“แม้เสื้อผ้าที่ใส่ไม่งดงามหรือกินอาหารแทบไม่อิ่ม”
“ข้ากินอิ่มทุกมื้อ” นางรีบพูดขึ้น “ข้าชอบเสื้อผ้าที่ใส่ ชอบทุกคนที่นี่ ทุกคนดีกับข้ามาก ทั้งที่ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หมอมู่พยักหน้ารับเป็นจังหวะที่มีชาวบ้านเข้ามาหาให้รักษาอาหารเจ็บท้อง
“ไป๋เซ่อไปจับปลากัน” หงเซ่อมาดึงมือหญิงสาวให้เดินตาม
“จับปลา?” นางทำตาโต “ข้าจับไม่เป็น”
“ข้าสอนเอง” หงเซ่อหัวเราะร่า “พี่ลี่หยางชอบกินปลา เราไปจับปลามาทำแกงให้พี่ลี่หยางกัน”
“พี่ลี่หยางชอบกินปลาหรือ?” นางทำตาปริบๆ เดินตามคนตัวเล็กที่เดินนำหน้ามุ่งไปลำธารไม่ไกลนัก
“ใช่ พี่ลี่หยางชอบกินปลามาก แต่เขาสละให้พวกเรากินก่อนเสมอ”
“อื้ม”
ไป๋เซ่อยิ้มกว้าง ดีใจที่รู้ว่ามู่ลี่หยางชอบอะไร ไม่รู้เหตุใด นางอยากทำอะไรเพื่อเขาบ้าง หญิงสาวจึงไปที่ลำธาร ทำทุกอย่างที่หงเซ่อสอน ด้วยใจหวังว่าจะทำให้มู่ลี่หยางมีความสุขเหมือนที่เขาทำให้นางอบอุ่นใจในทุกคืน
หลังจากส่งคนป่วยออกจากเรือนไปแล้ว หมอมู่ก็กลับมาสนใจกับสมุนไพรที่เก็บมา เขาสอนเด็กๆให้รู้จักสมุนไพรต่างและการรักษาอาการเจ็บป่วยพื้นฐาน หากคนใดสนใจการแพทย์ เขาก็เต็มใจสอน เพื่อให้พวกเขาได้มีความรู้ติดตัว
หมอมู่จางหมิ่นรับรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงเงยหน้าขึ้นจากกระจาดสมุนไพร ดวงตาหรี่มองอย่างประเมินก่อนถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนมองเลยไปด้านหลัง เด็กๆ ต่างจ้องมองอย่างตื่นเต้นจนเขาต้องโบกมือไล่ให้ไปที่อื่นก่อน
“ท่านหมอมู่” ผู้มาเยือนประสานมือคารวะ
“ท่านหลิวชิงมาหาข้าถึงที่นี่มีเรื่องใดรึ”
“ท่านหมอมู่กล่าวเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มด้วยท่าทีสุภาพและอ่อนน้อม ยิ้มเอ็นดูบรรดาเด็กๆ ที่มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ชีวิตที่นี่ดูสงบดีจริง”
“ข้าย่อมเลือกอยู่ที่ที่อยู่แล้วสบายใจ” หมอมู่ยกกระจาดสมุนไพรขึ้นวางบนชั้น แล้วปัดมือไปมาก่อนจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่าย “เจ้าคงไม่ได้แค่มาดูว่าข้าเป็นอยู่อย่างไรใช่หรือไม่”
“ท่านหมอมู่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว” เขาไม่เก็บความวิตกกังวลในแววตา “เดิมทีข้าไม่ได้คิดจะมารบกวนท่าน แต่ด้วยจนปัญญาและที่นี่อยู่ใกล้ที่สุดจึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ”
หมอมู่จางหมิ่นโบกมือไปมาราวกับไล่แมลงรำคาญ “ต้องการสิ่งใดก็พูดมา”
“โอสถของประมุขหายไป”
“หือ?” คราวนี้หมอมู่เลิกคิ้วประหลาดใจ “ปกติคุ้มกันอย่างดีมิใช่รึ?”
“เป็นข้าที่สะเพร่าเองจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“สะเพร่า? คนอย่างหลิวชิงรึจะสะเพร่าได้ถึงเพียงนี้” หมอมู่ส่ายหน้าไปมา “แต่ข้าออกจากพรรคกระเรียนดำมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปเคยพบเห็นโอสถของท่านประมุขได้อย่างไร”
สิ่งที่ทำให้มู่จางหมิ่นวางมือเรื่องในพรรคมารก็เพราะ ‘โอสถ’ ของท่านประมุข สองมือเคยเปื้อนเลือด ฆ่าคนเป็นผักปลา แต่เขาล้างมือและใช้ความรู้รักษาผู้อื่น แม้ไม่อาจชดเชยที่ทำมาแต่ก็พยายามทำเท่าที่มือคู่นี้จะทำได้ นั้นคือเหตุผลที่เขารับเลี้ยงเด็กกำพร้าเหล่านี้
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เจ้าจะได้ไม่เสียเวลา”
หลิวชิงหยิบกระดาษม้วนออกมาคลี่ออกแล้วส่งให้หมอมู่จางหมิ่น หมอมู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ท่านหมอมู่...”
“ข้า...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงเด็กๆ ร้องเรียก ‘พี่ลี่หยาง’
มู่ลี่หยางที่เพิ่งกลับจากเขาถูกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง เขาเงยหน้าขึ้นมองสบตากับชายหนุ่มผอมบางราวบัณฑิตอ่อนวัย อีกฝ่ายยิ้มบางเบา แต่แววตาไร้ความอ่อนโยน เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ มือที่จับคันธนูอยู่แกร่งขึ้นทันที
“ผู้นี้เป็นสหายเก่าของข้าเอง” หมอมู่รีบพูดขึ้น “แล้วหงเซ่อล่ะ เห็นว่าไปจับปลานี่ เจ้าไปดูทีสิ เด็กๆ เล่นน้ำกันเพลินจะเกิดอันตรายหรือไม่”
มู่ลี่หยางรู้สึกได้ทันทีว่าพ่อบุญธรรมต้องการสิ่งใด เขาเพียงผงกศีรษะรับคำสั่ง ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าออกไป หงเซ่อก็จูงมือหญิงสาวที่หัวเราะเสียงใสวิ่งเข้ามาในบริเวณลานกว้าง เพียงหลิวชิงได้เห็นหญิงสาวเต็มตา เขาก็ก้าวเท้าตรงมาทางไป๋เซ่อทันทีพร้อมยื่นมือไปหมายจับข้อมือของหญิงสาว ไป๋เซ่อตกใจกับการพุ่งตรงมาของชายแปลกหน้าได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ทว่ายังไม่ทันทีหลิวชิงจะถึงตัวหญิงสาว มู่ลี่หยางก็เข้ามาขวางไว้ก่อน หลิวชิงใช้ฝ่ามือตอบโต้แต่มู่ลี่หยางก็ตั้งกระบวนท่ารับอย่างว่องไว
“ไป๋เซ่อ หนีไป!” หมอมู่ตะโกนออกไปทำให้หญิงสาวได้สติรีบหมุนตัวสาวเท้าวิ่งทันที
“คุณหนู!” หลิวชิงตะโกนเรียก “คุณหนูฟู่เหยียนอวี้”
ได้ยินเพียงแค่นั้น สองเท้าก็ชะงักไปทันที นางหันกลับมามองด้วยแววตางุนงงและสับสน
คล้ายว่า...มีคนเรียกนางเช่นนี้มาก่อน
หรือว่า...นี่จะเป็นชื่อของนาง
หลิวชิงออกแรงเดินลมปราณสะบัดหลังมือใส่คนที่ขวางทางเขา ทำให้ร่างของมู่ลี่หยางถึงกับเสียหลักถอยไปสองก้าว ไป๋เซ่อกรีดร้องตกใจแล้วรีบวิ่งมากางแขนยืนขวางร่างมู่ลี่ หยางเพื่อปกป้องเขา
“ห้ามทำร้ายพี่ลี่หยาง!”
หลิวชิงประหลาดใจกับท่าทางของฟู่เหยียนอวี้ แต่เขาเคยชินกับการรับคำสั่งจึงประสานมือรับคำสั่งทันที
“หลิวชิงรับคำสั่งขอรับ”
“ท่าน...รู้จักข้ารึ” แม้เสียงพูดของไป๋เซ่อจะแผ่วเบา แต่กระนั้นหลิวชิงก็ได้ยินชัด เขามองอย่างประหลาดใจแล้วย้ายสายตาไปทางหมอมู่จางหมิ่น
“คุณหนูจำข้าไม่ได้รึขอรับ”
ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก มู่ลี่หยางก้าวมาข้างหน้าแล้วเอ่ย
“นางจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อของตนเอง”
“เรื่องเป็นเช่นนี้เอง ข้ากับผู้อารักขาออกติดตามคุณหนูนานนับเดือนแทบหมดหนทาง จึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านหมอมู่”
หมอมู่จางหมิ่นเค้นเสียงในลำคอ “เข้ามาคุยข้างใน”
ไป๋เซ่อยังยืนนิ่งอย่างสับสน มู่ลี่หยางเอื้อมมือไปกุมมือเล็กไว้ ไออุ่นจากฝ่ามือหยาบกระด้างทำให้หญิงสาวได้สติแล้วฝืนยิ้มออกมา ทว่าสายตาของหลิวชิงกลับมีแววกังวลใจกับสถานการณ์ไม่คาดคิดเช่นนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องพา ‘โอสถ’ ของประมุขกลับไปให้ได้.