บทที่ 5
ผู้หญิงคนนี้แฟนกู พวกมึงห้ามจีบห้ามยุ่ง
คณะวิศวกรรมศาสตร์..
“เชี่ย เด็กคณะไหนวะ”
“แม่งน่ารัก สัส”
“ใครอะแก”
“คนนี้ปะ ที่เห็นนั่งกินข้าวกับพี่ว้ากเมื่อตอนเที่ยง”
เมื่อฉันเดินเข้ามาในตึกก็มีสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉัน แถมยังซุบซิบนินทาชนิดที่ว่า ไม่ต้องกระซิบก็ทำให้ฉันได้ยิน
“นี่ น้องไวโอลินหรือเปล่าคะ” แล้วจู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักฉัน
“ค่ะ ไวน์ค่ะ” ฉันยิ้มให้เธอเล็กน้อยแล้วยกมือไหว้เพราะดูท่าทางของเธอแล้วคงจะเป็นรุ่นพี่แน่
“จ้ะ พี่ชื่อโซยูนะเป็นน้องรหัสเฮียเอ็ม” พี่เขาแนะนำตัวบ้าง
“แล้วพี่เอ็มล่ะคะ” ฉันถามหาคนตัวโตที่ยึดเอาโทรศัพท์ฉันไปตั้งแต่ตอนเที่ยงจนป่านนี้ยังไม่ได้คืนเลย
“รับน้องอยู่ทางโน้นน่ะ ตามพี่มาสิ” พี่โซยูบอก
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าเมื่อมองตามมือของพี่โซยูที่ชี้ให้ดู และฉันก็เดินตามพี่โซยูไปจนถึงลานกว้างซึ่งตอนนี้กำลังรับน้องกันอยู่
“นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” พี่โซยูพาฉันมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนที่มีเสื้อและกระเป๋าสะพายแบบผู้ชายวางอยู่ คงจะเป็นของพี่เอ็มแน่ๆ ใจอยากจะค้นหามือถือเหลือเกิน แต่ฉันก็ทำได้แค่คิด...
“เงียบ มองอะไรกัน” แล้วเสียงตะโกนก็ดังขึ้นก็ทำให้ฉันตกใจ เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่เอ็มที่ยืนว้ากปีหนึ่งอยู่ ซึ่งตอนนี้เขาดูหงุดหงิดเอามากๆ
“รุ่นพี่พูดอยู่ สนใจกันบ้างมั้ย” พี่เอ็มยังคงตะโกนต่อแล้วจากนั้นก็มีการลงโทษ ซึ่งฉันไม่บอกแล้วกันว่าทำโทษอะไร
“ทำไมรับน้องโหดจังน่ากลัวด้วย” ฉันนั่งพูดคนเดียว สายตาสั่นระริกก็มองพวกพี่เขารับน้องไปตะโกนเสียงดังไป
ซึ่งฉันก็ตกใจตามเสียงแข็งๆนั้นและยังรับรู้ได้ถึงสายตาของพี่เอ็มมองมาที่ฉันเป็นระยะๆเช่นกัน
“น้องครับ” แล้วเสียงที่ไม่ใช่เสียงของพี่เอ็มก็ดังขึ้น จึงทำให้ฉันเลิกสนใจการรับน้องแล้วหันข้างมามอง
“คะ เรียกหนูเหรอคะ” เมื่อหันมองก็เห็นผู้ชายสองคนใส่ช็อปสีกรมยืนอยู่ ฉันจึงถามเพื่อความแน่ใจว่าเขาคุยกับฉันหรือกับใครกันแน่
“ครับ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถามอย่างเป็นมิตร เมื่อพี่ทั้งสองขานรับพร้อมกัน
“น้องเรียนคณะอะไรเหรอ” พี่คนที่มือล้วงในกระเป๋าเสื้อช็อปถาม
“เรียนสถาปัตย์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อย
“ไม่ยักกะรู้ว่าสถาปัตย์จะมีคนน่ารักอย่างนี้” พี่อีกคนพูด แล้วทำท่าจะมานั่งข้างๆ ฉัน แต่ฉันรีบหยิบกระเป๋าที่คิดว่าเป็นกระเป๋าพี่เอ็มมาวางไว้ข้างๆ
“ค่ะ มีอะไรกับหนูหรือเปล่าคะ” คำพูดของพี่เขา ทำให้ฉันถามเข้าประเด็น
“คือพี่ขอเบอร์ได้มั้ยครับ” พี่คนแรกพูดขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้ฉัน
“เอ่อ ไม่ดีมั้งคะ” ฉันปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่าไม่ไว้ใจและไม่ชอบกับสายตาที่พวกพี่เขาที่มองฉันแปลกๆ
“ทำไมจะไม่ดีล่ะครับน้อง” พี่อีกคนพูดพร้อมทั้งยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนขอบม้านั่งตัวที่ฉันนั่งอยู่
“นะครับๆ พี่ขอหน่อยนะแค่ไลน์ก็ได้” แล้วพี่คนที่สองก็เริ่มรุกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันไม่ค่อยชอบใจ
“นะครับ ถ้าน้องไม่ให้เพื่อนพี่คงเสียใจแย่” พี่คนแรกก็คะยั้นคะยอ
“พี่ขอแค่เบอร์นะครับ นะๆ” พี่คนที่สองยื่นมือถือให้ฉัน
“ก่อนได้เบอร์ เอาตีนกูก่อนมั้ย !” เสียงดุ ๆ ที่ดังขึ้นทำให้ฉันถึงกับตกใจ…
ก่อนหน้านั้น..
“เชี่ย เด็กใครวะ”
“แม่ง น่ารักว่ะ”
“ใครปล่อยให้กวางน้อยเข้ามาเดินในดงเสือวะ”
“แม่ง กูอยากได้ว่ะ”
ระหว่างที่ผมและเพื่อนๆกำลังทำหน้าที่เป็นพี่ว้ากอบรมวินัยน้อง ๆ อยู่นั้น เสียงของเด็กปีหนึ่งหลายคนก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ
“ไอ้เอ็ม นั่นน้อง…” ไอ้ไทม์เดินมากระซิบบอกผมแล้วพยักหน้าไปทางโต๊ะวางของที่ป็นของพวกผม
สายตาของผมก็ไปปะทะกับร่างบางที่เดินตามหลังน้องรหัสของผมมา ซึ่งผมเป็นคนเอารูปให้โซมันดูแล้วให้มันไปดักรอน้องที่หน้าคณะ เพราะกลัวน้องจะหลงแล้วอีกอย่างก็กลัวมีคนมาเตาะแตะน้องด้วยแหละ
คณะของผมแม่งดิบเถื่อนไว้ใจใครไม่ได้หรอก เห็นเป็นผู้หญิงเข้าหน่อยทำเป็นมองตาเป็นมัน ผมจึงให้น้องรหัสไปดักรอ จะได้ไม่มีใครมายุ่งกับน้องได้ แต่เสียงพูดที่ดังเข้ามาในหูนี่มันช่างกระตุกต่อมตีนผมเหลือเกิน
“เงียบ มองอะไรกัน” ผมเดินไปด้านหน้าแล้วตะโกนขึ้นด้วยความหงุดหงิด หางตาก็เห็นว่าคนตัวเล็กที่นั่งตรงนั้นสะดุ้งโหย่งเลยทีเดียว จะขวัญอ่อนอะไรขนาดนั้น
“รุ่นพี่พูดอยู่ สนใจกันบ้างมั้ย” ผมหันมาพูดกับรุ่นน้องต่อ พอเหตุการณ์สงบแล้ว ผมก็เดินไปนั่งที่หน้าเวทีเหมือนเดิม
“เกรี้ยวกราดชิบหาย” ‘ไอ้คิว’ เพื่อนในเซคที่เป็นพี่ว้ากเหมือนกันพูดขึ้นมา
“หึ ขนาดยังไม่เป็นอะไรกับน้องยังหวงขนาดนี้นะไอ้เอ็ม” ตามด้วยไอ้ไทม์ที่ว่าผม
“เออ ขี้หวงชิบหาย” ‘ไอ้เบส’ ว่าพลางมองหน้าผม
“ตอนที่ได้ยินเขาพูดกัน ว่ามึงพาเด็กไปกินข้าวกูแทบเตะปากคนพูดเลย แต่ตอนนี้ท่าจะจริง” ‘ไอ้เฟรนด์’ มันแซวผม
ผมก็ได้แต่เงียบและไม่คิดเถียงอยู่แล้วเพราะมันคือความจริงจะให้ได้เถียงอะไรล่ะ จากนั้นก็มีการทำโทษรุ่นน้องเล็กน้อยแล้วก็รับน้องต่อ โดยที่ผมหันไปมองคนตัวเล็กเป็นระยะๆ
“ไอ้เอ็ม” ไอ้ไทม์ก็เรียกผม
“อะไร ?” ผมหันไปมองมัน
“มีคนอยากลองของมึงว่ะ” ไอ้ไทม์ว่าแล้วก็มองไปยังโต๊ะที่มีไวโอลินนั่งอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้มีตัวผู้มายืนคุยด้วยถึงสองตัว แม่ง เผลอแปปเดียวเอง เมื่อเห็นอย่างนั้นผมก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโต๊ะทันที...
“นะครับๆ พี่ขอหน่อยนะแค่ไลน์ก็ได้” เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ก็เห็นว่าเป็นไอ้พวกปีสองที่กำลังคะยั้นคะยอขอเบอร์โทรศัพท์ของไวโอลิน โดยที่เธอกำลังทำสีหน้าไม่พอใจซึ่งผมรับรู้ได้
“นะครับ ถ้าน้องไม่ให้เพื่อนพี่คงเสียใจแย่” เพื่อนมันก็ช่างยุยงเก่งเหลือเกินไอ้พวกเหี้ย ผมอยากจะกระโดดถีบพวกมันมากที่เข้ามายุ่งกับคนของผม
“พี่ขอแค่เบอร์นะครับ นะๆ”
หึ ! ไอ้พวกควายเล่นอะไรไม่เล่นก็เห็นอยู่ว่านี่คือโต๊ะพี่ว้าก ทำอย่างนี้หยามกูชัดๆ
“ก่อนจะได้เบอร์ เอาตีนกูก่อนมั้ย” ผมเดินเข้าไปแล้วพูดขึ้นเสียงแข็ง
“ฮะ เฮียเอ็ม” ไอ้คนที่กำลังยื่นโทรศัพท์ให้ไวโอลินหันมามองผม แล้วพวกมันก็ทำท่าทางกระอักกระอ่วน หน้านี่เสียเลยทีเดียว สัส ! ผมด่าพวกมันในใจ
“ดะ เด็กเฮียเหรอครับ” เพื่อนมันที่มาด้วยก็ไม่ต่างกัน ก็ผมเล่นจ้องพวกมันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียอย่างนั้น
“เออ นี่แฟนกู รีบไสหัวไปก่อนที่พวกมึงจะได้แดกตีนกูแทนข้าว” ผมกัดฟันพูดใส่หน้าไอ้เด็กรุ่นน้องปีสองเสียงดังมาก
“ขะ ขอโทษครับเฮีย” มันทั้งสองคนก้มหัวให้ผมแล้วเดินออกไปอย่างเร็ว จะว่าเดินก็ไม่ใช่พวกมันรีบวิ่งเลยแหละ
“ขี้ตู่ชะมัดเลย” ไวโอลินที่ยังนั่งตกใจกับเสียงของผมเอ่ยขึ้นมา
“อะไร” เสียงพูดของคนตัวเล็กทำให้ผมละสายตาจากไอ้สองตัวที่วิ่งเหมือนหมาหางจุกตูดนั้นแล้วกลับมามองเธอ
“พี่เอ็มขี้ตู่ ใครแฟนพี่กันคะ” ฉันลอยหน้าลอยตาพูด
“เดี๋ยวรู้กัน” ผมกระตุกยิ้ม เมื่อจ้องหน้าของคนน่ารัก
“รู้อะไรคะ” ฉันถามพี่เขาตรงๆ
“รู้ว่าเราจะเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ดีน่ะสิ” ผมเดินเข้ามาใกล้เธอ ใบหน้าของผมก้มลงไปหาเธอจนผมสัมผัสได้ว่าลมหายใจของเธอหอมมาก
“พะ พูดอะไร ใครจะเป็นแฟนพี่คะ” ฉันทำเฉไฉรีบเบี่ยงหน้าหลบหนีเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจและกลิ่นกายของเขาที่ลอยเข้ามาในจมูก
“หึ ! จีบอยู่ไม่รู้ตัวหรือไง” ผมจับใบหน้าสวยเอาไว้พร้อมทั้งบอกความรู้สึกดีๆให้น้องรับรู้
“พี่” ฉันพยายามกลอกตาไปมาไม่ยอมสบตาคู่เข้ม เพราะเขินพี่เขา บ้า! ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกนะว่าเขาจีบแต่ไม่อยากเข้าข้างตัวเองมากเกินไป แต่พอเขาพูดอย่างนี้มันก็ชัดแล้วล่ะ
“หลับตาทำไมมองหน้าพี่สิ พี่พูดจริง พี่จีบเราอยู่นะ” ผมบอกน้องน้อยเสียงตึงๆ อมยิ้มเล็กน้อยเมื่อพวงแก้มขาวทั้งสองข้างแดงระเรื่อ สงสัยเธอคงจะเขิน
“มะ ไม่รู้ด้วยหรอก โทรศัพท์หนูล่ะคะ” ฉันรีบดันมือของพี่เอ็มออกจากคาง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะกลัวว่าตัวเองจะเสียอาการและไม่เป็นตัวของตัวเองสักที
“รอก่อน” ผมนั่งลงข้างเธอ
“รออะไรคะ หนูอยากกลับแล้ว” ฉันบอกกลับอย่างงอแง เหมือนเด็กไม่อยากไปโรงเรียน
“รอพี่เลิกก่อน” หน้าตาหักงอเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจ ทำให้ผมแอบยิ้มและแกล้งทำเสียงดุใส่เธอ
“แต่หนูหิวข้าวแล้วนะ” ฉันบอกไปเพราะตอนนี้จะห้าโมงเย็นแล้ว ท้องไส้ก็เริ่มประท้วงเพราะว่ากินข้าวตั้งแต่เที่ยงแถมกิจกรรมก็สูบพลังงานฉันไปเยอะเลย
“อืม” ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินไปหาเพื่อน
“พี่บ้านี่ลุกหนีดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ แล้วมือถือหนูล่ะคืนสักทีสิค่ะ” ฉันได้แต่นั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ที่เดิม มองพี่เอ็มเดินไปหาพวกเพื่อนๆ ไม่รู้ว่าพวกพี่ๆเขาคุยอะไรกัน.. ไม่ถึงห้านาที..เขาก็กลับมา
“ปะ” ผมเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วรีบชวนไวโอลินพร้อมกับเก็บของแล้วเอื้อมมือมาหยิบกระเป๋าของเธอไปถือ
“ไปไหนคะ” ฉันถามพลางดึงกระเป๋ากลับแต่พอเจอสายตาดุดันฉันก็ปล่อยกระเป๋าให้พี่เขาถือให้ทันที
“กลับสิ” ผมตอบทั้งที่จับมือน้องมากุม
“พี่คะ” ฉันพยายามแกะมือใหญ่ของพี่เอ็มออกเพราะเขินอายสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉันและเขา
“เดินตามมาสิไม่หิวเหรอ พี่จะพาไปกินข้าวไง” ผมยังกุมมือน้องเอาไว้ ไม่ได้ตั้งใจดึงน้องแรงหรอกแค่เบาๆ แต่น้องคงตัวเบาจึงปลิวเข้ามาปะทะหลังของผม
“พี่ โอ๊ย ! เจ็บนะจะหยุดทำไมไม่บอกหนูก่อน” ฉันเจ็บจึงร้องประท้วงและยกมือทุบหลังของพี่เขาอย่างลืมตัว
“ไหนดูสิ เจ็บตรงไหน” ผมรีบจับมือของเธอออกจากหน้า และยื่นมือไปลูบรอยแดงตรงหน้าผากของเธอเบาๆ
“เอ่อ มะ ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” ฉันรีบขยับตัวถอยหลังหนี แต่พี่เอ็มก็จับแขนสองข้างของฉันไว้ให้ฉันยืนนิ่งๆ
“แน่ใจนะ” ผมยิ้มอย่างมีความสุขมาก ๆ เมื่อเห็นเธอหน้าแดง คงจะเขินผมแหละ
“นี่พี่จะหนีกิจกรรมของคณะแบบนี้เหรอคะ” ฉันรีบก้มหน้าเพราะว่าไม่กล้ามองหน้าพี่เขา แล้วแกล้งคุยเรื่องอื่นและชี้ไปที่คณะวิศวะรับน้อง
“ฝากเพื่อนไว้แล้ว ปะหิวไม่ใช่หรือไง” ผมบอกพร้อมกับจูงมือคนตัวเล็กให้เดินตาม
“ขอโทรศัพท์คืนให้หนูด้วยค่ะ” ฉันเดินตามรอยเท้าพี่เอ็ม และบอกพี่เขา
“พูดมากน่า จะไปไม่ไป” ผมเริ่มไม่พอใจจึงทำเสียงขึงขังใส่เธอ
“แต่หนูเอารถมานะ” ฉันบอกเขาไปตั้งแต่กลางวันแล้วนะว่าขับรถมา แต่ทำไมเขาพูดเหมือนจะไปส่งฉันอย่างนั้นแหละ
“ก็ไปรถเราไง” ผมบอก
ตึกตัก! ตึกตัก!..อีกแล้วนะ ทำไมใจฉันมันเต้นรัวเหมือนกลองถูกตีอย่างนี้นะ นี่ทำไมเขาขยันทำให้ใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะอย่างนี้ด้วย
“คนนิสัยไม่ดี” ฉันทำปากขมุบขมิบ แล้วฉันก็ต้องชะงักหยุดเดินเมื่อคนตัวสูงกว่าฉันมากหยุดแล้วหันมาเผชิญหน้ากับฉัน
“ใครนิสัยไม่ดี” ผมถามพลางเดินต้อนคนตัวน้อยที่คอยแต่จะเดินถอยหลัง
“พะ พี่ รถพี่ล่ะคะ” ฉันไม่ตอบคำถามของพี่เอ็มแต่เปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อให้เขาลืมเรื่องที่ฉันว่าเขา
“ฝากเพื่อนเอากลับแล้ว” ผมกระตุกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเอาตัวรอดของน้อง
“..” จนมุมเลยฉัน พูดและถามอะไรไปพี่เขาก็ตอบได้หมด
“จอดรถไว้ไหน” ความเงียบเดินตามต้อย ๆ ทำให้ผมถามเธอ
“หน้าตึกค่ะ” ฉันรีบบอก
“ไปเดินทางโน้น เดินตรงนี้แดดแรงมาก” และพอได้คำตอบผมก็พาเธอเดินต่อ โดยเปลี่ยนจากการจูงเป็นจับมือเธอเดิน
“ค่ะ” ฉันขานรับและตลอดทางฉันได้แต่ก้มหน้ามองพื้น เพราะรู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่มองมา จากตอนแรกที่เดินเข้ามาคนเดียวนั้นว่าเด่นแล้ว ตอนนี้ยิ่งเดินกับพี่เอ็มด้วยยิ่งเด่นเข้าไปอีก เสียงซุบซิบ ๆ จึงดังระงม
“คันไหนรถ” ผมถามเมื่อเดินมาถึงหน้าตึก มองคนข้างๆ แล้วมองรถที่จอดหลายคัน
“คันนั้นค่ะ” ฉันชี้ไปที่รถเก๋งสีขาวโตโยต้า
“กุญแจล่ะ” ผมมองตามมือของเธอแล้วหันมามองหน้าสวย
“ในกระเป๋าค่ะ” ฉันบอกพร้อมกับแบมือขอกระเป๋า แล้วเอามาค้นหากุญแจรถยื่นให้พี่เอ็ม
“ไปกินข้าวก่อนก็แล้วกัน” ผมเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่ง และบอกเธอเมื่อเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ
“ค่ะ” ฉันไม่ปฏิเสธ เพราะถึงจะปฏิเสธยังไงพี่เอ็มก็คงไม่ยอมฟังอยู่ดี…