หลิวชิงสบตากับไป๋เซ่อที่นั่งบีบมือตัวเองแน่น ท่าทางตื่นกลัวนี้ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน
แต่ยามนี้หญิงสาวตรงหน้าความจำเสื่อม หลงลืมไปแล้วว่าตัวเองคือ ‘ฟู่เหยียนอวี้’ น้องสาวและญาติเพียงคนเดียวของประมุขพรรคกระเรียนดำ
ไป๋เซ่อหลุบตาลงแล้วย้ายสายตาไปทางมู่ลี่หยางที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นางรับฟังเรื่องจากชายที่ชื่อหลิวชิง ซึ่งยอมรับว่ารู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่มากจริงๆ แม้ในความฝัน นางมีภารกิจสำคัญต้องเดินทางไปที่หุบเขาอู่อี๋เพื่อพบใครคนหนึ่ง
“ข้า...ต้องเดินทางสินะ” นางพูดขึ้นหลังจากนิ่งฟังหลิวชิงมานาน “ข้ามีพี่ชายรออยู่”
หลิวชิงมองเห็นสายตาของฟู่เหยียนอวี้คอยลอบมองพรานหนุ่มผู้นั้นตลอด เขาก็พอเข้าใจได้ แต่ไม่อาจรั้งอยู่ได้นานไปกว่านี้ เขาจึงตัดสินใจยื่นข้อเสนอให้มู่ลี่หยางเดินทางไปพร้อมกัน หญิงสาวมีแววตาประกายตื่นเต้นยินดี แต่พอเห็นสีหน้านิ่งงันของมู่ลี่หยางแล้ว นางก็หลุบตาลงทันที มือขวาประมุขพรรคมารอยากมือขึ้นกุมขมับ เหตุใดฟู่เหยียนอวี้จึงกลายเป็นเช่นนี้
“ลี่หยาง เจ้าเดินทางไปเป็นเพื่อนไป๋เซ่อเถิด”
“พ่อบุญธรรม...” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตา
“เวลานี้นางจำอะไรไม่ได้ ไม่สิ...ความทรงจำสับสน หากเจ้าไม่ไปก็จะไม่มีใครทำให้นางเชื่อใจได้” หมอมู่จางหมิ่นถอนหายใจเบาๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวต่อ
“ถือว่าข้าขอให้ช่วย”
“พ่อบุญธรรมกล่าวเกินไปแล้ว ขอเพียงท่านสั่ง ข้าย่อมทำตาม” มู่ลี่หยางไม่กล้าปฏิเสธและใจก็ไม่คิดปฏิเสธเช่นกัน เพราะเขาเป็นห่วงนาง
“ดี” หมอมู่เอ่ยแล้วพูดกับไป๋เซ่อ “เจ้าไปเตรียมตัวเถิด ต้องรีบเดินทางแล้ว”
“เร็วถึงเพียงนี้?” แม้ดีใจที่มู่ลี่หยางเดินทางไปด้วยแต่นางยังไม่อยากจากที่นี่ไปนัก
“มีคนรอเจ้าอยู่” หมอมู่โบกมือไล่พร้อมกับหลิวชิง “เจ้าก็ไปช่วยนาง”
หลิวชิงรู้ความนัยจึงคารวะแล้วเชิญให้หญิงสาวเดินออกมา เมื่อในห้องไม่มีใคร หมอมู่จางหมิ่นก็เดินไปหยิบตัวยาหลายขนานเตรียมให้มู่ลี่หยางพกติดตัวไปด้วย
“ลี่หยาง เจ้าคงยังไม่ลืม ข้าเคยอยู่ในพรรคกระเรียนดำมาก่อน แม้ล้างมือจากยุทธภพ แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายได้”
มู่ลี่หยางเพียงนิ่งงันฟังถ้อยคำของมู่จางหมิ่น แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ เพราะเพลงยุทธ์ที่เขาใช้ปกป้องตนเองและออกล่าสัตว์นั้น มู่จางหมิ่นเป็นผู้สอน เขาจึงเป็นทั้งพ่อบุญธรรมที่เลี้ยงดูและอาจารย์ที่สั่งสอนให้ความรู้
เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่ขวดและตลับยาหลายชนิดมาอยู่ตรงหน้ามู่ลี่หยาง เด็กคนนี้เขาเลี้ยงเองมากับมือ แม้จะมารู้จักกันตอนสิบกว่าขวบแล้ว แต่ก็รักเอ็นดูราวบุตรชายแท้ๆ
“ข้าไม่รู้ว่านางคือฟู่เหยียนอวี้” มู่จางหมิ่นพูดไปตามจริง “และนางคือโอสถของท่านประมุข”
“โอสถ?”
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากเป็นเช่นที่ข้าคาดคิด เลือดของนางรักษาโรคประหลาดของท่านประมุข และเพราะนี้ท่านประมุขจะทำร้ายนางไม่ได้ แต่หากความลับนี้แพร่พรายออกไป แน่นอนว่าหลายคนต้องหวังกำจัดนาง เพราะถ้านางตายก็เท่ากับได้ทำลายประมุขพรรคกระเรียนดำลงได้”
“พ่อบุญธรรมจะให้ข้าทำอย่างไร”
“ดูแลนางให้ดี” มู่จางหมิ่นยิ้มแต่มีรอยเศร้าในดวงตา “แต่ความทรงจำนางอาจกลับมาได้ทุกเมื่อ ข้าไม่รู้ว่า หากนางจำได้ว่าตนเองเป็นใคร จะยังจำเรื่องราวในตอนนี้ได้หรือไม่”
“พ่อบุญธรรมหมายความว่า...นางอาจจำช่วงเวลาที่นางเป็นไป๋เซ่อไม่ได้...”
“ถูกต้อง”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
“ดี” มู่จางหมิ่นพยักหน้า คราวนี้เขาหันไปหยิบกระบี่ที่เก็บรักษาอย่างดียื่นให้มู่ลี่หยาง “รับไว้ เผื่อใช้ยามจำเป็น”
มู่ลี่หยางยื่นสองมือมารับกระบี่ เขารู้ว่ากระบี่เล่มนี้มีความหมายต่อพ่อบุญธรรมมากเพียงใด เขาไม่ได้จับกระบี่เล่มนี้นานมาแล้ว เมื่อรับมาไว้ในอุ้งมือพลันรู้สึกเหมือนได้พบสหายเก่า มู่จางหมิ่นมองเห็นแววตาบุรุษหนุ่มเบื้องหน้านึกย้อนวันวานของตนเอง มันเป็นชะตากรรมของแต่ละคน ต่อให้หนีมาไกลสุดหล้าเพียงใดก็ยังต้องกลับไปที่จุดเดิมนั้น
“เจ้าไปเตรียมตัวเดินทางเถิด ไม่ต้องห่วงทางนี้ เด็กๆพวกนี้ดูแลข้าได้”
ถ้อยคำหยอกล้อทำให้มุมปากมู่ลี่หยางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาเป็นคนยิ้มน้อยมาก เด็กๆในบ้านมักล้อเขาว่า ‘ยิ้มของพี่ลี่ หยางราคาแพงยิ่ง กว่าจะได้เห็นสักครั้งช่างยากเย็น’
“พ่อบุญธรรมรักษาตัวด้วย”
มู่จางหมิ่นไม่กล่าววาจาเพียงแค่โบกมือไปเหมือนรำคาญ ทว่าเมื่อร่างสูงก้าวออกไป เขาจึงหันกลับมามองความว่างเปล่าพลางถอนหายใจหนักหน่วง
หญิงสาวไม่มีของใช้ให้ต้องเก็บ ชายที่ชื่อหลิวชิงพูดกับนางว่าข้าวของเครื่องใช้ของนางมีอยู่แล้ว ท่าทีรีบร้อนเดินทางทำให้ไป๋เซ่อได้แต่กังวลใจ ในเมื่อไม่จำเป็นต้องนำสิ่งใดไป นางจึงยกเสื้อผ้าที่ได้มาให้หงเซ่อ แม้ว่าตอนนี้หงเซ่อจะยังใส่ไม่ได้ก็ตามแต่อีกไม่นานย่อมได้ใช้งานแน่
“พี่สาว ได้เจอครอบครัวแล้ว อย่าลืมพวกเรานะ” หงเซ่อแม้เด็กกว่าแต่ผ่านเรื่องเลวร้ายมามาก กลายเป็นเพาะบ่มลักษณะท่าทีดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย และเป็นหงเซ่อที่แย้มยิ้มดีใจที่ไป๋เซ่อได้พบคนในครอบครัว
ไป๋เซ่อพยักหน้าราวเด็กน้อย น้ำตาคลอเบ้าตาดูงดงามราวหยดน้ำ หงเซ่อกลั้นใจไม่ร้องไห้แล้วเป็นฝ่ายเขย่งปลายเท้าเช็ดน้ำตาให้ไป๋เซ่อ
“ห้ามร้องไห้เด็ดขาด พี่สาวจะได้กลับบ้านแล้วยิ้มแย้มถึงจะถูก”
“อื้อ” ไป๋เซ่อพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
“พี่สาวไม่ต้องกลัว พี่ลี่หยางไปด้วยต้องดูแลพี่สาวอย่างดี” หงเซ่อยื่นไปแสร้งจัดเสื้อผ้าให้ไป๋เซ่อราวกับพี่สาวที่กำลังส่งน้องสาวไปต่างเมือง “อย่าดื้อกับพี่ลี่หยาง ต้องเชื่อพี่ลี่หยางให้ดี”
“อื้อ”
ไป๋เซ่อได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะความสนใจทั้งหมดอยู่ที่หงเซ่อและเด็กๆ คนอื่นๆที่ยืนล้อมกายอยู่จึงไม่เห็นสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกของหลิวชิง ครู่ต่อมู่ลี่หยางสะพายผ้าคล้องไหล่ในมือถือวัตถุสิ่งหนึ่งพันห่อด้วยผ้าผืนเก่า แววตาเด็ดเดี่ยวดูองอาจไม่เหมือนพรานป่าทั่วไป หากแต่ไม่ได้ทำให้หลิวชิงแปลกใจนัก เพราะเขาคือคนที่มู่จางหมิ่นเลี้ยงดูมากับมือ บุคลิกจึงแทบถอดแบบมู่จางหมิ่นในวัยหนุ่มออกมาถึงเจ็ดส่วน