“ขยับมาอีกสิ กะละมังใบเล็กนิดเดียว”
เขาสั่งคนที่นั่งข้างๆ หล่อนจามจนจมูกแดง เสื้อที่สวมเริ่มชุ่ม หมวกของหล่อนก็ด้วย เขาดึงหมวกหล่อนออก หมวกของตัวเองก็เช่นกัน ตอนนี้ใต้กะละมังใบย่อม จึงมีศีรษะของเขาและหล่อนซุกอยู่ใต้มันเพื่อหลบฝน
“ฮื่อ...หนาวชะมัดเลย ฮัดเช้ย!” อาทิตาบ่นแล้วจามอีกรอบ
ศราวิลคว้าเอวคอดของหล่อนแล้วรั้งเข้ามานั่งชิดๆ หล่อนทำตาขวางใส่
“เลิกทำเหมือนฉันเป็นตาแก่บ้ากามซะที ฉันมีศักดิ์ศรีพอ ไม่แตะต้องผู้หญิงที่ไม่เต็มใจหรอกน่า”
“อย่ามาพูดดี ผู้ชายก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ”
ศราวิลไม่เถียงในข้อนี้ สองตาเขาจ้องมองอาทิตา หล่อนจ้องเขาตอบเช่นกัน ลมแรงด้านนอกนั้นยังพัดอยู่ บ่าทั้งสองของเขามีหยาดฝนหล่นใส่จนชุ่ม
“นี่เธอตั้งใจยั่วโมโหฉันเหรอ”
“ฉันเปล่า” เธอตอบยิ้มๆ ประหลาดใจที่เขาเดาออก “ฉันแค่พูดความจริง ผู้ชายก็เหมือนกันหมด มองผู้หญิงเหมือนขนมหวาน ใครมีเงินก็ซื้อกินง่ายหน่อย กินทิ้งกินขว้าง”
ศราวิลอมยิ้ม อาจจริงที่เขาเป็นชายผู้มากเสน่ห์ แต่สาบานว่าไม่เคยกินทิ้งกินขว้าง มีแต่สมัครใจทั้งสองฝ่ายต่างหาก
“แล้วเธอล่ะ เป็นขนมหวานหรือเปล่า”
“แน่นอน เป็นสิ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคนหรอกนะ” เอ่ยขึ้นมาแล้วสีหน้าเปลี่ยนไป เธอเคยคิดว่าเป็นขนมหวานสำหรับใครบางคน แต่ว่า...เขาไม่เคยแตะต้องเธอเลย “ของบางสิ่งเกิดขึ้นเพราะคนบางคนตั้งใจทำ ความรู้สึกของมนุษย์ก็เหมือนกัน มันจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีคนบางคนเข้าใจมันเท่านั้น”
ศราวิลไม่เข้าใจนัก คำพูดที่ต้องตีความ บางทีก็ทำเขาปวดหัว เขามันพวกชัดเจน รักคือรัก เกลียดคือเกลียด ไม่อ้อมค้อม
“เหมือนว่าฝนจะทำให้เธออ่อนไหวนะ”
อาทิตายิ้มชืดๆ ฝนหรือ ฝนเป็นจุดอ่อนของเธอ
“อันที่จริงฉันเกลียดหน้าฝน มันเริ่มขึ้นตอนห้าขวบ ฉันรู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่เกินไป ใหญ่เกินกว่าที่เด็กห้าขวบจะอยู่ตามลำพังในตอนกลางคืน แต่แม่ก็ไม่เคยเข้าใจ แม่ส่งฉันเข้านอน คงเข้าใจว่าฉันหลับ แต่ฉันไม่ได้หลับหรอกนะ แล้วแม่ก็แต่งตัวสวยออกไปข้างนอกกับท่านศรา ฉันต้องเรียนรู้ที่จะโดดเดี่ยว เรียนรู้ที่จะเข้มแข็งในคืนที่มีพายุกระหน่ำ”
ศราวิลคล้ายมีความสะเทือนใจ อันที่จริงเขาก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ จะดีกว่าก็ตรงที่ในตอนที่บิดาเอาแต่ออกไปข้างนอกดึกดื่น เขายังมีมารดาอยู่ใกล้ๆ แม้บางครั้งหยดน้ำตาจะเปื้อนใบหน้าท่านก็ตาม
“ทำไมเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังล่ะ”
“ไม่รู้สิ เพราะฝนมั้ง” เธอฝืนยิ้ม ในดวงตามีหยดน้ำใสเคลือบคลอ สองแขนกอดอกไว้ หาความอบอุ่นให้ตัวเอง ไหล่ของเธอเย็นชื้น มันกำลังจะเปียกในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
ศราวิลเผลอมองอาทิตา รอยยิ้มเสแสร้งนั้นทำไมเขาจะมองไม่ออก ถ้าหล่อนไม่มีความสุขแล้วหล่อนจะยิ้มทำไม หัดมีความจริงใจกับตัวเองบ้างสิ
กะละมังใบน้อยถูกวางค้างไว้บนศีรษะ ให้มันช่วยกำบังหยาดน้ำฝน มือขวาของศราวิลโอบเอาเอวบางเข้ามาใกล้อีกนิด ในขณะที่มือซ้ายเชยปลายคางมนของหล่อนขึ้นมา เสียงหยาดฝนหล่นใส่กะละมังดังเปาะแปะ เสียงสายลมพัดผ่านกายดังหวีดหวิว แต่เขาไม่ใส่ใจ ในตอนนี้คล้ายกับว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ที่นี่มีเพียงเขาและอาทิตาเท่านั้น
“เธอทำสำเร็จแล้วซัน เธอเก่งมาก”
“คะ?” สิ่งที่เขาเอ่ยมาหมายความว่าอย่างไรอาทิตาก็ยากจะรู้ รู้แต่ว่าในตอนที่เธอมัวแต่คิด ใบหน้าเขาก็โน้มเข้ามาใกล้ ใกล้จนเธอเพิ่งรู้ตัว
“จะทำอะไร”
“ก็อ่อยเหยื่อไม่ใช่เหรอ นี่ไง...สำเร็จแล้ว เหยื่อติดกับ”
เหยื่อตัวโตอย่างศราวิลงับเบ็ดของอาทิตาเข้าให้แล้ว เขาวางริมฝีปากอุ่นลงกับริมฝีปากของหล่อน ไม่สนหยาดพิรุณที่พร่างพรม ไม่สนสายลมที่กำลังพัดพา ไม่สนแม้แต่ป้าพุดกับทิดอ่ำที่อยู่เบื้องหลัง ใต้กะละมังใบน้อยที่คลุมศีรษะของคนทั้งสองอยู่ บัดนี้มีแต่ความเร่าร้อน มิใช่แค่ริมฝีปากของศราวิลที่ขบเม้มริมฝีปากของอาทิตา แต่อาทิตาก็เผลอไผลไปกับจุมพิตนี้ มิได้ขัดขืน มิได้ปัดป้อง เต็มใจก้าวเข้าสู่ความรู้สึกประหลาดที่ศราวิลมอบให้
หญิงสาวละทิ้งความละอายใจ ขอโจนจ้วงสู่ห้วงปรารถนา อาจกล่าวได้ว่าเป็นความผิดของหยาดพิรุณ ที่บงการให้เธอกลายร่างเป็นแมงเม่าที่กำลังเต้นเร่าในกองเพลิง
เปาะแปะ...เปาะแปะ...เปาะแปะ...
เสียงฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบกะละมัง ริมฝีปากหนุ่มสาวถอนออกจากกันชั่วขณะ พวงแก้มของทั้งคู่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ต่างพากันเหลียวมองไปข้างหลังราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามิได้อยู่ตรงนี้เพียงลำพัง
“อะแฮ่ม คือ...กะละมังคงจะ...ปิด...พอดีมั้ง...” ศราวิลเอ่ยขึ้นก่อน
“อือ...” อาทิตาไม่ตอบ เพียงแค่ส่งเสียงอืออา เธอเขินจนไม่รู้จะพูดอะไรดี
ศราวิลเห็นดังนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ บรรยากาศแบบนี้หากปล่อยไปคงได้อึดอัดทั้งสองฝ่าย
“แต่ว่า...เอ่อ...คงดีกว่านี้ถ้ามื้อเที่ยงเธอไม่ได้ฉีกปลาร้าเป็นต่อนๆ”
“นี่! จะบ้าเหรอ ไม่มีกลิ่นซะหน่อย” เธอเถียงเสียงขรม หลังมื้อเที่ยงก็กินขนมหวานของป้าพุดไปตั้งเยอะ กลิ่นมันต้องเบาบางไปบ้างละน่า
“มี!” เขาตอบยิ้มๆ และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้อาทิตาถึงบางอ้อ
“ยิ้มอะไร! ยิ้มทำไม นี่แกล้งฉันใช่ไหม บอกแล้วว่าไม่มีกลิ่น ไม่มี! นี่แน่ะ!”
ตุ้บ!
“อ๊าก! เจ็บๆๆ” ศราวิลโอดโอยเกินจริง กำปั้นน้อยๆ ของหล่อนไม่ทำให้เขาเจ็บได้หรอก แม้จะซัดใส่ท้องเขาเต็มแรงก็ตาม
“สมน้ำหน้า อยากหื่นไม่เลือกเวลาดีนัก!”
“แหมๆๆ ก็พอกันละน่า”
“บรรยากาศมันพาไปต่างหากย่ะ” อาทิตาแก้ต่าง นึกอยากทุบถองคนตรงหน้าอีกสักที ดูรอยยิ้มเขาสิ ดูดวงตาเขาด้วย กรุ้มกริ่มจนเธอขนลุกไปหมด
“ขอบใจนะ”
“เรื่อง?”
“จูบ...”
ดวงตาสองคู่สานสบกันนิ่งนาน ฝนที่กำลังตกกระหน่ำทำให้ศราวิลกอดอาทิตาแน่นขึ้นอีก ไหล่ของพวกเขาเปียกหยาดน้ำฝน หน้าตักเปียกชุ่ม ผิวกายเย็นชื้น แต่ความรู้สึกรุ่มร้อนยังคุกรุ่นในกาย
“ถึงความเป็นจริงจะทำให้เราต้องโกรธเกลียดกัน แต่จูบเมื่อกี้มันดีเหลือเกิน ดี...จริงๆ นะ”
แล้วศราวิลก็ทนไม่ไหว โน้มใบหน้าเข้าหาอาทิตาอีกครา หญิงสาวมิอาจปฏิเสธบรรยากาศชวนอ่อนหวานนี้ เธอเอียงหน้าให้เขา รอรับรสจุมพิตที่เหมือนรสกัญชา เมื่อได้เสพสักคราก็มิอาจปฏิเสธได้อีก จำต้องโอนอ่อนผ่อนตาม
ในเมื่อเขาตักตวงความหวานจากจุมพิตนี้ แล้วทำไมเธอจะทำบ้างไม่ได้ มันก็แค่ส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาทางกายระหว่างชายหญิง พอฝนหยุดตก มันก็คงจะ...หายไป...
บทที่ 5
หัวใจฉันมันระบม