด็กน่ะ ผมไม่ยอมเปลืองเน็ตตัวเองหรอกนะ แค่วันนี้ใช้เปิดแม็ปมาที่นี่ก็หายไปหลายเม็กแล้ว”
“งกขนาดนี้มีเงินเป็นพันล้านหรือยัง” พูดบ่นแต่ก็กลับไปหยิบกระดาษโน้ตที่มีชื่อไวไฟพร้อมรหัสบนโต๊ะมาส่งให้
“อยู่ในนี้ดี ๆ อย่าไปซนที่ไหน ห้องน้ำอยู่ตรงโน้น อย่าให้เห็นว่ากลับมาแล้วของชิ้นไหนเปลี่ยนที่” กัษษภาคย์ร่ายยาวแต่ใจความสำคัญแล้วก็เดินออกจากห้องปิดประตูใส่หน้าเขา ถึงจะไม่ได้เสียงดังปึงปังก็เถอะแต่มารยาทแบบนี้เป็นผู้บริหารได้ไงก่อน
“ของว่างล่ะ! คุณไม่เสิร์ฟอะไรให้แขกเลยหรือไง!”
“ผมบอกให้คุณเอายาคุมฉุกเฉินไปให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอ” กัษษภาคย์กระซิบลอดไรฟันกับเลขาฯ ขณะสืบเท้าไปยังห้องประชุม
“ผมให้แล้วครับ ซื้อไปสองยี่ห้อเลย”
“แล้วเขากินไหม”
“ผมก็ไม่ทราบ… พอดีฝากไว้กับคุณเปรมน่ะครับ คุณเปรมไม่ยอมบอกที่อยู่เขา”
ผู้บริหารหนุ่มไม่ว่าอะไรอีก เขาลอบถอนหายใจกับตัวเอง อย่างที่คนตัวเล็กบอก มันเป็นความผิดของเขาด้วยส่วนหนึ่ง แต่เพราะคิดว่าพวกเด็กขายทั่วไปก็ต้องมีวิธีป้องกันตัวเองอยู่แล้วจึงไม่ได้คิดเยอะ
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาราวสองเดือนที่เขาไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นอีก แต่บัตรเครดิตก็ยังถูกหักค่าสมาชิกเรือนหมื่นออกไปอย่างสม่ำเสมอ กัษษภาคย์ไม่คิดมาก เขาไม่ได้มีงานอดิเรกอื่น นอกจากเรื่องงานแล้วก็มีแค่สิ่งที่เท่านั้นเป็นเรื่องผ่อนคลาย
จริงอย่างที่เด็กคนนั้นว่า เมื่อวานผู้จัดการร้านอย่างเปรมติดต่อเขามาแล้ว ได้ถ่ายรูปใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลที่เชื่อถือได้มาให้ดูด้วย ตัวอ่อนในครรภ์อายุแปดสัปดาห์ เริ่มออกอาการแผลงฤทธิ์ให้เจ้าของครรภ์แพ้ท้องจนเป็นลมขณะทำงาน ตอนนั้นเองเจ้าตัวถึงได้ไปตรวจและพบเข้ากับความจริงข้อนี้
ก่อนเข้าที่ประชุมกัษษภาคย์จึงย้ำกับเลขาฯ อีกครั้งว่าเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องนี้โดยเฉพาะพ่อกับแม่ แอมป์รับปากดิบดีว่าจะจัดการให้เขาจึงวางใจ สามารถโฟกัสกับการประชุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทว่าพอกลับห้องทำงานมา แทนที่จะได้เจอร่างเล็กนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเล่นโทรศัพท์ กลับมีเสียงโอ้กอ้ากออกมาจากห้องน้ำในตัวแทน กัษษภาคย์ไม่ต้องเสียเวลาคิด เขาผลักประตูเข้าไปดูทันที
“นี่นาย…”
“อุแหวะ”
เสียงคนท้องอาเจียนดังมาเป็นระยะจนต้องเสใบหน้าหนีภาพไม่น่ามอง แต่แล้วสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นสภาพยาสีฟันหลอดใหม่ถูกบีบจนบี้ เลยอดไม่ได้ต้องสั่งสอนคนที่แอบใช้ของของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
“นี่นายแปรงฟันเหรอ ใช้แปรงฉัน?”
“ผมเปล่าแปรง” ต้นหอมว่าหลังกดชักโครก “ผมกิน”
“อะไรนะ”
“ก็ท้องว่างแล้วมันอยากอ้วกนี่!” คนตรงหน้ายืนขึ้นอย่างรวดเร็วจนเซไปชนกำแพง “ก็คุณไม่มีของว่างมาให้ แถมผมก็ไม่กล้าดื่มหรอกนะ น้ำประปาประเทศนี้น่ะ”
“ก็เลยกินยาสีฟัน”
“มันกินได้ไม่ใช่เหรอ เขาต้องทำมาเผื่อมันไหลลงคออยู่แล้ว”
“จะกินอะไรก็นึกถึงความปลอดภัยของเด็กในท้องบ้างสิ”
“แหม เมื่อกี้ยังบอกให้เอาออกอยู่เลย” ต้นหอมยิ้มประชด “แต่ว่าผมหิวจริง ๆ นะ คุกก้งคุกกี้หรือนมก็ได้ มีไหม”
กัษษภาคย์กำหมัดกับความหน้าไม่อายนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาต้องการพูดจาตกลงกันให้จบภายในวันนี้ ถ้าอีกคนมัวแต่ไปอาเจียนก็คงไม่ได้งานได้การ
“รออยู่นี่”
ร่างสูงออกไปสั่งเลขาฯ ไม่นานก็ได้คุกกี้หนึ่งแถวพร้อมขนมขบเคี้ยวอีกหลายซอง คนมองตาวาวใหญ่ก่อนจะแกะมันฝรั่งทอดรสลาบออกมาทานเป็นอย่างแรก
“สรุปจะใช้เดือนละเท่าไร” กัษษภาคย์ถามเข้าประเด็นเมื่อหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟากันทั้งคู่
“ไม่รู้ ก็บอกแล้วว่าตามจริง” ต้นหอมเว้นวรรค “เขาบอกว่าคนท้องจะกินจุขึ้น และเพื่อความปลอดภัยผมคงเลิกโหนรถเมล์นั่งมอ'ไซค์ เปลี่ยนไปนั่งแท็กซี่ไปทำงานแทน คุณโอเคไหม”
“ยังจะไปทำงานอีกเหรอ”
“ไม่ทำแล้วจะเอาอะไรกินเล่า พูดอย่างกับคุณจะมาเลี้ยง” โอเมก้าเลียนิ้วที่เปื้อนขนมก่อนพูดต่อ “ผมรู้สถานะตัวเองหรอก พอคลอดลูกแล้วก็คงอยู่ให้นมสักพัก แล้วเดี๋ยวก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองเถอะ อ้อ แต่ขอฝากลูกไว้กับคุณนะ คุณคงให้คุณภาพชีวิตที่ดีกับเขาได้”
“...”
“ผมไม่กลับมาเรียกร้องอะไรตอนเขาโตหรอกน่า ให้เขียนสัญญาเลยก็ได้”
“กินขนาดนั้นไม่ได้กินข้าวเที่ยงมาหรือไง” คนแก่กว่าเปลี่ยนเรื่อง
“กินแล้วแต่มันไม่อิ่ม”
“งั้นก็ออกไปข้างนอกกัน”
“ไปไหน”
“ไปกินข้าวไง”
“กินแถวนี้ได้ไหม” ต้นหอมกะพริบตาปริบ “ไปไกลเดี๋ยวกลับบ้านไม่ถูก”
สุดท้ายแล้วคุณกัษษภาคย์ก็ต้องรับหน้าที่สารถีพาคนที่ขับรถไม่เป็นมาทานอาหารตอนบ่ายสาม เขาเลือกร้านอาหารไทยที่มาทานบ่อย ๆ กับคู่ค้า เปิดห้องส่วนตัวอย่างเก่าและรีบพาคนตัวเล็กเดินเข้าไป
“อยากกินอะไร”
“กะเพราหมู ไม่ใส่ถั่วฝักยาว ไม่ใส่เห็ด ไม่ใส่ข้าวโพด ไม่ใส่แคร์รอต”
“นี่หิวจริง ๆ ใช่ไหม” กดแท็บเล็ตสั่งกับข้าวไปอีกสองสามอย่างก่อนหันมาถาม “น้ำล่ะ”
“น้ำเปล่าไม่เย็น”
“ปกติกินแบบนี้อยู่แล้วเหรอ” ชายหนุ่มถามเพราะคิดว่าอีกฝ่ายห่วงลูกในท้องเลยเลิกดื่มน้ำเย็น
“ครับ ที่บ้านไม่มีตู้เย็น พอโตมาก็ไม่ชินกับการกินน้ำเย็นแล้ว”
ไม่มีตู้เย็น?
เกือบหลุดพูดความสงสัยไปแล้วแต่ก็ยั้งปากไว้ทัน ที่เคยคิดว่าเจ้าตัวก็คงมีชีวิตลำบากนั่น เอาเข้าจริงอาจจะลำบากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
“สรุปจะเอาเท่าไร” ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าร่างเล็กทานอาหารไปได้สักพัก
“ปกติผมได้เงินเดือนบวกทิปเดือนละประมาณสามหมื่น แต่ถ้าหยุดไปช่วงที่แพ้ท้อง… ไม่สิ อาจจะยังไปทำงานครัวได้ แต่รายได้ก็คงหายไปหลักหมื่นนะ แถมอยู่ห้องนานขึ้นก็ต้องเสียค่าไฟเพิ่มด้วย…”
“นายมาอยู่กับฉัน”
“ฮะ?”
“ฉันจะได้แน่ใจว่านายไม่แอบไปรับทิปจากใครในขณะที่ก็รับเงินจากฉัน”
“อ้อ” ต้นหอมพยักหน้ากับตนเอง “แต่ผมต้องแจ้งหอก่อนหนึ่งเดือนก่อนย้ายออก ไม่งั้นเขาจะคิดค่าเช่นเดือนนี้ไปเลยฟรี ๆ”
“แพงเหรอ ค่าห้อง”
“แพงสิครับ เดือนละตั้งห้าพันแน่ะ พอไม่ใช่หอนักศึกษาแล้วก็ราคาพุ่งเลย แต่ก็นะ เป็นโอเมก้าก็ต้องเลือกที่การรักษาความปลอดภัยดี ๆ หน่อย”
กัษษภาคย์มองคนที่พูดเจื้อยแจ้วทั้งที่ปากยังเลอะคราบซอสไก่ผัดเม็ดมะม่วงด้วยความรู้สึกหลากหลาย สมัยเรียนก่อนจะซื้อห้องหับเป็นของตัวเองเขาเคยอยู่คอนโดฯ สำหรับให้เช่ามาบ้าง ซึ่งสนนราคาก็อยู่ประมาณเดือนละสามถึงสี่หมื่นบาท พอมาเจอคนที่บอกว่าห้องราคาห้าพันแพงเลยไปไม่เป็น
ในทีแรกที่ผู้จัดการบาร์ติดต่อเขาและย้ำว่าต้นหอมไม่ใช่คนแบบที่เขาคิด เขาก็ยังคิดว่ามันเป็นคำพูดที่คนเป็นเจ้านายจะใช้ปกป้องลูกน้อง แต่เมื่อได้มาเจอกับตัวจึงเข้าใจ
เขาเถรตรงเรื่องเงินเสียจนชายหนุ่มคิดหนัก
ถ้าไม่ใช่เพราะรวยจนไม่ต้องกลัวขาดทุน ก็ต้องเคยอยู่ในจุดที่จนมากจนไม่กล้าเอาเปรียบใคร
และเขาไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่ามันเป็นเพราะเหตุผลไหน
“เดี๋ยววันนี้ไปเก็บของซะ ค่าหอเดือนนี้ฉันจะจ่ายให้”
“คุณจะให้ผมย้ายเข้าบ้านวันนี้เลยเหรอ พ่อแม่คุณไม่ช็อกตายหรือไง”
“ฉันอยู่คอนโดฯ”
“อ้อ ดีเลย ผมก็ไม่ชินกับบ้านใหญ่ ๆ” พูดติดตลกขณะซดต้มยำกุ้งเข้าปาก “คุณไม่กินเหรอ ต้มยำอร่อยมาก ว่าแต่รู้มาก่อนหรือเปล่าว่าผมชอบต้มยำกุ้งน้ำข้น”
“ไม่”
“นั่นสินะ จะไปรู้ได้ไง เพราะคนที่รู้ก็ตายหมดแล้ว”
“อะไรนะ”
“อ้อ ไม่มีอะไร”
“พูด”
“ทำไมต้องดุ” คนเด็กกว่าชะงักมือที่กำลังจะตักข้าว สุดท้ายก็ต้องวางมือลงบนตักแล้วเริ่มเล่าเรื่องตัวเอง “ไม่ได้จะเรียกร้องความเห็นใจหรอกนะ แต่คนที่รู้ว่าผมชอบกินกุ้งก็มีแค่ตากับยาย แต่ก็ตายหมดแล้วจริง ๆ”
“...”
“อยากรู้อะไรอีกไหม”
“พ่อแม่นายล่ะ”
“ไม่มีหรอก หวังว่าจะตายแล้วเหมือนกัน”
“ทำไมพูดอย่างนั้น”
“ทำไมพูดอย่างนั้น? เหอะ ถามมาได้” ต้นหอมหน้างอ “เขาทิ้งผมไว้ให้ตากับยายแก่ ๆ ที่ต่างจังหวัด บ้านยังเป็นแค่กระท่อมอยู่เลย คนใจร้ายขนาดนั้นก็ตาย ๆ ไปเถอะ ไม่อยากรู้จักหรอก”
“...”
“แล้วเรื่องงานผมล่ะ จะยังไง ให้ทำไหม แล้วถ้าไม่ให้ทำจะจ่ายยังไง ผมยังต้องจ่ายหนี้ที่กู้มาเรียนนะ มีแบบนอกระบบด้วย”
“นอกระบบเหรอ”
“ยายยืมเจ้านายมาให้น่ะ ก็ใช้คืนเรื่อย ๆ ความจริงเขาจะยกหนี้ให้ตั้งแต่ตอนยายตายแล้วแต่ผมเกรงใจ อุตส่าห์มาเป็นเจ้าภาพงานศพให้”
กัษษภาคย์ส่ง
ทิชชูให้คนที่น้ำตาไหลลงมาเงียบ ๆ อีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายหรือขอคะแนนสงสารอย่างที่พูด แต่เพราะเป็นแบบนั้นมันยิ่งน่าสงสารไม่ใช่เหรอ
“ก็เอาไปเดือนละสามหมื่นอย่างที่เคยได้ ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนของลูกฉันจะรับผิดชอบทั้งหมด”
“แล้วเรื่องงาน?”
“อยากจะทำอะไรขนาดนั้น ไม่อายหรือไง แบกท้องโต ๆ ไปทำงาน”
“แล้วผมมีทางเลือกเหรอ ไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนใช้หลังเลิกกับคุณล่ะ อีกอย่างงานเอกสารงานครัวหลังร้านมันก็มี เดี๋ยวพี่เปรมก็สอนเองแหละ”
“แล้วไม่กลัวลูกเกิดมาจะอายเหรอ มีแม่ทำงานแบบนี้”
“งานแบบนี้มันทำไม ก็เหมือนพริตตี้ไม่จำเป็นต้องขายตัวทุกคนนั่นแหละ แต่ต่อให้ขายแล้วมันจะทำไมอีก คุณคิดว่าชีวิตคนเรามันมีทางเลือกมากนักหรือไง เรื่องบางอย่างมันรอให้เรียนจบเอาวุฒิแล้วค่อยไปสมัครงาน มันไม่ทันหรอกนะ”
“...”
“อีกอย่างนะ คุณน่ะไม่ได้นอนกับผมเป็นคนแรกหรอกใช่ไหม แต่ผมน่ะนอนกับคุณเป็นคนแรก อย่างน้อยก็สอนลูกให้รักนวลสงวนตัวได้แหละน่า”
กัษษภาคย์รู้สึกได้ถึงเส้นเลือดในขมับที่เต้นตุบ คนอะไรเถียงคำไม่ตกฟาก ไม่มีความเคารพผู้อาวุโส ภาพคนพะเน้าพะนอในคืนนั้นเลือนลางในความทรงจำเข้าไปทุกที ตรงหน้าเขาเหมือนเด็กแก่แดดคนหนึ่งที่อายุไม่น่าจะเกินม.ปลาย
“นายอายุเท่าไร”
“ยี่สิบสอง”
“ฉันยี่สิบหก”
“อ่าฮะ”
“ไม่คิดจะเคารพกันหน่อยเหรอ”
“คุณอยากให้ผมเรียกว่าพี่ภาคย์เหรอ”
“ไม่ใช่”
“เห็นไหม ไม่มีประโยชน์ที่จะรู้อายุกัน” ต้นหอมหัวเราะ “รู้แค่เรื่องที่จำเป็นก็พอ เกิดผมตกหลุมรักคุณขึ้นมาทำไง”
TBC