เรื่องมีอยู่ว่า
“ว่างคุยไหมหลิว เดี๋ยวฉันโทรหา”
อ่านข้อความในไลน์นั้นแล้ว คนอ่านก็เลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับกดส่งสติกเกอร์ตอบโอเคไปในทันที
...ห่างจากนั้นไม่ถึงนาที เสียงเรียกสายจากไลน์ก็ดังขึ้น
“มีไรเหรอหวา นี่ฉันกำลังเซ็งมาก อยากคุยกับใครสักคนอยู่พอดีเลย”
คนรับสายพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แม้ว่าดีใจที่รู้ว่าคนที่โทรมาคือ หว่าหวา หรือยิหวา เพื่อนสนิทที่อยู่ไกลถึงญี่ปุ่น ซึ่งเวลานี้ยิหวาเป็นคนหนึ่งที่ตัวเองอยากคุยด้วยมากที่สุดก็ตาม
“ดีเลย งั้นแกฟังฉันนะ กิ่งหลิว ...แกจำมาซาฮารุ ซัง ได้ป่าว คุณป้าตัวเล็กๆ ในแกงค์โอป๊าซังทั้งสี่ที่ฉันเคยให้แกพาเขาเที่ยวกรุงเทพเมื่อสามปีก่อนนู้นน่ะ”
เสียงจากปลายสาย ซึ่งตอนนี้คนพูดตัวอยู่ไกลถึงญี่ปุ่นรีบลำดับความ
“จำได้ซิ แกน่ารักจะตาย ฉันชอบแกมากเลย ก่อนกลับแกยังให้ทิปฉันตั้งเยอะ บอกเอาไว้ไปเลี้ยงแมววัดน่ะ”
“เออ นั่นแหละ มาซาฮารุซังเพิ่งนัดฉันออกไปกินข้าวด้วยเมื่อวานนี้ เขาบอกฉันว่า อยากให้แกมาญี่ปุ่นแน่ะ”
“หา...ไปยังไงอ่ะ”
หลิวหรือกิ่งหลิว รีบตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และลืมความเบื่อเซ็งที่เคยมีก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น
“มายังไงล่ะ ก็ขึ้นเครื่องมาน่ะสิ โธ่โว้ย แกนี่”
ยิหวาเอ็ดเพื่อน ด้วยน้ำเสียงกึ่งหมั่นไส้และนึกเอ็นดู หากยังนั่งประจันหน้าคุยกันตอนนี้ กิ่งหลิวก็คงทำหน้าตาเหรอหรา เลิ่กลั่กอย่างที่เธอกับเบญเคยคุ้นและเห็นขันกันเป็นประจำ
“ไม่ๆ ฉันหมายถึงอะไรอย่างอื่นเยอะแยะ ไปทำไม อะไรยังไงทั้งหลายแหล่น่ะ ไหนจะลูกฉันอีก ไหนจะค่าเครื่องบิน ค่ากินค่าอยู่ที่นู่น แกก็รู้สภาพฉันตอนนี้ มันยิ่งกว่าถังแตก สิ้นเนื้อประดาตัว”
“เออๆ ฉันรู้ แต่นี่หล่อน อย่าเพิ่งตื่นเต้นตูมตาม ฟังฉันก่อน แล้วค่อยๆ คิดทีละเรื่อง ทำทีละอย่าง ก่อนจะโทรหาแกนี่ ฉันเองก็คิดมาดีแล้ว ฉันมองหาความเป็นไปได้ให้แกแล้ว เฮ้ย มันได้... มันโอเคเลยนะเว้ย ไม่งั้นฉันไม่โทรมาให้แกตื่นเต้นเล่นๆ หรอก”
“เออ งั้นก็ว่ามา ฉันจะตั้งใจฟัง”
“คืองี้นะ ตอนนี้มาซาฮารุซังเขาป่วยน่ะแก เห็นว่ารู้ผลมาสักพักแล้วล่ะ เขาก็เลยต้องการคนไปอยู่ด้วย ไม่ได้หมายถึงให้ไปปรนนิบัติเขาน่ะ เพราะตัวเขาเอง เขาก็ต้องไปรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานเป็นเดือนๆ เลยมั้ง ทีนี้แมวเขาสามตัวที่อยู่บ้านไม่มีคนดูแล เขาเลยนึกถึงแก... ฉันว่าเขาเองคงคิดมาดีแล้วนะ เขาถึงมาเอ่ยปากกับฉัน มาถามถึงแกว่าตอนนี้แกทำอะไร เป็นยังไงมั่ง เขาคงถูกชะตาแกมากแหละ เพราะคนญี่ปุ่นนี่ถ้าเขาไม่จริงจัง เขาไม่เอ่ยออกมาหรอกนะ”
“เฮ้ย จริงดิ แล้วแกป่วยเป็นอะไรอ่ะ เห็นตอนนั้นก็แข็งแรงดีออก”
“มะเร็งมดลูก ระยะที่สองแล้ว”
พอปลายสายตอบเสร็จ ความเงียบก็เกิดขึ้นชั่วอึดใจ
“แล้ว...เอ่อ แล้ว”
ต้นสายอึกอักเหมือนจะมีคำถามอีก แต่แล้วกลับเงียบงัน คำถามมากมายที่เกิดขึ้นก่อนนี้เหมือนหายไปในอากาศจนหมดสิ้น
“เอ้า หลิวเงียบทำไมล่ะ แกนี่น๊า...”
“ก็...”
“ยังไม่ต้องรีบตอบ ไปคิดก่อนก็ได้ แต่ถ้าให้ฉันคิดแทนแก ฉันโอเคเลยว่ะ เขาจะจ่ายค่าตั๋วและให้เงินค่าจ้างแกด้วยนะ ที่อยู่ที่กินมีพร้อมสรรพ แกไม่ต้องห่วงอะไรเลย แค่ดูแลแมวเขากับอยู่บ้านเขาในระหว่างที่เขาไปอยู่โรงพยาบาลเท่านั้น ถ้าเขากลับมาแล้วแต่แกไม่สะดวกใจที่จะอยู่บ้านเขาต่อ แกมาอยู่กับฉันก็ได้ จะไปๆ มาๆ หรือจะเอายังไงก็แล้วแต่แกเลย เขาตามใจแกเลย ค่าจ้างอะไรๆ ทั้งหลายเขาก็จะให้แกเป็นก้อนทีเดียวเลย ถ้าแกตกลงมาญี่ปุ่นปุ้บเขาก็จะเอามาให้ฉัน โอนให้แกปั้บ โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น หน้าที่แกก็แค่ไปดำเนินเรื่องขอวีซ่า เขาจะเป็นคนออกจดหมายเชิญแกมาเอง เป็นวีซ่าท่องเที่ยวอยู่ได้สามเดือน เขาจะเป็นสปอนเซอร์ให้แกทุกอย่าง ฟังดูดีไหมล่ะ แล้วถ้าแกอยากหาอะไรทำแก้เบื่อ แกจะมาช่วยงานที่ร้านอาหารแม่ฉันไปพลางๆ ก็ได้ วันไหนที่ฉันไม่ได้ไปทำงานเราก็เที่ยวกัน ฉันจะพาแกตะลุยญี่ปุ่นเอง อยากไปไหน กินอะไรขอให้บอก เจ๊หว่าหวาจัดให้”
ยิหวาร่ายยาว จนแทบลืมหายใจและเกือบลืมไปว่ากำลังคุยผ่านไลน์กับเพื่อนที่ตอนนี้ต่างอยู่ห่างกันเกือบห้าพันกิโลเมตร
“นี่หลิว ตะหลิว แกยังฟังฉันอยู๋ป่าว” เธอเรียกเพื่อนว่า ตะหลิว เหมือนที่ยายของเพื่อนเรียกสมัยก่อนโน้น
“เออ ฟังอยู่ ...ว่ามา ฉันยังไหว” ...เจ้าของชื่อตะหลิว ตอบเสียงยานคาง
“อ่อ นึกว่าหลับไปแล้ว ถึงไหนแล้ววะ เออ พวกเราตอนนี้ก็เกือบจะสามสิบกันแล้วนะแก ฉันกับเบญจ์นะไม่เท่าไร พวกเรากำลังหาทางตั้งหลักกันอยู่ อย่างที่แกเห็น ถ้าฉัน ถ้าเบญจ์แต่งงานกันไปหมดแล้วก็เท่ากับเราพอตั้งตัวกันได้แล้ว แต่แกซิหลิว... บอกตรงๆ เลยนะว่า เราเป็นห่วงแกนะ ยิ่งหลังๆ มานี่ ฟังแกพูดเรื่องที่บ้านแกครั้งใด เรายิ่งเป็นห่วงแกนะ ฉํนว่าแกอย่ามัวทำเป็นเล่นอยู่เลย ไงแกลองรับข้อเสนอดีๆ นี้ ไปคิดดูดีๆ แล้วตัดสินใจก็แล้วกัน”
“อืมม กำลังคิดอยู่”
คำตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนเดิมนั้น ยิ่งทำให้คนพูดหวั่นวิตก ยิ่งโทรคุยกันแบบนี้ โดยไม่ได้เห็นอากัปกิริยา แววตาใดๆ ยิหวาก็ยิ่งคิดหนัก เพราะเธอรู้ดีว่า กิ่งหลิวก็คือกิ่งหลิว เป็นคนที่เพื่อนๆ เดาใจได้ยาก ...บางเรื่องที่กิ่งหลิวได้ยินแล้วทำเป็นรื่นเริงนั้น ตอบไม่ได้ว่าเพื่อนชอบหรือไม่ชอบ เพราะการตัดสินใจของเธอคนนี้นั้น ผลมักออกมาเป็นตรงกันข้ามกับที่คนอื่นคิดเสมอ
...แล้วท่าทีเนือยๆ น้ำเสียงยานคางนี่ก็เหมือนกัน เดาทางไม่ได้เอาเสียเลย...
ดังนี้ ก็เป็นหน้าที่ของยิหวาแล้วที่ต้องรุกต่อ
“อีกอย่างมาซาฮารุซังเป็นคนใจดี ไม่มีอะไรที่ต้องน่าเป็นห่วงเลยสักนิด แกก็รู้จักเขาดีแล้วนี่ ใช่ไหมล่ะ และที่สำคัญฉันกับแม่ก็อยู่ที่ญี่ปุ่นนี่ พรรคพวกคนไทยที่นี่ก็มีอีกเพียบ แกไม่ต้องกลัวว่าจากเมืองไทยมาแล้วจะอยู่ตัวคนเดียว ว้าเหว่เอกาอยู่ญี่ปุ่นเลย ชีวิตที่นี่มันหนัก มันเหนื่อย มันลำบากก็จริง แต่ที่ผ่านมาพวกเราก็ผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งเยอะนี่นา ขนาดเจอคนบ้าๆ แบบผบ.หนึ่ง ผบ.สอง เรายังผ่านมาได้เลย แกยังจะมีอะไรที่ต้องกลัวอีก ชีวิตนี้แกจะหาโอกาสอะไรดีๆ แบบนี้อีกไม่ง่ายนักนะโว้ย ฉันว่า... แก”
“ฮะๆ นึกถึงพวกผบ.หนึ่ง ผบ.สองนี่แล้วขำเนาะ เออ หลายวันมานี่ ฉันคิดถึงพวกแก คิดถึงชีวิตช่วงนั้นของพวกเราม๊าก...มาก เจออะไรบ้าที่สุด สนุกที่สุดก็ช่วงนั้น”
อยู่ๆ คนฟังก็แทรกกลางขึ้นมา แถมพูดจบแล้วก็หัวเราะคิกคัก บทจะหัวเราะกิ่งหลิวก็ลั่นคิกๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดไปเสียเฉยๆ เหมือนเจ้าตัวกำลังตกใจที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เสียงหัวเราะสดใสเช่นนี้ มันไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองนานเป็นเดือนแล้ว ...แต่ยิหวาก็ไม่ได้ได้ท้วงเพื่อนในเรื่องนี้แต่อย่างใด เธอรีบรุกเรื่องที่ต้องการทำต่อ ให้มันสำเร็จอย่างมีความหวัง
“นั่นแหละ พวกเราสามคนผ่านคนงี่เง่า ผ่านงานการที่แสนกดดัน ผ่านบรรยากาศบ้าบอกันมาได้จนถึงป่านนี้ มันที่สุดของที่สุดแล้วนะเว้ย ต่อไปแกก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ”
“ฉันไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่ฉันกำลังคิดอยู่”
“เออ งั้นแกก็รีบคิดเข้า ถ้าอยากหาคนช่วยคิดก็โทรหาไอ้เบญจ์มัน เชื่อดิว่ามันก็ต้องคิดแบบที่ฉันคิดนี่แหละ”
ยิหวาบอกเพื่อน ขณะนี้พวกเธอกำลังพูดถึงเพื่อนอีกคนหนึ่ง เบญจ์สาวร่างโย่ง ผู้ซึ่งครั้งหนึ่ง ได้เคยใช้ชีวิตสมบุกสมบันด้วยกันมาในปีแรกๆ ของชีวิตการทำงาน หลังจากทั้งหมดเรียนจบมหาวิทยาลัยต่างถิ่นต่างที่กันมา...