Chapter 6

3495 Words
ต่อให้เข้านอนแต่หัวค่ำแค่ไหน วันรุ่งขึ้นนาฬิกาภายในร่างกายก็จะพาให้โอเมก้าท้องอ่อนตื่นขึ้นมาในช่วงหลังเก้าโมงเสมอ แน่นอนว่าถ้าตื่นตอนนั้นกัษษภาคย์จะไม่สามารถไปทำงานตรงเวลาได้ เขาถึงต้องเข้ามาปลุกคนเด็กกว่าตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี แต่ทำอย่างไรเจ้าตัวดื้อก็ไม่ยอมตื่น พูดให้ถูกคือตื่นแล้วแต่ไม่ยอมลุก “ง่วง ยังเช้าอยู่เลย” ต้นหอมหลับตา กอดผ้าห่มไว้แน่น แถมยังพยายามจะถีบเขาออกจากรังของตน “เดี๋ยวไปนอนต่อในรถก็ได้” “ไม่เอา ไม่สบาย” “หอม” “...” “ต้นหอม” “ไม่ต้องมาเรียกชื่อเลย” ต้นหอมพลิกตัวหันหลังจนกัษษภาคย์ต้องถอนหายใจออกมา “ไม่ไปก็ได้ แต่ถ้าอ้วกจนทนไม่ไหวต้องโทรบอกฉัน เข้าใจไหม” “อืม” ฟังดูก็รู้ว่าตอบรับส่ง ๆ แต่เขาไม่มีเวลาแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าระหว่างที่เขาอาบน้ำแต่งตัวและทานข้าวเช้า อีกฝ่ายอาจจะมีอารมณ์อยากลุกขึ้นมาบ้าง แต่พระเจ้าคงไม่ได้ยินคำขอของเขา กลับเข้าไปอีกรอบร่างเพรียวก็ยังนอนหลับอุตุ กอดก่ายตุ๊กตาฉลามต่างหมอนข้างเอาไว้แน่นราวกับว่าตุ๊กตาตัวนั้นมีกลิ่นของเขาอยู่ อัลฟ่าหนุ่มก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ไปก่อน เขารู้สึกเซ็งนิดหน่อย เพราะอุตส่าห์หว่านล้อมจนทำให้คนเป็นพ่อยอมฟัง แต่จะว่าต้นหอมผิดก็ไม่ได้ เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่ไม่ยอมบอกอีกฝ่ายให้ชัดเจน นิสัยที่ไม่ยอมเป็นลูกน้องใครพอมาเจอกับเขาที่เป็นเจ้านายคนมาทั้งชีวิตทำให้กัษษภาคย์ต้องปรับตัวขนานใหญ่ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อคนตัวเล็กไม่เคยคิดจะปรับตัวเลย คิดแต่ว่าคลอดลูกแล้วก็จะไป กัษษภาคย์คิดอย่างที่เคยพูดกับเพื่อนทุกอย่าง เขาทำใจไม่ได้หากจะไปแต่งงานกับใครใหม่ทั้งที่มีลูก ๆ รออยู่ที่บ้าน แม้จะยังไม่ได้มองต้นหอมในเชิงภรรยาที่สามารถรักใคร่กลมเกลียวกันได้ แต่ก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าที่แม่ของลูกได้อย่างดี เพราะเพียงการกระทำตามสัญชาตญาณที่แสดงออกมาให้เขาเห็นนั่นก็เพียงพอแล้ว ต้นหอมอาจไม่ได้สังเกตว่าตัวเองเปลี่ยนไปเท่าไร แต่ในฐานะคนที่คอยมองอยู่ตลอดย่อมมองเห็น ที่เคยเดินเหินลุกนั่งไม่ค่อยระวังก็เริ่มที่จะทำอะไรช้าลง ทานผลไม้สดเยอะขึ้นตามคำแนะนำของหมอ ลดการดื่มน้ำผลไม้สำเร็จรูปเพราะมันมีน้ำตาลสูงแม้ว่าตัวเองจะต้องทรมานกับการอาเจียน เขาไม่คิดว่าคนคิดน้อยแบบนั้นจะเริ่มทำสิ่งเหล่านี้เพื่อสุขภาพของตัวเองอย่างเดียวแน่ ๆ ชายหนุ่มคอยสังเกตแจ้งเตือนโทรศัพท์เป็นระยะ อีกไม่นานเขาจะต้องเข้าประชุมกับผู้จัดการโรงงานสาขาต่างจังหวัด ถึงจะเป็นการวิดีโอทางไกลแต่ก็ต้องการสมาธิ เพราะอย่างนั้นหากต้นหอมจะมีปัญหาอะไรก็อยากให้โทรมาหากันตอนนี้เลย และก็เหมือนกับครั้งนี้เสียงเขาจะส่งถึงสวรรค์ สมาร์ตโฟนบนโต๊ะสั่นแค่ไม่กี่ครั้งชายหนุ่มก็กดรับ เสียงปลายสายฟังดูตื่นตระหนกทำให้เขาขมวดคิ้ว แต่เนื้อหาที่ได้ยินตามมาก็ทำให้หลุดยิ้มบาง “คุณ! มีใครก็ไม่รู้บอกว่าเป็นแม่บ้าน จะเข้ามาทำความสะอาด” “ก็ให้เขาเข้ามาสิ” “แต่เขาไม่ใช่ป้ามลนะ เป็นคนสาว ๆ หรือว่าคุณแอบไปมีใคร” “ฉันจ้างบริษัททำความสะอาดให้จัดพนักงานมาให้ เขาไม่ได้ส่งคนเดิมมาตลอดหรอก” “อ้าวเหรอ ก็เห็นว่าที่ผ่านมาเป็นป้ามลนี่” ได้ยินเสียงตะกุกตะกักจากปลายสาย “งั้นผมไปละ แค่นี้นะ” หลังวางสายแล้วต้นหอมก็ยอมเปิดประตูห้อง เขายิ้มแหย ๆ ให้อีกฝ่ายก่อนจะยกน้ำมาให้แก้เก้อ ทว่าอีกคนก็ปฏิเสธพัลวัน บอกให้เขาไปนอนรอในห้องหรือออกไปนั่งเล่นยังสระว่ายน้ำส่วนกลางของคอนโดฯ เพื่อรอ แต่ต้นหอมก็เลือกที่จะนอนเล่นโทรศัพท์ในห้องนอนเย็น ๆ มากกว่าจะออกไปรับลมผสมมลพิษข้างนอก เขามีเจ้าตัวเล็กที่เสี่ยงจะน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์เพราะต้องแบ่งสารอาหารกัน เพราะฉะนั้นจะไม่รับสารอันตรายเข้าตัวเพิ่มเด็ดขาด ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่ตื่นมาอีกทีเพราะความรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเขาก็ออกมาด้านนอกแต่ไม่พบใครแล้ว นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบบ่ายสามโมง มีความรู้สึกอยากกินขนมขึ้นมาแต่กินคนเดียวไม่สนุก ก็เลยลองต่อสายหาพี่ชายคนสนิท รอบแรกอีกฝ่ายไม่ยอมรับ แต่เขาก็โทรซ้ำอีกรอบ “มึงเป็นไร โทษที ตะกี้กู…” น้ำเสียงร้อนรนทำให้เขาต้องรีบพูดแทรก “ไม่ได้เป็นไร จะชวนมากินข้าวกัน” “เหงาล่ะสิ ผัวไปทำงาน” เปรมถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเรื่องด่วน “เออก็เหงา แต่ไม่ใช่ผัว” “เออ ๆ แต่อยู่ได้ถึงแค่ห้าโมงนะ” “อยากกินเค้บซี วิงซ์แซ่บกับมันบด” “สั่งกูเป็นแกร็บเลยไอ้เด็กนี่” เปรมถอนหายใจ “เอาโค้กไหม” “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวลูกหนาว” “ไอ้ควาย” “รีบมานะพี่ เดี๋ยวบอกยามข้างล่างไว้ให้” สองขาพาตัวเองไปเปิดตู้เย็น เวฟซุปอ่อน ๆ มาทานรองท้องอยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงออด เขาลุกไปเปิดให้ และก็ต้องตกใจที่พบกับแขกเหนือความคาดหมายอีกสองคน “อีแจน! อีมิว!” “ทำไมว่าที่คุณแม่หยาบคายจัง” รุ่นน้องอย่างมิวโผเข้ากอดเขาก่อนใคร “แล้วมึงไม่อยากกอดกูบ้างเหรอ” เขาหันไปหาแจน เพื่อนไม่กี่คนในที่ทำงาน “ไม่ค่ะ กูงอน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกกัน” พูดจบก็เดินแทรกตัวเข้าห้องไป แต่ต้นหอมไม่โกรธหรอก ความจริงที่ไม่ยอมเข้ามากอดกันอาจเป็นเพราะในวงแขนกำลังหอบสารพัดไก่ของเขาอยู่ก็ได้ “มา ๆ นั่งพื้นดีกว่า” ต้นหอมกวักมือเรียกทุกคนที่เอาแต่เดินสำรวจห้อง “พื้นมันเย็น มึงนั่งได้เหรอ” “เดี๋ยวหาเบาะรองก็ได้ นั่งโต๊ะเรียบร้อย ๆ พร้อมกินข้าวกับพวกมึงมันไม่ใช่ป่ะ” “แต่ท้องมึงนูนแล้วนะ” แจนยังคงเป็นห่วง “ไม่งั้นนั่งตรงนั้น มึงนั่งพิงโซฟาไป” “ก็ได้ ๆ” และก่อนที่เขาจะได้เข้าไปช่วย ผู้หญิงหนึ่งเดียวในที่นี้ก็ลากโต๊ะเตี้ยหน้าทีวีออกพร้อม ๆ กับลากเสื่อโยคะที่กลายเป็นเสื่อสารพัดนึกมาวางรองให้ “ขอบคุณ” “กูก็นึกว่ามึงไปได้งานที่ไหนไกล ไม่กลับมาเยี่ยมกันเลย” แจนบ่นกระปอดกระแปดขณะที่ไก่ค่อย ๆ ถูกยกมาเสิร์ฟโดยฝีมือพี่เปรมกับมิว “พี่เปรมบอกว่างั้นเหรอ” “อืม เขาบอกมึงลาออกเพราะไปทำงานประจำ” “ก็ประจำจริงแหละ อ้วกเป็นประจำ” “เลยเหรอ” “แต่ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ทุกวันแล้ว” “ดีแล้ว” คนที่เหลือค่อย ๆ นั่งลง หลังมิวแจกจ่ายเครื่องดื่มให้กับทุกคนแล้วพวกเขาก็ยกแก้วแตะกันเหมือนกำลังดื่มแอลกอฮอล์ก่อนจะดูดกันไปคนละอึก มีแต่ต้นหอมที่ดูดหลายอึกหน่อยเพราะไม่ได้กินมานาน “โอ๊ย ซาบซ่าน” “ดีนะที่กูสั่งมาเผื่อ” เปรมว่า “ก็ตอนแรกมึงบอกไม่เอา เดี๋ยวลูกหนาว” “เออจริงด้วย” ว่าพลางยกมือลูบท้อง “แต่นาน ๆ ทีเนอะหนู ๆ เดี๋ยวเกิดมาก็ต้องกินเหมือนกัน” “ดีนะเนี่ยที่คุณภาคย์เขารับมึง เพราะกูจินตนาการมึงเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ออกเลย” “ทำไม” “ถามตัวเองเถอะค่ะอีหอม” “ฮ่า ๆ ๆ ๆ” หลังจากนั้นห้องกว้างก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย หัวเราะ และเสียงบทสนทนายิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อมิวหยิบเอาสำรับไพ่ขึ้นมาชวนทุกคนเล่น “ก็ว่า ทำไมต้องมาสี่คน” “ผมก็คิดถึงพี่ป่ะ” “เออ แล้วทำไมมาได้ ไม่เรียนเหรอ” “วันนี้ไม่มีเรียน” “เออ ดีละ นึกว่าโดด” “พอเป็นแม่คนก็เป็นคนดีขึ้นมาเชียวนะ” เพื่อนสาวว่า “กูก็ไม่เคยโดดเรียนมาทำงานเหอะ” พวกเขาคุยอะไรเรื่อยเปื่อยกันต่อไปสักพักคนเป็นเจ้านายก็ขอตัวกลับก่อนเนื่องจากใกล้เวลาเปิดร้าน แต่แน่นอนว่าด้วยลูกอ้อนของเขา แจนจึงยอมอยู่เป็นเพื่อนต่อและปล่อยให้คนอื่นไปทำงาน “ไปห้องนอนกัน” ต้นหอมว่าก่อนจะหาว “มึงจะกินแล้วนอนไม่ได้” “เอนหลังเฉย ๆ ได้เปล่า นอนตอนนี้มันบดคงไหลออกจากหูกู” “อีสัด จะอ้วก” “อ้าว ท้องเหมือนกันเหรอ” “อีหอม!” “อย่าเสียงดังซี่ เดี๋ยวเพื่อนบ้านด่า” เขาแกล้งยกนิ้วจุ๊ ๆ ใส่เพื่อน แต่พอเข้ามาในห้องนอนก็คิดได้ว่าบนเตียงของตัวเองมีแต่เสื้อผ้าของกัษษภาคย์เต็มไปหมด เลยลากกันออกมาแล้วตัดสินใจแอบใช้เตียงในห้องเล็กแทน เป็นครั้งแรกที่ต้นหอมได้พิจารณาห้องนอนอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ เพราะนอกจากเวลาที่ขอเข้ามานอนกอดกันแล้วก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในตอนกลางวันเลย “มึงแยกห้องนอนกันเหรอ” “แยกสิ” ตอบพลางมองไปรอบ ๆ โต๊ะหนังสือมีแฟ้มเอกสารอยู่สองสามแฟ้ม คงเพราะอีกฝ่ายหอบงานไปที่บริษัท นอกจากนั้นก็มีพวกลำโพงและสายชาร์จจิปาถะ นอกจากตู้เสื้อผ้าแล้วก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นใดอีก ต้นหอมหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงในขณะที่แจนลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานมานั่งเพราะเกรงใจเจ้าของห้อง เธอมองมาที่เพื่อนด้วยสายตาจริงจังปนเป็นห่วง ก่อนจะถามคำถามที่เขาไม่อยากตอบมากที่สุด “มีหวั่นไหวบ้างป่ะ” “ไม่” “ไม่เหลือ?” “อีห่า” ต้นหอมปาหมอนใส่เพื่อนอย่างแรง “แต่กูบอกเขาไปแล้วว่าอย่ามารู้สึกอะไรกับกู” “คือไงนะ” “ก็กูเริ่ม ๆ จะรู้สึกแล้ว แต่มันห้ามไม่ได้หรอก อยู่บ้านเดียวกันเจอกันทุกวัน ใจก็ดีแถมตัวยังหอมอีก กูก็เลยขอให้มันเป็นรักข้างเดียวไปเลย” “ฉลาดมาก” “ใช่ไหม” “กูประชด!” หญิงสาวเสยผมอย่างปลงตก “อีหอมนะอีหอม” “ก็จะให้ทำไง ไม่เคยมีใครมาใจดีกับกูนี่” “พี่เปรมก็ดีกับมึง” “กูจะอ้วก” “กูฟ้องพี่เปรมแน่” “แล้วแต่มึงเถอะจ้า อีลูกรัก” ต้นหอมเบะปากใส่เพื่อนก่อนจะถามคำถามใหม่ ขณะเอนหลังพิงหมอนอยู่ดี ๆ ก็นึกถึงวันเก่า ๆ ขึ้นมา “แล้วนี่ที่บาร์เป็นไงบ้าง” “ก็เหมือนเดิม แขกไม่น้อยลงเลย คนรวยนี่มันเวลาว่างเยอะดีเนอะ” “ถ้าไม่มีแขกสิแย่ ไม่งั้นมึงจะเอาเงินที่ไหนทำเล็บ” “ก็เกินไปไหมแหม” แจนแกระแอม “กูว่าจะเลิกขายแล้ว” “ทำไมอ่ะ หรือว่าเจอแขกเหี้ย” “เปล่า ๆ แค่เหมือนอิ่มตัว” เจ้าตัวโคลงศีรษะ “ไม่รู้ว่ะ เมื่อก่อนกู เอ็นจอยเซ็กซ์นะ แต่มันคงเยอะไปแล้ว ไม่มีอะไรสนุกแล้วอ่ะตอนนี้” “ก็ดีแล้ว พักบ้าง” “จริง พักให้ฟิต รอเจอผัวตัวจริงดีกว่า” “เหี้ยมาก” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็หัวเราะออกมา “เอาจริงกูห่วงมึงมาตลอดเลย ที่บาร์ไม่ค่อยมีผู้หญิงขาย คนแชร์งานมึงก็จะน้อย” “กูก็รับทรัพย์เต็ม ๆ ไงคะ” “แล้วจะทำไปจนถึงเมื่อไร คิดยัง” “รอหางานได้มั้ง แต่กูอยากทำฟรีแลนซ์ จะได้ทำงานนี้ได้ด้วย” “กูง่วงอ่ะ” อยู่ ๆ เพื่อนก็ตัดบทเสียอย่างนั้น “มึงจะไปดูทีวีข้างนอกก็ได้นะ” “คือมึงไล่กูอย่างงี้เลยเหรอ” “หรือมึงจะมาเฝ้ากูนอนล่ะ” “ค่ะ กลับก็ได้ค่ะ” “ไม่ส่งนะ” “มึงขี้เกียจมาตั้งนานแล้วหรือเพิ่งมาขี้เกียจตอนท้องเนี่ย” แจนบ่นทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้อง เช็กให้แน่ใจว่าประตูล็อกอัตโนมัติแล้วถึงลงลิฟต์มา เมื่อกัษษภาคย์กลับมาถึงห้อง สิ่งแรกที่ลอยเข้ามาในโสตประสาทก็คือกลิ่นอาหารจาง ๆ ในอากาศ แวบแรกยังคิดจะโทษพนักงานทำความสะอาดที่ทำห้องไม่เรียบร้อย แต่พอลองเดินสำรวจและพบว่าโซฟาและโต๊ะกลางห้องมีการเปลี่ยนที่เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังคนคนเดียวที่อยู่ห้องทั้งวัน ชายหนุ่มกดปิดเครื่องปรับอากาศก่อนจะเปิดประตูระเบียงเพื่อระบายลมออก เขาเดินเข้าห้องนอนใหญ่เตรียมบ่นแต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า หัวใจเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติและวิ่งไปยังห้องนอนอีกห้อง เมื่อพบคนที่ตามหานอนหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ กลิ่นหอมอ่อนของโอเมก้าลอยเอื่อย ๆ อยู่เต็มห้องไม่ได้มากพอให้รู้สึกปั่นป่วน มีแต่ความสบายใจและผ่อนคลายจากการทำงานมาทั้งวัน เขาย่อตัวลงนั่งบนเตียงข้างกัน ลูบหัวคนเด็กกว่าเบา ๆ เวลาหลับแบบนี้ก็เรียบร้อยดีอยู่หรอก แต่เวลาตื่นนี่สิ ทำตัวเหมือนพวกกระรอกดุ ๆ ที่ตัวเล็กแต่ก็กัดเจ็บ มือที่กำลังขยับเพลิน ๆ ชะงักลงเมื่อคนที่หลับอยู่พลิกกลับมา เอียงแก้มแนบชิดกับมือเขาทั้งที่ยังเปลือกตาปิดสนิท กัษษภาคย์ไม่แน่ใจนักว่าเขาควรปล่อยเอาไว้หรือชักมือกลับ แพขนตางอนยาวสีเข้มระใบหน้าราวผ่องส่งให้อีกฝ่ายดูบอบบางน่าทะนุถนอม แก้มที่อวบอูมขึ้นมาจากวันแรกที่เจอกันยิ่งทำให้ต้นหอมดูเป็นเจ้าแม่กระต่ายที่มีน้ำมีนวล ถ้าหากว่าเขาทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ กัษษภาคย์คงไม่ต้องมาอดทนอดกลั้นอยู่แบบนี้ ถอนหายใจออกมาเมื่อคิดว่าหนทางช่างยาวไกล เขารู้ว่าครอบครัวตัวเองคือก้างชิ้นใหญ่ แต่อย่างไรก็อยากจะแก้ปัญหาไปทีละขั้น ซึ่งด่านแรกก็คงไม่พ้นเจ้าคนที่เพิ่งบังคับขอให้เขาอย่ารู้สึกอะไรกับตัวเอง มันคงจะง่ายอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าหัวใจของเขาถูกจู่โจมมาก่อนตั้งนานแล้ว ต้นหอมตื่นขึ้นมาในที่สุดเมื่อรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำอีกครั้ง แต่พอลืมตามาแล้วเห็นว่ามีใครนอนมองอยู่ก็สะดุ้ง ขยับถอยห่างจนกัษษภาคย์ต้องรั้งเอาไว้กันตกเตียง “ตกใจอะไรขนาดนั้น ทำหมือนไม่เคยนอนด้วยกัน” “เคยแล้วตกใจไม่ได้หรือไง” ต้นหอมสะบัดผ้าห่มออกเตรียมลุกไปเข้าห้องน้ำ “ไปห้องน้ำเหรอ” กัษษภาคย์รีบตามมาประคอง “เดินดี ๆ เพิ่งตื่น เดี๋ยวหน้ามืดไป” “คุณเป็นอะไรเนี่ยวันนี้” ต้นหอมถามอีกฝ่ายอย่างกังวล เขาก็ลืมกำชับแจนว่าห้ามบอกเรื่องความหวั่นไหวกับพี่เปรม ดีไม่ดีถ้าพี่เปรมรู้อาจจะรีบมาบอกคุณภาคย์เลยก็ได้ อีกฝ่ายยิ่งดูอยากให้พวกเขาได้กันอยู่ “เป็นอะไรคืออะไร ฉันก็ปกติ” อัลฟ่าขมวดคิ้ว “งั้นก็แล้วไป คิดว่าไปได้ยินอะไรแปลก ๆ มา” “ไม่มีอะไรแปลกเท่ามีคนมาขอว่าอย่าชอบกลับแล้วล่ะ” “นี่!” สองเท้าเดินปึงปังออกจากห้องน้ำก่อนจะเชิดหน้าอย่างแสนงอน “รู้ว่าตัวเองเป็นต่อก็ล้อผมจังเลยนะ” “ใครบอกว่าฉันเป็นต่อ” เขาแกล้งทำหน้าปั้นยาก “หมายความว่าไง” “ไม่อยากลองสร้างครอบครัวจริง ๆ กันบ้างเหรอ” ต้นหอมได้แต่กะพริบตาถี่ ๆ ไม่แน่ใจว่าหูได้ยินถูกต้องหรือไม่ หรือสมองประมวลผลเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ หัวใจน่ะชิงสูบฉีดเลือดไปทั่วก่อนแล้ว “เป็นไปไม่ได้” เด็กหนุ่มส่ายหน้า “หมายถึงเรื่องของเราน่ะเป็นไปไม่ได้” “ยังไม่ได้ลองเลย จะรู้ได้ยังไง” “ก็ถ้าโอกาสมันน้อยจะลองทำไม” “ฉันว่ามันก็ไม่น้อยนะ” ชายหนุ่มพยายามอธิบายให้เหมือนเป็นเรื่องง่ายทั้งที่ในใจก็ประหม่าไม่ต่าง “นายก็รู้สึก ฉันก็รู้สึก แล้วมันจะมีอะไรยากอีกล่ะ” “คุณก็รู้สึกเหรอ” “อืม” เขายอมรับตามตรง “ก็ต้องมีบ้างอยู่แล้วไหม” “เหอะ” “ทำไมล่ะ ไม่เชื่อเหรอ” “แล้วจะรู้สึกนานแค่ไหนล่ะ” “...” “คุณเป็นอัลฟ่า จะเริ่มใหม่กับใครก็ได้ ดูโปรไฟล์ตัวเองสิ ต่อให้จะแต่งงานมีลูกมาอีกสักกี่ครั้งก็ยังมีคนเข้ามาให้คุณเลือกอยู่ดี” “แต่ฉันจะเลือกนาย” “ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณพูดจริง” “แล้วตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา นายเคยเห็นฉันทำตัวนอกลู่นอกทางหรือไง” คนฟังเม้มปาก อยู่ ๆ ก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกต้อนให้จนมุม กัษษภาคย์แพ้อีกครั้งเมื่อเห็นอีกคนตาแดง ๆ เขาเข้าไปกอดปลอบพร้อมลูบหลัง เท่านั้นโอเมก้าตัวน้อยก็สะอื้นฮัก “ผมกลัวนี่ มันผิดหรือไงเล่า เราต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหวอีก” “นายก็เวอร์” “มันจริงนะ คำว่าหนูตกถังข้าวสารยังฟังดูเกินเอื้อมเลย ถังข้าวสารที่ไหนจะมาตั้งอยู่แถวบ้านผม” “ฮ่า ๆ” “คุณขำอะไร” หมัดเล็ก ๆ ทุบหลังคนตัวสูงไปหนึ่งที “ผมเครียดจริง ๆ นะ แต่ก็ไม่อยากเครียด กลัวลูกเครียดไปด้วย” “งั้นเอางี้ไหม” อัลฟ่าหนุ่มพยายามปลอบใจ เขาดึงคนตัวเล็กให้หันมาสบตาก่อนจะเช็ดน้ำตาให้เบา ๆ “เราแค่เป็นตัวเองต่อกัน ไม่ต้องพยายามเก็บความรู้สึก อยากทำอะไรก็ทำ คิดอะไรก็พูด อย่าเก็บเอาไว้ให้อึดอัด สุดท้ายแล้วมันจะไปทางไหนก็ปล่อยให้มันเป็น ดีไหม” “มันฟังดูเลื่อนลอย” “ก็อนาคตไม่ใช่สิ่งที่จะมาทำนายกันได้นี่” “จริงสิ…” ต้นหอมนึกถึงความจริงข้อหนึ่งขึ้นมาได้ “ไปดูดวงกันไหม” กัษษภาคย์ยืนบื้อใบ้ไปชั่วครู่ เขาไม่แน่ใจนักว่าคนเด็กกว่าจริงจังหรือแค่พูดออกมาส่ง ๆ แต่คำว่าดูดวงนั้นไม่เคยอยู่ในหัวสมองเลยสักนิด “แล้วแต่นาย” “โอเค ผมให้แจนหาให้” “ใครคือแจน” “เพื่อน เพื่อนที่บาร์” “สนิทเหรอ” “ก็สนิทนะ วันนี้ยังมากินข้าวด้วยกันเลย” ต้นหอมเอียงคอ “วันนี้พี่เปรมไม่ได้รายงานคุณเหรอ ปกติเห็นเขาบอกคุณทุกเรื่อง” “ไม่” “อ้อ ก็คือวันนี้พี่เปรมกับเพื่อนที่บาร์มากินข้าวกัน มานั่งคุย เล่นไพ่กันแป๊บนึงหลังแม่บ้านกลับไป” “โอเค” “คุณโกรธเหรอ แต่ผมเหงานี่ ไม่กล้าออกไปข้างนอกคนเดียวด้วย” “เปล่า ไม่โกรธ” เขาต้องรีบอธิบายอีกครั้ง “เหงาแล้วทำไมตอนเช้าไม่ไปบริษัทกับฉันล่ะ” “ไปแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ อยู่นี่เวลาเบื่อ ๆ ยังมีงานบ้านให้ทำบ้าง” “จริง ๆ นายไม่ต้องทำก็ได้ ยังไงแม่บ้านก็มาเป็นประจำอยู่แล้ว” “ผมไม่ชินอ่ะ ปกติทำงานตลอด เคยอยู่นิ่ง ๆ ที่ไหน อีกอย่างผมมาอาศัยบ้านคุณอยู่ ให้ผมทำอะไรบ้างเถอะ คุณให้เงินผมตั้งเดือนละสามหมื่น จริง ๆ จะเลิกจ้างแม่บ้านแล้วจ้างผมแทนก็ยังได้” “เดี๋ยวนายท้องแก่ก็ทำไม่ไหว” “ก็ตอนนี้ยังไม่แก่นี่” ต้นหอมหน้ามุ่ย “ถ้าคุณไม่ยอมให้ผมช่วยงานบ้าน ผมจะไม่ยอมรับข้อเสนอของคุณเหมือนกัน ไม่ส้งไม่สร้างแล้วครอบครัว” “แปลว่าตอนนี้ตกลง? แบบไม่ต้องไปดูดวง?” คนน้องอ้าปากจะเถียง แต่พอเห็นสีหน้าดีใจนั่นก็เปลี่ยนใจหุบปากฉัน เพียงพยักหน้าแกน ๆ กลับไป ถึงจะแอบดีใจหน่อย ๆ แต่จะไม่ยอมแสดงให้เห็นหรอก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD