เซียนบุปผาค่อยๆ ย่างก้าวขึ้นไป... สองข้างของจอมมารนั้นมีปีศาจสาวสองตนอยู่ข้างกาย ตนหนึ่งคือปีศาจงูที่นางเคยพบเจอ ส่วนอีกตนหนึ่งนั้นนางไม่ทราบว่าเป็นปีศาจอะไร แต่ทว่าใบหน้านางงดงามยิ่งนัก
“คุกเข่าลง”
เซียนบุปผาไม่ทราบว่าเขาต้องการทำอันใดนางกันแน่ นางคุกเข่าลงกับพื้นหินอันเย็นเฉียบตามคำสั่งของเขา จอมมารยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสวมโซ่เส้นนั้นไปบนลำคอระหงของนาง
โซ่เย็นเฉียบที่สัมผัสกับลำคอของนางนั้นทำให้นางลืมตาขึ้น เพียงชั่วพริบตาโซ่นั่นก็จางหายไปด้วยมนต์ทำให้นางไม่รู้สึกถึงมันอีก ราวกับว่านางไม่ได้สวมใส่มันเอาไว้...
เสียงโห่ร้องระงมยินดีของเหล่าปีศาจดังขึ้นทำเอาเซียนบุปผาถึงกับหูอื้อ นางจับใจความได้ว่าสิ่งที่พวกมันพูดเป็นคำกล่าวที่คล้ายกับชื่นชมจอมมาร ที่จอมมารจับเซียนมาเป็นสัตว์เลี้ยง ทั้งนางยังได้ยินถ้อยคำด่าหยาบคายที่ปีศาจกล่าวถึงสวรรค์และเทพเซียน...
น้ำตาของเซียนบุปผาไหลรินออกมาอีกครั้ง
นางรู้สึกเหมือนตนเองถูกทำลายศักดิ์ศรีจนหมดสิ้น ไม่เพียงแค่ศักดิ์ศรีของนาง แต่รวมถึงศักดิ์ศรีของเหล่าเทพเซียนด้วย
มือของเซียนบุปผากำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ นางกัดริมฝีปากจนรับรู้ถึงรสฝาดของเลือด “จอมมาร! เจ้าทำเช่นนี้ สู้ฆ่าข้าเลยยังดีเสียกว่า!”
นี่เป็นประโยคแรกที่นางรวบรวมความกล้าหารเอ่ยขึ้นมาได้
แต่ทว่าจอมมารกลับหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ “ฆ่าเจ้ามันง่ายเกินไป...” เขาเผยรอยยิ้มจนเห็นเขี้ยวแหลมคม “สู้เก็บเจ้าไว้ข้างกายมีประโยชน์กว่าตั้งมาก”
นางของนางถูกเชยขึ้น จอมมารเห็นเลือดไหลซึมออกมาจากริมฝีปากบางเขาถึงดึงนางขึ้นมาจูบต่อหน้าปีศาจหลายร้อยตนที่มองดูอยู่อย่างสนใจ
เซียนบุปผาไม่คิดว่าจอมมารจะทำเช่นนี้ต่อหน้าสายตามากมาย นางตกใจจนเผยริมฝีปากออกทำให้จอมมารสามารถรุกล้ำเข้ามาตักตวงความหวานจากภายในของนางได้ แม้นางจะพยายามขัดขืนแต่ทว่านางก็ไม่อาจจะขยับได้ ราวกับว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้ จึงได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอย่างเจ็บใจ
เมื่อจอมมารพึงพอใจแล้วเขาถึงถอยออกห่างจากริมฝีปากที่บวมเจ่อ
“เซียนอย่างเจ้าทำได้แต่ร้องไห้หรือไง”
นางเมินสายตาของเขา ต่อหน้าต่อตาปีศาจสองนางข้างกายของเขาที่ดูเหมือนจะเป็นสตรีของเขา เขากับล่วงเกินนางอย่างไม่ไว้หน้าปีศาจสาวทั้งสอง เซียนบุปผารับรู้ถึงสายตาของปีศาจงูที่กำลังทิ่มแทงนางแม้จะไม่หันไปมอง นางถูกจอมมารบังคับให้ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่าจนกระทั่งใบหน้านางขึ้นสีแดงก่ำ
“คอเจ้าอ่อนถึงเพียงนี้เชียว?”
คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบกลับ ทำให้จอมมารเกือบหมดความอดทน แต่ทว่าจิ้งจอกสาวที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“นางคงไม่ไหวแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ริมฝีปากแดงของนางคลี่ยิ้ม “เซียนบุปผาตนนี้รูปร่างหน้าตาดียิ่งนักถึงว่าเหตุใดท่านจอมมารถึงได้ถูกใจ แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกสนใจนางเช่นกัน หากเมื่อใดที่ท่านจอมมารเบื่อนางแล้ว ท่านจะส่งนางมาให้ข้าได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
จอมมารหันไปมองซูเม่ยที่เอ่ยขึ้น “ได้ หากข้าเบื่อนางแล้วข้าจะส่งให้เจ้า” เขาตอบรับออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่ก็ทำให้ซิงเยียนรู้สึกไม่พึงพอใจเท่าไหร่นัก เพราะตอนที่นางเอ่ยขอ จอมมารไม่ยอมยกเซียนบุปผาไร้ค่านี่ให้นาง มิหน้ำซ้ำยังทำร้ายนางจนบาดเจ็บ แต่ถึงซิงเยียนจะไม่พอใจเพียงใดนางก็ได้แต่เก็บเอาไว้ในใจไม่เอ่ยออกมา
เซียนบุปผาแม้จะมอมเมานางก็ยังคงได้ยินทุกอย่างชัดเจน นางเจ็บใจนักที่จอมมารทำกับนางเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงไม่ก็สิ่งของ! นางพยายามที่จะรวบรวมพลังไว้แกนกลางของดวงจิตเพื่อหมายจะทำลายดวงจิตของตนเองแต่ทว่ากลับถูกจอมมารขัดขวาง
ร่างเล็กไอกระอักเลือดออกมา สายตาของนางพร่ามัว...
ร่างของเซียนบุปผายังคงอยู่ภายในอ้อมแขนแกร่งของจอมมาร เมื่อสักครู่เขานึกไม่ถึงว่านางจะใจกล้าถึงขนาดคิดจะทำลายดวงจิต ซึ่งผู้ที่ถูกทำลาย หรือทำลายดวงจิตตนเองนั้นจะไม่สามารถกลับไปเกินอีกได้ เขารู้สึกโมโหจนอยากจะกระชากร่างบางออกเป็นชิ้นๆ เพราะกับเพียงแค่เซียนบุปผาตนเดียวเขาไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถควบคุมนางให้เชื่อฟังได้!
“เจ้าอย่าได้โง่นัก!ชีวิตของเจ้าคือของของข้า!”
นั่นคือถ้อยคำสุดท้ายที่เซียนบุปผาได้ยิน ก่อนที่นางจะหมดสติไป...