คนในครอบครัว

1798 Words
“กิ-น-ข้-า-ว” กิ่งหลิวสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงตะคอกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น ดังมาจากชั้นล่าง เธอถอนหายใจเฮือก “แม่ไปกินข้าวก่อนนะลูก พี่บิวมาเรียกแม่ล่ะ เซมิอยู่แต่ในห้องนะคะ” หญิงสาวบอกเจ้าตัวเล็กแล้วก็ลูบหัวเจ้าเหมียวอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วออกจากห้องลงไปกินข้าวตามเสียงตะคอกเรียกนั่น เพราะรู้ดีว่า หากทำเป็นอิดออดเชื่องช้า ...หาไม่แล้ว เธอคงไม่พบกับความสงบที่บ้านหลังนี้ ไปอีกหลายวัน “มาล่ะ กว่าจะเสด็จ” เสียงลอยมาจากโต๊ะกินข้าวทันทีที่สิ้นเสียงปิดประตูห้อง กิ่งหลิวไม่ต้องชายตามองเลย ก็รู้ว่าเสียงนั้นลอยมาจากไหนและใครพูด ซึ่งถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้ว บ้านนี้มีคนพูดมากเพียงคนเดียว คือ “วิมล” พี่สะใภ้ของเธอ ซึ่งขณะนี้หล่อนกำลังนั่งทำหน้าตึง ถลึงตาจ้องมองจอทีวีเครื่องใหญ่ที่ตั้งอยู่บนชั้นโชว์กลางห้องโน่น ราวกับว่า ถ้าพลาดชมแม้แต่วินาทีเดียวหรือเผลอกะพริบตาไป หล่อนจะพลาดไปทุกสิ่ง ส่วน “การเลิศ” พี่ชายของกิ่งหลิวนั้น ก็กำลังนั่งหน้าจอทีวีอยู่เหมือนกัน แต่เป็นทีวีอีกเครื่องหนึ่งและตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องโถง อันเป็นมุมเฉพาะของเขา ที่มุมห้องตรงนั้น มีทั้งที่นั่งที่นอนและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวรายล้อม บ่อยครั้งที่เขานอนหลับเฝ้าอยู่หน้าทีวีที่มุมประจำนี้ไปจนกว่าจะออกไปทำงาน ในวันหยุดหรือวันที่เขาอยู่บ้าน ทุกมื้อข้าวเขาก็จะนั่งกินคนเดียวที่นั่น ซึ่งนอกจากสำรับข้าวแล้ว ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเบียร์เย็นๆ เต็มแก้ววางเคียงอยู่ด้วยทุกมื้อ ไม่เว้นเลยแม้แต่มื้อเช้า... กิ่งหลิวกับการเลิศ เป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันเลย... คงเพราะสองพี่น้องถูกแยกจากกันตั้งแต่เกิด จึงไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวเดียวกัน และไม่ได้เติบโตมาด้วยกันเหมือนพี่น้องในครอบครัวอื่น แต่ในขณะที่พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูที่ต่างกันและอายุยังห่างกันมากด้วย แต่ทั้งคู่กลับมีอุปนิสัยที่คล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งนั้นคือ ต่างคนก็ต่างพูดน้อย พูดเท่าที่จำเป็น... กิ่งหลิวชอบที่จะเป็นนักฟังและนักอ่าน เธอจะเปิดปากก็ต่อเมื่อมีเรื่องอยากพูด แล้วจะกลายเป็นคนช่างเจรจาทันทีก็เฉพาะกับคนที่เธออยู่ด้วยแล้วสบายใจเท่านั้น ซึ่งโลกนี้นอกเหนือจากยายแล้ว ก็คงเหลือแต่ยิหวากับเบญจ์ แล้วก็...เซมิ เจ้าแมวน้อยของเธอเท่านั้นเอง ส่วนการเลิศ เขาจะพูดก็ต่อเมื่อเหล้าเบียร์เข้าปาก แต่จะเปิดปากก็เฉพาะเมื่อถึงจุดที่ต้องการจะพูดเท่านั้น เป็นจุดที่กำหนดไม่ได้ด้วยว่า ถึงแก้วที่เท่าไร มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ในตอนนั้นๆ ด้วย นอกนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ยินเขาเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ...โลกของการเลิศเป็นโลกที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปถึงได้ แม้กระทั่งลูกและเมีย ตั้งแต่วันที่กิ่งหลิวย้ายมาอยู่ด้วยในบ้านเดิมของพ่อกับแม่ที่นนทบุรี ซึ่งตอนนี้การเลิศได้สร้างบ้านหลังใหม่อยู่กับครอบครัวของเขาแทนหลังเดิมก็เกือบสามปีมาแล้ว... รายนี้จึงไม่มีคำพูดอะไรลอยมากระทบกระทั่งให้ใครรำคาญใจเล่น แต่พี่ชายเน้นพูดจริง ให้เจ็บใจจริงๆ แบบไม่ต้องมาตีความอะไรให้มากเรื่องเลย การเลิศเป็นคนไม่สนใจใครหรืออะไรอื่นมากนัก แม้แต่หน้าที่การงานของเขาเอง ถ้าพ่อผู้ซึ่งเคยเป็นอดีตข้าราชการผู้กว้างขวาง ไม่ได้ฝากฝังให้เสียแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่โน้น ตอนนี้เขาก็คงไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลยสักอย่าง นอกจากนั่งดื่มไปวันๆ แม้ถึงวันนี้หน้าที่การงานเขาก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่ก้าวหน้าไปไหนไกลกว่านี้ ยังคงเป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราวที่เซ็นสัญญาทำงานปีต่อปีในสถานที่ราชการแห่งหนึ่งเท่านั้น เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ลูกยังเล็ก จนลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเขาก็ยังอยู่ที่ตำแหน่งเดิม ดังนั้นจึงไม่ต้องถามถึงเรื่องในบ้านเลย เพราะเขาทอดธุระทุกอย่างไว้ในมือของภรรยาจนหมด พวกคำพูดด่าว่าแรงๆ จิกกัด ประชดประชัน หยามเหยียด ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เธอโดนมาจากสองแม่ลูกนี้หมดแล้ว ดังนี้... คำค่อนขอดลอยลมมาถึงกิ่งหลิวเมื่อตะกี้นี้ แน่นอนว่าดังมาจากปากของ “บิว” เด็กสาวหน้าใส ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผู้ซึ่งนั่งนิ่ง ตาจ้องมือถือเฉยอยู่นั่น เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวคนเล็กของการเลิศกับวิมล จึงเท่ากับว่าเป็นหลานสาวแท้ๆ ของกิ่งหลิว ซึ่งตามความจริงแล้ว โดยทั่วๆ ไป อากับหลานควรจะรักใคร่เอ็นดูกันหรือมีความสนิทสนมกันบ้าง แต่คนทั้งคู่นี้ ยิ่งอยู่ด้วยกันไปนานๆ ยิ่งไม่มีความเป็นญาติที่ใส่ใจรักใคร่กันเลยแม้แต่น้อย ...ออกจะหนักไปทางเป็นศัตรูกันเสียมากกว่า ทั้งที่จริงในตอนที่กิ่งหลิวยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ด้วย ทั้งพี่สะใภ้และหลานสาวคนเล็ก ยังดูชื่นชม นิยมรักใคร่เธอเป็นอันมาก อาจจะเพราะตอนนั้น เธอยังเป็นคนมีเงิน มีงาน และมีความแปลกหน้า แม้จะได้ชื่อว่าเป็นญาติกัน แต่ก็นานๆ เจอกันที เลยทำให้สองแม่ลูกคู่นี้ ยังยอมรับในตัวเธอได้ ทั้งยังมีความเกรงอกเกรงใจและนิยมยินดีที่ได้เกี่ยวพันกันบ้าง แต่ต่อมาเมื่อสถานะเปลี่ยนไป เพราะกิ่งหลิวย้ายมาอยู่ด้วยแล้ว แม่ลูกทั้งคู่ได้รู้ว่า ต่อไปคนที่ตนเคยได้รับทั้งเงินและของขวัญของฝากสม่ำเสมอคนนี้ กลายเป็นคนมาอยู่ชายคาเดียวกัน หนำซ้ำยังจะได้แสดงตนว่า เป็นเจ้าของบ้านร่วมด้วยแล้ว ท่าทีของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป ...และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บิว” ซึ่งถือโอกาสยึดห้องของกิ่งหลิวมาระยะหนึ่ง ก็ถึงกับโกรธแค้นที่ต้องคืนห้องให้เจ้าของที่แท้จริงไป ...จากความสนใจไยดีที่เคยมีจึงกลายเป็นความชิงชังหมางเมิน... “เด็กอะไรวะเนี่ย...” ยิหวากับเบญจ์ ซึ่งเคยมาช่วยเธอขนของเข้าบ้าน เมื่อตอนที่เธอย้ายมาอยู่บ้านนี้ ถึงกับพากันออกปาก เมื่อเจอฤทธิ์เดชหลานสาวของกิ่งหลิวคนนี้ แค่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน สองสาวก็โดนเด็กพูดจากระแทกแดกดันใส่ โดยไม่สนใจเรื่องกิริยามารยาทใดๆ ทั้งสิ้น ตอนแรกๆ ที่กิ่งหลิวยังมีเงิน คนทั้งหมดก็ยังอยู่ร่วมกันได้ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดีอยู่ แต่ต่อมาเมื่อเธอกลายเป็นคนตกงานนาน เงินเก็บร่อยหรอ สภาพการณ์จึงยิ่งตกต่ำ ย่ำแย่ ทั้งที่ผ่านๆ มาในตอนที่พวกเขามีปัญหา กิ่งหลิวก็ช่วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจ่ายค่าเทอมให้หรือซ่อมรถให้ก็หลายครั้ง เพราะถือว่า เมื่อเธอมีก็ต้องช่วยคนอยู่บ้านเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่กลายเป็นว่า เธอคิดไปฝ่ายเดียวเท่านั้น... กิ่งหลิวไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้เลี้ยงลูกสาวคนเล็กมาแบบไหน แล้วผู้เป็นพ่อคงไม่ได้มีส่วนในการเลี้ยงดูเลยแม้แต่น้อย เด็กหญิงบิวคนนี้จึงแข็งกระด้างและแสดงตนตัว “ไม่น่ารัก” อย่างชัดเจน ...ในหัวใจเล็กๆ นั้น คงไร้รักเพราะขาดความรักความอบอุ่นมาตั้งแต่เกิด ถ้าเทียบกันกับ “ไบเบิ้ล” ลูกชายคนโตของพี่สะใภ้ ซึ่งเป็นลูกติดมา เด็กคนนั้นยังนิสัยน่ารักกว่าน้องสาวอยู่มาก อาจจะเพราะตอนยังเล็กเขาถูกเลี้ยงดูมาโดยตายาย ซึ่งก็คงได้รับการอบรมมาอย่างดีในระดับหนึ่ง โชคดีที่เขาไม่ได้โตมาตามอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของแม่ เหมือนบิว ตอนที่กิ่งหลิวย้ายกลับมาอยู่บ้านนี้ ไบเบิ้ลก็ย้ายออกไปอยู่หอข้างนอก เพราะเขาบอกว่า ไปมาสะดวกกว่า แต่พี่สะใภ้มักยกเรื่องนี้มาพูดประชดประชันกิ่งหลิวเสมอว่า เธอทำให้ครอบครัวของหล่อนต้องอยู่กันคนละทิศละทาง ในบ้านหลังนี้ วิมลมักถือตนว่า ตัวเองเป็นใหญ่สุด ขนาดการเลิศ ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าครอบครัว เป็นเจ้าของบ้านและสามีของหล่อน ก็ยังไม่กล้าหือ “ธ่อ กะอีแค่เมียแก่ๆ ข้าไม่ได้กลัวมันหรอก แค่รำคาญว่ะ ทะเลากับแม่-ง เสียเวลา เสียอารมณ์เปล่าๆ” การเลิศมักพูดเช่นนี้ต่อหน้าเพื่อนในวงเหล้า ในยามที่เขาดื่มมาถึงจุดที่อยากจะพูดแล้ว แต่ในยามใดที่เขาเมาฟุบไปแล้ว พรรคพวกมักแอบนินทาลับหลังว่าเขาเป็นแค่ “ไอ้ลูกแหง่” และเรียกวิมลว่า “แม่ไอ้เลิศ” แทนคำว่า “เมียไอ้เลิศ” เสมอ คงทั้งเพราะวิมลอายุมากกว่าการเลิศเกือบรอบและเพราะพฤติกรรมของวิมลที่แสดงตนมากเกินความเป็นเมียไป นั่นเอง ความที่กิ่งหลิวเติบโตมากับยายอยู่ที่อยุธยา นานๆ ทีถึงจะได้มาเยี่ยมบ้านพ่อแม่ที่นนท์นี่บ้าง เรื่องราวชีวิตของพี่ชายเธอก็มักจะรู้จากปากของแม่ ประวัติความเป็นมาของครอบครัวการเลิศ เท่าที่เธอปะติดปะต่อได้ก็พออนุมานได้ว่า... มันไม่ได้ราบรื่นและเป็นสุขเท่าไรนัก แม่ของกิ่งหลิวเคยไปบ่นให้ยายฟัง เรื่องการเลิศริมีแฟนตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นแม่เพิ่งกลับมาอยู่กับพ่อได้ไม่กี่ปี ส่วนกิ่งหลิวยังไม่ประสีประสาอะไรเลย ต่อมาแม่ก็มาบอกยายว่า การเลิศขาดเรียนแล้วไปอยู่หอพักกับวิมล ซึ่งตอนนั้นยังทำงานเป็นพนักงานห้าง ...และที่สุดการเลิศก็เรียนไม่จบชั้นปวส. ตอนที่การเลิศพาวิมล อุ้มบิว ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในวัยเตาะแตะเข้ามาขออยู่ด้วยที่บ้านพ่อกับแม่ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ของครอบครัวเธอ กิ่งหลิวยังเรียนอยู่ชั้นม. ต้น จากนั้นไม่นานแม่ของเธอไปปรับทุกข์กับยายอีกว่า ลูกสะใภ้ของแม่คนนี้ ไม่เพียงอายุมากกว่าการเลิศเป็นรอบ ...แต่หล่อนยังเป็นแม่ม่ายลูกติดอีกด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD