เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบามาตามสายลมอ่อนๆ ร่างบางยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่แข่งกันแบ่งบาน นางยิ้มร่าเริงมองดอกไม้หลายดอกได้รับกายเนื้อและออกมาร่ายรำดอกแล้วดอกเล่า จนเหลือเพียงกุหลาบขาวดอกหนึ่ง...แต่ทว่าก่อนกุหลาบขาวดอกนั้นจะผลิบานเต็มที่ สายลมพายุกับพัดกุหลาบขาวดอกนั้นจนหักออกจากต้นดำดิ่งลงไปยังความมืดมิด แม้นางจะพยายามเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้ก็ไม่สามารถคว้าได้ จนในที่สุดนางเองก็ตกลงไปในความมืดมิดด้วยเช่นกัน...
แม้จะยังไม่รู้สึกตัวดี แต่ทว่าความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นบนกายของนางจากสัมผัสไม่ที่รู้จากคำว่าอ่อนโยนนั้นทำให้นางส่งเสียงร้องครางออกมา สติของนางเริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ เอวของนางถูกมือใหญ่เกาะกุม...แก่นกายแกร่งกระแทกเข้ามาในร่างของนางครั้งแล้วครั้งเล่า หนนี้นางไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป มีเพียงความรู้สึกจุกภายในช่องท้องและความเสียวซ่านเท่านั้น
“อ้า~ข้าจะไม่ไหวแล้ว อ๊า~~~”
ร่างของนางกระตุกเกร็ง จอมมารมองร่างบางใต้ร่างอย่างพึงพอใจ แม้นางจะสุขสมแล้วเขาก็ยังคงกระแทกเข้ามาไม่หยุด ร่างใหญ่โน้มตัวลงดูดดื่มยอดปทุมถันสีชมพูจนนางส่งเสียงร้องดังยิ่งกว่าเดิม
เซียนบุปผาไม่ทราบว่าเหตุใดร่างกายของนางถึงตอบสนองเขาได้ดียิ่งกว่าเดิม นางร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตาเหลืออยู่ แม้จะสิ้นหวังต่อชีวิตจนอยากตายมากเพียงใดจอมมารก็ไม่ยอมให้นางตาย...
น้ำอุ่นถูกฉีดเข้ามาจนท้องของนางรู้สึกร้อนวูบ จอมมารส่งเสียงร้องอย่างสุขสม เขาแหงนหน้าขึ้นเพดานก่อนจะก้มลงมามองดูกลีบบุปผาแดงช้ำที่มีน้ำสีขาวขุ่นของเขาไหลออกมา
เซียนบุปผาหอบหายใจ...ในที่สุดฝันร้ายของค่ำคืนนี้ก็จบแล้ว...
“บุปผาน้อย...ตอบมาว่าเจ้าเป็นของใคร” เสียงกระซิบเบาแหบพร่าดังที่ข้างหูของนางก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะดูดเม้ม
“ข้าคือของ...จอมมาร...” นางตอบกลับตามถ้อยคำที่เขาอยากได้ยิน
“หึ ในที่สุดเจ้าก็ฉลาดเสียที”
เขาลุกขึ้นออกจากกายของนางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาสวมแล้วออกไปจากห้องโดยไม่เอ่ยคำใดกับนางอีก
เซียนบุปผายันกายอันเหนื่อยล้าให้ลุกขึ้น...
จอมมารโหดร้ายกว่าที่นางเคยฟังอาจารย์เล่าให้ฟังตอนนางยังเป็นเพียงกุหลาบขาวมากนัก แม้นางจะหมดสติเขาก็ขืนใจนางโดดไม่สนสิ่งใด...
นางไม่สนใจที่จะสวมใส่เสื้อผ้าอีกต่อไป นางเพียงเอาผ้ามาคลุมกายเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียจอมมารก็ไม่ให้นางก้าวเท้าออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว มิหน้ำซ้ำเมื่อเขามาหานางเขาก็กระชากชุดนางออกอย่างไม่ไยดี แล้วเช่นนี้นางจะยังคงสวมเสื้อผ้าอีกทำไม
ร่างที่เหมือนกับไร้วิญญาณนอนนิ่งอยู่บนเตียง
นางไม่ทราบเลยว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว... นางไม่ทราบแม้กระทั่งมีคนเดินเข้ามาถึงเตียงของนาง...
“เจ้าเป็นเซียนที่น่าเวทนายิ่งนัก” น้ำเสียงหวานแต่ออกแหลมเอ่ยออกมาเรียกสติเซียนบุปผาให้รู้สึกตัว นิ้วเรียวยาวที่มีคมเล็บสีแดงลูบไล้แก้มผ่องของเซียนบุปผาเบาๆ “เจ้าอยากแก้แค้นจอมมารหรือไม่...”
ได้ผล คำของปีศาจจิ้งจอกทำให้สติของเซียนบุปผากลับมาอีกครั้ง
“เจ้าคือ...ปีศาจจิ้งจอก...”
นางรวบผ้าคลุมกายก่อนจะถอยหลังไปให้ห่างทันทีอย่างหวาดกลัว นางเห็นหางจิ้งจอกของปีศาจจิ้งจอกที่โผล่มาชั่วครู่โดยนับได้ถึงแปดหาง...
ซูเม่ยเห็นท่าทีตื่นกลัวของเซียนบุปผาแล้วก็เผยรอยยิ้มที่ไม่อาจจะขาดเดาได้ นางเดินเข้าไปใกล้เซียนบุปผาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาราวกับกระซิบ...
“เจ้าคงเคยได้ยินมาว่าปีศาจไร้หัวใจ...แต่แท้จริงแล้วพวกเราก็มีความรู้สึกรักหรือเกลียดได้เช่นกัน”
“เจ้าเอามาบอกข้าทำไม...”
ริมฝีปากแดงคลี่ยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มที่เซียนบุปผาไม่ได้เห็นนี้น่ากลัวยิ่งนัก “เพราะข้าอยากช่วยเจ้า...หากเจ้าอยากมีชีวิตรอดกลับไปสวรรค์และได้แก้แค้นจอมมารก็จงฟังข้า...ทำให้จอมมารหลงรักเจ้าเสีย เมื่อใดที่เจ้าทำให้จอมมารมอบความรักให้แก่เจ้าได้ ข้าจะพาเจ้าหนีกลับสวรรค์”
เซียนบุปผาเบิกตากว้าง นางเงยหน้ามองสตรีที่ใบหน้างดงามยิ่งเสียกว่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์หลายคนที่นางเคยพบเจออย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าเองก็เป็นสตรีของจอมมารไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดเจ้าถึงคิดจะให้ข้าทำให้จอมมารหลงรัก” ใช่ ถึงจอมมารจะไม่เอ่ยปากบอก แต่นางก็พอจะรู้ว่าสตรีสองนางที่อยู่ข้างกายจอมมารนั้นย่อมไม่ใช่ปีศาจธรรมดา
“เพราะข้าก็เกลียดจอมมารเหมือนเจ้าอย่างไรเล่า” นางแสร้งพูด แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายของนางยังไม่อาจจะเปิดเผยได้ “ไม่ต้องเป็นห่วง...เจ้ารู้หรือไม่ ตั้งแต่ที่จอมมารเก็บเจ้ามาได้เขาก็ไม่มาหาหรือเตะต้องกายพวกข้าอีกเลย เพราะเขากำลังหลงใหลในตัวเจ้าไง”
มือเรียวขาวลูบไล้ผมดกดำของเซียนบุปผาแผ่วเบา กลิ่นกายของนางช่างหอมแตกต่างจากปีศาจมากนัก ปีศาจจิ้งจอกจึงไม่แปลกใจเลยที่จอมมารจะหลงเรือนร่างของเซียนผู้นี้ “เซียนบุปผาน้อย...เมื่อใดที่หัวใจของจอมมารมีเจ้าอยู่ แล้วเมื่อนั้นเจ้าทิ้งเขาไปเจ้าจะทำให้เขาทรมานดั่งตายทั้งเป็น...” มุมปากของซูเม่ยยกขึ้น “เชื่อข้า...แล้วเจ้าจะได้แก้แค้นจอมมารอย่างสาสม”