ชลทิศรู้สึกผิดที่ไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยมดวงดาราเลยหลังจากงานศพดวงดาวผ่านไป แต่เพราะเขารู้ว่าหลานสาวมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว เพราะเขาว่าจ้างให้น้าพุดจีบซึ่งเป็นญาติห่างๆ ที่อยู่ตามลำพังให้ย้ายมาอยู่กับดวงดารา ช่วยทำงานบ้านเล็กน้อยๆ ไม่ต่างจากที่พุดจีบทำที่บ้านตนเองนัก เพียงแต่ย้ายมาทำที่บ้านดวงดาวแทน ส่วนบ้านน้าพุดจีบก็ให้คนเช่าเป็นรายได้เสริมอีกทาง เขาทำได้แค่โทรศัพท์มาพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบเพราะงานที่รัดตัวและไม่อยากแวะมาบ่อยเพราะเบื่อปากคนชอบนินทา
การที่เขาเป็นชายหนุ่มและมาพบปะหลานสาววัยรุ่นตามลำพังหรือบ่อยครั้งย่อมถูกคนมองด้วยอคติอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเสียงนินทาด้วยหูตนเองในระหว่างงานศพของดวงดาว จากญาติตัวเองคงเกิดเรื่องงามหน้าในไม่ช้า น้าก็หนุ่มแน่นหลานสาวก็โตเกินอายุ ทำให้เขาต้องป้องกันชื่อเสียงของเขาและดวงดาราเอาไว้ ด้วยการเจรจากับพุดจีบตั้งแต่งานศพยังไม่แล้วเสร็จ และพูดดังๆ ต่อหน้าญาติที่ซุบซิบนินทา เขาประกาศเลยว่าอยากให้น้าพุดจีบมาอยู่กับดาราเพราะเขาอยู่ด้วยคงไม่เหมาะ แค่นี้พวกปากหมาใจหมาก็นินทาไปไกลแล้ว ในตอนนั้นเขาแอบเห็น
วันนี้เขาตั้งใจมาเยี่ยมดูความเป็นอยู่ของทั้งคู่
“ดารายังไม่กลับจากโรงเรียนหรือครับ” เขาถาม แปลกใจเล็กน้อยเพราะใกล้ค่ำแล้ว
“ก็กลับค่ำทุกวัน ไหนจะเรียนพิเศษ ทำรายงาน ทำงานที่ค้างช่วงที่หยุดทำงานศพแม่ เดี๋ยวก็คงกลับ ชลกินข้าวด้วยกันใช่ไหม น้าจะได้หุงข้าวเพิ่ม”
“หุงแต่ข้าวเพิ่มพอนะครับ กับข้าวซื้อมาแล้ว ขอโทษทีที่ไม่ได้โทรมาบอกก่อน เห็นว่ามีเวลาว่างก็รีบมาเลย” เขาบอกแล้วยื่นถุงกับข้าวให้พุดจีบ
“ซื้อมาเยอะแยะ ดาราก็กินเท่าแมวดม เด็กสาวสมัยนี้กลัวอ้วนจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูด” พุดจีบพูดเมื่อรับถุงกับข้าวพลางส่ายหัว แล้วขอตัวไปหุงข้าวและเอากับข้าวไปใส่จาน
ชลทิศยืนอยู่กลางโถงรับแขกที่สภาพแปลกตาไปจนต้องสำรวจว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นไร จนพบว่าตู้หนังสือขนาดใหญ่ที่เคยวางต่างผนังแบ่งห้องรับแขกกับห้องกินข้าวหายไป จึงมองเห็นโต๊ะกินข้าวที่วางอยู่ตำแหน่งเดิมได้ชัดเจน เห็นพุดจีบยกจานอาหารมาวางแล้วครอบฝาชีซึ่งมีชามอาหารวางอยู่แล้วสองใบ
“ย้ายตู้หนังสือไปไว้ที่ไหนครับน้าพุด”
“อยู่ในห้องดารา มันหวงไม่ยอมให้แตะ มันบอกเป็นตัวแทนของแม่เพราะแม่มันชอบหนังสือพวกนี้ คงกลัวน้าจะหยิบมาอ่านแล้วทำยับมั้ง ดารามันไม่รู้หรอกว่าน้านะขี้เกียจอ่านหนังสือมาแต่ไหนแต่ไรแล้วละ” พุดจีบพูดไปหัวเราะไปทำให้ชลทิศพลอยยิ้มไปด้วย
“คงจะมาแล้ว” พุดจีบพูดอีกทีเมื่อได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์
“น้าชล” เด็กสาววางกระเป๋านักเรียนแล้วยกมือไหว้ ก่อนโผเข้ากอด
“คิดถึงจัง”
“จ้าน้าก็คิดถึง กลับค่ำทุกวันหรือดารา” เขาอดถามไม่ได้
“ก็ไม่ทุกวันค่ะ แต่ช่วงนี้ต้องเร่งเรียนให้ทันเพื่อน หิวจัง ดาราไปล้างมือนะ มีของกินไหมจ้ะยายพุด” เด็กสาวหันไปตะโกนถามพุดจีบที่อยู่ตรงโต๊ะอาหาร
“มีจ้ะ ล้างมือมาเลย ชลมากินข้าวพลางๆ ข้าวกำลังจะสุกแล้ว”พุดซ้อนชวนแล้วเริ่มตักข้าวใส่จาน
เสียงข้อความจากโปรแกรมสนทนาทางโทรศัพท์ของสวิชดังขึ้น อัญมณีที่กำลังนั่งอ่านต้นฉบับให้เขาละสายตาไปมอง เสียงดังถี่ๆ ตามจำนวนข้อความที่ส่งเข้ามา และข้อความแจ้งเตือนบอกให้รู้ว่าที่อีกฝ่ายส่งมานั้นคือภาพถ่าย
ใคร ส่งรูปอะไรมา หล่อนอยากรู้ แต่ไม่ใช่เพราะหึงหวงและก็ไม่คิดจะละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของใครแค่มองอย่างสนใจเท่านั้น
“ใครส่งอะไรมา มานี่หยิบมือถือให้พี่หน่อยครับ” สวิชร้องขอมาจากเตียงที่นั่งเอนพิงหัวเตียงดูโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ
อัญมณีหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปส่งให้เขา ใจอยากอยู่ใกล้เพื่อจะได้ลอบมองแต่อีกใจก็ค้าน หล่อนไม่ควรยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาเหมือนที่ไม่อยากให้ใครยุ่งเรื่องส่วนตัวตนเอง
“อ่านจบแล้วนี่กลับนะคะ ชักง่วงแล้ว”
“พรุ่งนี้วันหยุดนี่ใช่ไหม มาหาพี่แต่เช้าเลยนะ”
“ทำไมคะ มีอะไร”
“พี่จะเริ่มบทต่อไป”
“อ้าว ก็มือพี่วิชยังเจ็บ พิมพ์ไม่ถนัดนี่คะ”
“ถึงให้มานี่ช่วยยังไงละ จะได้ปิดต้นฉบับไวๆ เบื่อบอกอทวงบ่อยๆ”
“อ้าว บอกอไม่รู้หรือพี่วิชรถคว่ำ แขนเดี้ยง”
“พี่ไม่ได้บอกจ้ะ ช่วยพี่หน่อยนะ พี่จะบอกให้มานี่พิมพ์ตาม โอเคนะ”
เขาถามเหมือนว่าหล่อนมีทางปฏิเสธได้อย่างไรอย่างนั้น หล่อนจึงได้แต่ยิ้มบางๆ แล้วจัดต้นฉบับปึกหนาวางให้เรียบร้อย ก่อนเดินออกจากห้องลืมเรื่องข้อความที่อยากรู้ไปโดยปริยาย