2
งานแต่งล่ม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่ทีตื่นหรือยังครับ นี่ผมก่อเองนะพี่”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่ที”
“เออ ได้ยินแล้วเข้ามาเลย ประตูไม่น่าจะล็อก” คนบนเตียงตะโกนออกไปดัง ๆ เมื่อครู่นี้แม่สาวแปลกหน้าคนนั้น วิ่งแจ้นออกไปแบบรีบ ๆ คงไม่ทันได้กดล็อกประตูให้เขาด้วยซ้ำ
“อ้าวไม่ล็อกจริง ๆ ด้วย”
ก่อฤกษ์ก้าวเท้าเข้าห้องมาแล้ว เป็นอันต้องผงะกับสภาพห้องหอของพี่ชาย รีบหันกลับไปปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นสภาพในห้องนี้ เสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง ดอกไม้ประดับห้องล้มระเนระนาดไปคนละทิศทาง ที่สำคัญเจ้าบ่าวที่ไร้เจ้าสาวเข้าหอแบบกลทีป์ ยังอยู่ในสภาพเปลือยหมดไปทั้งตัว เขาถอนหายใจหนัก ๆ ผ้าปูเตียงยับย่นขนาดนั้น คงจัดหนักจัดเต็มมาตลอดทั้งคืนแน่
“พี่ทีไปฟัดกับใครมาครับเนี่ย” จากคนจะมาปลอบใจพี่ชาย กลับต้องมาเจอเรื่องตื่นเต้นเร้าใจแทน
“ถ้ารู้แล้วจะบอก”
“เฮ้ย จริงเหรอพี่ที ผมจำได้ว่าเมื่อคืนเรานั่งดื่มกันสองคนในห้องผมนี่นา ผมหลับไปก่อนนึกว่าพี่จะนอนที่ห้องผมเลย ใครจะคิดล่ะ ว่า พี่จะกลับมานอนในห้องหอนี่ แถมยังพาสาวมาพังห้องซะราบคาบ” คนพูดยิ้มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มไปหมด
“ไม่รู้โว้ย ฉันจำไม่ได้”
“อ้าวไหงงั้นล่ะพี่ที ว่าแต่สาวคนนั้นเป็นใครครับ ทำไมถึงได้ลากเข้าห้องหอได้ล่ะพี่ที นี่พี่ทีกะเอาคืนคุณดาวแหง ๆ เลยผมว่า”
“ฉันไม่รู้ไม่ได้คิดจะเอาคืนใครทั้งนั้น ฉันเมาเขาก็เมาต่างคนต่างเมา แล้วมันก็เป็นอย่างที่แกเห็นนี่แหละ”
“ผมว่าต้องเป็นแขกสักคนในงานแน่ ว้าวซ่ามากกล้ามาทำกับเจ้าบ่าว ที่กำลังเสียใจอยู่แบบนี้ได้ยังไง เอ๊ะ หรือว่าเข้ามาปลอบใจพี่ทีกันแน่ ใครกันน้าชักอยากรู้แล้วสิ โอ๊ย !”
ก่อฤกษ์หลบหมอนที่ลอยมาเกือบไม่ทัน แต่คิดอีกทีแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยพี่ชายของเขายังมีคนอยู่ด้วยตลอดทั้งคืน ได้ปลดปล่อยความเครียดออกไปบ้าง ดีกว่าเก็บกดเอาไว้กับตัวจนเกินไป
“แล้วหลังจากนั้นที่งานเป็นไงบ้าง แกพอรู้ไหมก่อ” แววตาคนถามเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที แม้ไม่อยากรับรู้แต่ก็วิ่งหนีมันไม่ได้อยู่ดี
“รู้ครับพี่ที คุณพ่อกับคุณแม่มาคุยด้วยเมื่อกี้นี้เอง บอกว่าฝ่ายคุณอาเด่นภูมิกับภรรยา ต้องขึ้นไปขอโทษแขกเหรื่อทั้งหมด และน้อมรับความผิดเอาไว้แต่ฝ่ายเดียว ขอโทษคุณพ่อกับคุณแม่แล้วก็พี่ทีมาด้วย” ก่อฤกษ์เล่าแบบสั้น ๆ แต่ได้ใจความ
“แปลว่าเขารู้เรื่องลูกสาวเขาอยู่ก่อนหน้าแล้วสินะ”
“คุณพ่อไปต่อว่าและเค้นเอาความจริงครับ ถึงได้รู้ว่าทางนั้นรู้มาตลอดว่าลูกสาวมีคนรักเป็นผู้หญิง แต่ยอมรับไม่ได้เลยบังคับให้มาแต่งงานกับพี่ทีแทน”
“แล้วฉันก็โง่ ยอมแต่งงานกับคนที่คุณพ่อคุณแม่หาให้แบบง่าย ๆ โดยไม่สืบประวัติให้ดีเสียก่อน” เขาเยาะเย้ยตัวเองไปด้วย แค่ไม่อยากขัดผู้ใหญ่ อีกทั้งตัวเองไม่ได้คบหากับใครอยู่ด้วย ต้องเรียกว่าไม่เจอคนที่ใช่สักที จนยอมรับเรื่องแต่งงานแบบง่าย ๆ สุดท้ายก็เละไม่เป็นท่า โทษใครได้ล่ะเรื่องต้องโทษตัวเองล้วน ๆ
“ผมว่าช่วงนี้พี่ทีอย่าเพิ่งเข้าบริษัทเลยนะครับ”
“ทำไม” กลทีป์หรี่ตามองน้องชายเล็กน้อย
“ก็เรื่องแบบนี้คงกระจายไปทั้งบริษัทแล้วมั้งพี่ที ผู้บริหารมากันหมดบริษัทแบบนั้น” เรื่องซุบซิบนินทาคงหนีไม่พ้น
“ทำไมฉันต้องหัวหดด้วย ฉันไม่ใช่คนผิดสักหน่อยนะก่อ”
ก่อฤกษ์พอจะเข้าใจความรู้สึกของพี่ชายอยู่บ้าง เขายักไหล่ขึ้นเล็กน้อย
“ตามใจแล้วกันครับ จะว่าไปคงไม่มีใครกล้านินทาพี่ทีต่อหน้าหรอกครับ” ‘แต่ลับหลังก็ไม่แน่’
“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ คุณพ่อกับคุณแม่คงให้แกมาดูฉันล่ะสิ”
“ครับ ท่านเป็นห่วงน่ะครับ”
“แกออกไปก่อนไปก่อ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วจะกลับบ้านเลย บอกคุณพ่อคุณแม่ให้กลับไปก่อนได้เลย เดี๋ยวฉันตามไปทีหลังเอง”
“พี่ทีโอเคแน่นะครับ” คนเป็นน้องชายส่งสายตาเป็นห่วง
“อืม แค่นี้ไม่ตายหรอกน่า”
“งั้นผมไปก่อนนะพี่ เจอกันที่บ้านนะครับ”
“อืม” กลทีป์มองตามหลังน้องชายที่ปิดประตูลง เขายกมือขึ้นเสยเส้นผมแบบลวก ๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นชีวิตจากตรงไหนดี
การแต่งงานที่ผู้ใหญ่เป็นคนจัดการให้ ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันแบบผิวเผิน นัดดูตัวหาฤกษ์แต่งกันเลยภายในหนึ่งปี ระหว่างนั้นเขาไม่เคยรู้เลยว่า นภาวดีมีคนรักอยู่ก่อนหน้าแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงด้วยกันอีกด้วย ยังจำภาพที่เจ้าสาวของเขา หันมามองเขาด้วยสายตาขอโทษได้อยู่
‘ขอโทษนะคะคุณที ดาวขอโทษจริง ๆ ค่ะ’
นภาวดีพูดแค่นั้นก่อนกระโดดลงจากเวที ไปสวมกอดกับคนรัก ที่อยู่ในชุดสูทสีดำสนิท อีกฝ่ายตั้งใจใส่สีนี้มาเหยียบหน้าเขาชัด ๆ จากนั้นก็จับมือพากันวิ่งหนีออกจากงานแต่งไป ต่อหน้าต่อตาของแขกทั้งหมดสามร้อยกว่าชีวิต
พังพินาศไม่เป็นท่า สำหรับงานแต่งของลูกชายคนโต ของบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย กลทีป์เหมือนคนวิญญาณได้ออกจากร่างไปเรียบร้อย เดินลงจากเวทีไปแบบเงียบ ๆ ดีที่น้องชายฉุดข้อมือลากออกจากงานไป
กลทีป์ลุกขึ้นจากเตียงนอน กวาดตามองดูห้องหอที่มีสภาพ ราวกับถูกพายุพัดถล่มใส่ คงเพราะเมามายด้วยกันทั้งคู่ เลยเละเทะไปหมดแบบนี้ พยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีคำพูดหนึ่งที่เขาจำได้แม่น
‘...ฉันอุตส่าห์เฝ้ามองแอบจองคุณไว้ตั้งหนึ่งปี... ฉันน่าจะบอกว่าฉันรักคุณ ...’
แม้จะจำได้ไม่ชัดเจนทุกถ้อยคำ แต่กลทีป์มั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นพูดแบบนี้จริง ๆ เขาถึงได้ตั้งใจทำลงไปแบบนั้น เพราะคิดว่าได้ทำกับคนที่รักเขาจริง ๆ แต่หากรักเขาจริงทำไมวิ่งหนีเขาไปแบบนั้นล่ะ แม่นั่นพูดมั่วเพราะเมาหรือเปล่านะ
กลทีป์ได้สิทธิ์ลาพักร้อนก่อนหน้าแล้วห้าวัน เขาจึงถือโอกาสนี้นอนพักผ่อนอยู่ที่บ้านไปก่อน แต่แล้วดวงตาคู่คมก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกใจ งานงอกงานเข้าของจริง เพราะเขาด้นสดเลยเมื่อคืนนี้ ‘เวรไหมล่ะไอ้ที’
ส่วนคนที่กำลังขับรถไปทำงานตามปกตินั้น รู้สึกว่าร่างกายได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืน บอกใครก็ไม่ได้อธิบายไป เขาคงไม่เข้าใจอยู่ดี เหลือบไปเห็นร้านขายยาอยู่ข้างทาง รีบจอดรถตรงหน้าร้าน ลงไปหายาคุมฉุกเฉินมากิน ป้องกันย่อมดีกว่าแก้ นึกขอบคุณเมืองไทยที่มีร้านขายยาเปิด24ชั่วโมง ปรึกษาเภสัชกรเรียบร้อยแล้วรีบกลับมาขึ้นรถขับไปทำงานต่อ อย่างน้อยก็หมดปัญหาไปเรื่องหนึ่ง
เฌอลิณณ์จอดรถไว้ที่ลานจอดบนชั้นสี่ หญิงสาวเดินไปขึ้นลิฟต์ในสภาพอิดโรย คล้ายคนหลับนอนไม่เต็มที่
“จริงนะครับคุณยา ผมนี่ตาค้างเลยนะครับ ไม่คิดว่าเจ้าสาวจะกล้าทำแบบนั้น ตกตะลึงกันทั้งงานเลย อับอายขายหน้ากันหมด” เสียงซุบซิบนินทาของศิวกรกับพีรยา ไม่ได้เรียกความสนใจ จากคนที่กำลังเดินทำหน้าเหนื่อย ๆ เข้ามาในแผนก
“สวัสดีค่าหัวหน้าพี่ยา” เฌอลิณณ์เอ่ยทักทายทั้งคู่เหมือนเช่นทุกวัน
ศิวกรกับพีรยาหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะตรงปรี่ไปรวมตัวกันตรงโต๊ะของเฌอลิณณ์
‘มาใกล้ขนาดนี้เดี๋ยวได้เห็นรอยจูบกันพอดี’
รีบเอาผมลงมาปิดด้านหน้าไว้ ไม่ให้เห็นร่องรอยอันน่าสงสัยของตัวเอง
“มีเรื่องเม้าท์มอยกันแต่เช้าเลยนะคะหัวหน้า” เรื่องอะไรทำให้หัวหน้ากับรุ่นพี่ที่ทำงาน ตื่นเต้นออกนอกหน้าได้ขนาดนี้ ไปแอบเห็นอะไรเด็ด ๆ มาอีกแน่
“คุณลิณณ์เมื่อคืนในงานแต่งคุณไปไหนมาครับ หลังจากคุยกันแล้วผมไม่เห็นคุณในงานอีกเลย” ศิวกรแววตาประกายจ้า เหมือนคนมีเรื่องราวมากมายอยู่ในหัว อยากระบายออกมาให้คนอื่นได้ร่วมรับรู้ด้วย
“ลิณณ์เมาค่ะหัวหน้า เลยแอบขึ้นไปนอนที่ห้องพักของทางโรงแรม” ตอบแล้วหันไปเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ขึ้น
“เมานี่นะ คุณจะบ้าเหรอคุณลิณณ์ ไปงานแต่งแต่ดันไปเมา อ๊ะ ๆ แต่ช่างมันเถอะ งั้นแปลว่าคุณต้องพลาดฉากเด็ดประเด็นดังน่ะสิ” ศิวกรหันไปมองหน้าพีรยา หรี่ตาลงแรง ๆ บอกว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องแน่ ๆ