‘ดอกไม้ของพ่อ จะเป็นดอกไม้เหล็กให้ดู อยู่ทางโน้นไม่ต้องเป็นห่วงคนทางนี้หรอก ดูแลกันเองได้ จริงมั้ยลูก... หิน’ แม่พูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงร่าเริงราวกับมีความสุข หันมาถามพวกเธอที่ได้แต่ยืนอึ้งปนร้องไห้ ก่อนจะหันไปถามลูกชายคนเล็ก กำลังทำหน้าที่ลูกชายอย่างดีที่สุด
‘ครับแม่ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง ผมสัญญาว่าผมจะดูแลดอกไม้ของพ่อให้เอง’
‘แต่... ตอนนี้... จะเป็น... เป็นดอกไม้ของหิน แล้วนะลูก’
น้ำเสียงแหบแห้งของผู้เป็นพ่อกล่าวย้ำกับลูกชายคนเล็กและเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ราวกับจะฝากฝังให้เขาดูแลเหล่าดอกไม้ให้ดี เพราะดอกไม้เหล่านี้พ่อรักมากเหลือเกิน
‘ครับพ่อ ดอกไม้ของหิน’
เด็กชายหินหรือศิลากานต์ในวันนั้นรับคำของพ่อด้วยสีหน้าแบบงงๆ ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าเขาเข้าใจกับสิ่งที่พ่อบอกมากมายเพียงใด เพราะเธอเองก็ใช่ว่าจะเข้าใจนัก แต่น่าแปลกที่เธอกลับจดจำทุกรายละเอียดของถ้อยคำนั้นได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน จนเมื่อโตขึ้นเธอจึงเข้าใจในความหมายนั้น เพราะตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเลยสักอย่างที่ศิลากานต์จะไม่ดูแลพวกเธอ
จนกลายเป็นว่าเด็กชายหินในวันวานจนเป็นนายศิลากานต์ชายหนุ่มในวันนี้ ไม่เคยเลยที่จะมีเวลาส่วนตัวให้กับตัวเอง ทุกเวลาของเขามีแต่ครอบครัวเท่านั้น ซึ่งดอกไม้ดอกตูมที่พ่อกล่าวถึงนั้นได้กลับกลายเป็นดอกบานอย่างเต็มตัว และกลายเป็น ‘ดอกไม้เหล็ก’ อย่างที่แม่เคยบอกไว้
แต่ผลพลอยได้กลับกลายเป็นว่า ‘ใยเหล็ก’ ประกอบกันเป็นกลีบดอกนั้น พัฒนาจนกลายเป็นคานเหล็กที่แข็งแกร่งเกินกว่าชายใดจะทลายลงมาได้ 6 สาวของบ้านประกอบไปด้วย คุณแม่สุภาพร ลีลาพร นภาดา อาภาพร อรปรีดา และเธอ... ทิพยุพา จึงพร้อมใจกันแขวนอยู่บนคานอย่างไม่มีใครคิดจะไต่ลงมา หรือเอาเข้าจริงก็คงไม่มีใครกล้าจะไปเด็ดดอกไม้เหล็กเหล่านั้นมาชื่นชม
“หิน ดอกไม้เหล็กอย่างพี่อยู่ได้ แม้ว่าหินจะไม่ได้ดูแลก็ตาม”
ทิพยุพาหมายความตามนั้นจริงๆ เธอจึงพยายามพาสาวๆ มาแนะนำให้ศิลากานต์รู้จัก เพื่อเขาจะได้มีชีวิตเหมือนผู้ชายคนอื่นที่มีแฟนและพร้อมที่จะเริ่มครอบครัวกับใครสักคน เพราะคานเหล็กของเธออยากคงไว้เฉพาะสมาชิกสาวๆ ทั้ง 6 คนเท่านั้น ไม่ได้อยากได้คนเฝ้าคานอย่างศิลากานต์สักหน่อย
ร่างแบบบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงเลสีม่วงตัวโคร่งนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊คสีขาวตัวเล็กกะทัดรัด ที่หูมีหูฟังอันใหญ่หุ้มด้วยผ้าขนหนูลายเต่าทองสีดำแดงครอบไว้ นิ้วมือรัวเร็วที่แป้นพิมพ์เพราะกำลังออนเฟสบุ๊คอยู่กับเพื่อนเลิฟ พร้อมศีรษะโยกไปมาด้วยเสียงเพลงที่ดังจนสุด แต่เธอก็ไม่รู้ว่าคือเพลงอะไร รู้แต่เพียงว่าเสียงเพลงที่ไม่รู้เนื้อแต่ทำนองจรรโลงใจเหล่านี้ แม้จะฟังบ้างไม่ฟังบ้างก็ยังดีกว่าต้องทนฟังเสียงด่าทอกันและกันไปมาอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังเดียวกันแบบนี้
ทิวลิป : “เซ็ง! เจ้ด่ากับผัวอีกแล้ว”
อัมรา : “อ้าว! ฉันคิดว่าแกชินแล้วเสียอีก”
ทิวลิป : “ชินกับผีอะไรอ่ะ อยากไปเสียให้พ้นๆ บ้านนี้”
นุจรี : “ก็มี ผอสระอัว ดิ! ได้ออกไปสมใจแกแน่”
ทิวลิป : “ทะลึ่ง!!”
นุจรี : “ตรงไหนไม่ทราบยะ!”
อัมรา : “ไม่มีสักคำเลยแก”
นุจรี : “ทิวลิป แกอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ชายหนุ่มของแกว่าไง เสียชื่อสาวมั่นหมด แกอยากรู้ แกก็ถามเขาไปเลยสิ ว่าเป็นหรือไม่เป็น แกจะมานั่งจินตนาการอยู่คนเดียว มันได้อะไรขึ้นมาฮะ”
อัมรา : “ใช่แก ถามไปเลย ฉันก็อยากรู้ว่าเป็นหรือไม่เป็น”
ลดา : “99% ฉันว่าไม่”
อัมรา : “แล้วอีก 1% ล่ะแก เก็บไว้ทำอะไร”
ลดา : “เผื่อใจ ทิวลิปว่าไง เพื่อนรอคำตอบจากแกอยู่นะ ไม่อยากให้แกอยู่บนคาน บอกตรงๆ อยากคุยเรื่องอย่างว่ากับแกให้ถึงพริกถึงขิงกว่านี้อ่ะ”
นุจรี : “ว่าไง แกจะเดินหน้า ถอยหลัง หรือว่าจะหยุดทั้งที่ยังไม่ได้ก้าว บอกมาซะ ขี้เกียจถามแล้วนะ”
ทิวลิป : “เขาหล่ออ่ะแก หล่อมาก... แต่ความหล่อของเขาไม่ใช่ปัญหา ปัญหามันอยู่ที่ว่า หัวใจของฉันมันแทบละลาย แค่เห็นเขาอ่ะ”
อัมรา : “ฉันอยากจะกรี๊ดกับคำสารภาพของแกว่ะ งั้นก็เดินหน้าเลยเพื่อน จะกลัวอะไรอีก”
นุจรี : “อัม แกไม่กลัวจริงเหรอ ถึงฉันจะลุ้นกับทิวลิปมัน แต่ฉันก็อดนึกกลัวไม่ได้นะโว้ย! ให้ฉันเลือกมีผัวเจ้าชู้กับมีผัวเป็นเกย์ ฉันเลือกเจ้าชู้ดีกว่าว่ะ”
ยุรนา : “แต่ถ้าเป็นฉันนะ ฉันไม่เอาทั้งสองอย่างอ่ะ ดูสิ ที่มันทำกับฉัน ทิวลิปแกก็ลองจีบๆ เขาไปก่อนดิ ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย ถ้าแกมั่นใจว่าเขาเป็นจริงๆ ถึงตอนนั้นแกก็ค่อยชิ่งก็ได้หนิ ถ้าเขาเป็นเกย์จริง เขาก็ไม่น่าจะแตะแกหรอก ไอ้เยื่อเหนียวแน่นของแก ยังไงเสียมันก็ยังไม่มีโอกาสได้ใช้งานหรอกจริงมั้ย! แล้วพวกแกว่าไง อัม นุจ ดา”
อัมรา : “อืม... ฉันเห็นด้วยกับยุ”
นุจรี : “ฉันก็เห็นด้วย”
ลดา : “ก็โอนะ เหลือแกแล้วล่ะทิวลิปจะว่าไง”
ดวงตาสวยหวานไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มไล่ไปมาบนตัวหนังสือขึ้นอยู่บนหน้าจอ นิ้วมือบอบบางค้างอยู่บนแป้นพิมพ์ในขณะที่หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างกับตื่นเต้นเสียหนักหนา ยิ่งเสียงเพลงอยู่ในจังหวะปลุกเร้าในท่วงทำนองและเนื้อเพลงกล่าวถึงหนุ่มแอ๊บแมน ยิ่งทำให้เธอตัดสินใจจะตอบเพื่อนได้ยากยิ่งขึ้น แต่หากไม่ตอบและทิ้งปัญหาไปเฉยๆ ก็คงจะไม่ใช่ทิวลิปอีกนั่นแหละ
นิ้วมือน้อยๆ จึงค่อยๆ แตะไต่ไปมาบนแป้นพิมพ์ดังกับว่าคำตอบนี้จะเป็นตัวชี้นำดวงชะตาของเธอยังไงยังงั้น ทว่าเสียงดังโครมครามจากหน้าประตูห้องดังลอดเข้ามาก็ทำให้หัวคิ้วเรียวต้องขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนความตั้งใจในการตอบคำถามจะกลับกลายเป็นออกจากการสนทนาไปแทน
ทิวลิป : “พวกแกแค่นี้ก่อนนะ บ้านฉันท่าทางจะมีศึกใหญ่ว่ะ”